บทที่ 202 การฝึกกลุ่ม (1)
“ผู้บัญชาการ นี่คือของทั้งหมดที่พวกเราทั้ง 73 คนมี”
แม่ทัพเล่อมอบทรัพยากรทั้งหลายให้ซูเฉิน
ซูเฉินจ้องมันแล้วคิดหนัก
แม่ทัพเล่อหยุดคิดเล็กน้อย เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็สับสนในตนเอง
ซูเฉินเอ่ย “อยากพูดอะไรก็พูดเลย”
เล่อเฟิงถามเสียงฉงน “ท่าน…… ใกล้จะทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารแล้ว ?”
ซูเฉินพยักหน้า
เล่อเฟิงร้องเสียงตื่นเต้น “มิน่าถึงได้บินได้ เป็นเรื่องน่ายินดีนัก !”
“ดีตรงไหนกัน ?” ซูเฉินไม่เงยหน้า “โลกของคนเถื่อน กำลังไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญที่สุดก็คือการปิดบังตนให้ดีต่างหาก”
“ก็ใช่” เล่อเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย “เมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมผู้บัญชาการถึงเผยตัวจริงกับทุกคนเล่า ? ท่านเลือกไปสักคนสองคน จากนั้นค่อยเผยตัวจริงก็ยังได้”
ซูเฉินกลอกตา “แล้วคิดหรือว่าข้าไม่อยากทำ ? พวกเจ้าสิเป็นฝ่ายที่บ้าคลั่งขึ้นมา บีบให้ข้าต้องทำเช่นนี้”
เล่อเฟิงเอ่ยเสียงเขิน ๆ “เป็นความผิดของพวกเราเอง ข้าพร้อมยอมรับบทลงโทษ”
ซูเฉินหัวเราะ “ช่างมันเถอะ เจ้ามีความกล้าหาญไม่ยอมแพ้ หาจังหวะโต้กลับ ไม่ลังเลที่จะสังหารศัตรูไปพร้อมกับตนเอง มีเหตุผลอะไรให้ต้องลงโทษเจ้า ? เพราะข้าไม่ทันระวังให้มากพอ ประเมินพวกเจ้าต่ำไป แต่ก็ไม่เป็นไร ขั้นต่อไปของเรา พวกเจ้าต้องร่วมมือกัน ตอนนี้พวกเจ้ารู้ตัวตนของข้าแล้ว อย่างน้อยหากข้าสั่งให้ทำอะไรก็อย่าได้ลังเลสับสน”
“ผู้บัญชาการมีแผนอย่างไร ?”
“อีก 2 เดือนจะถึงวันเกิดของอานู๋ปี่ ข้าวางแผนไว้ว่าจะก่อเรื่องใหญ่ในวันนั้น แต่ต้องให้พวกเจ้าช่วย”
เล่อเฟิงถามเสียงตื่นเต้น “ท่านคิดจะลอบสังหารราชาผู้บ้าคลั่งหรือ ?”
“ลอบสังหาร ?” ซูเฉินกลอกตา “ราชาคลั่งที่สังหารลูกน้องตน เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลาน่ะหรือ ? จะลอบสังหารคนเช่นนั้นไปเพื่ออะไร ? ข้าน่าจะเป็นคนแรกที่คอยปกป้องเขามากกว่า”
เล่อเฟิงพูดไม่ออก
ซูเฉินอธิบายเสียงเรียบ “มีแม่ทัพฝีมือโดดเด่น 10 คนอยู่ฝั่งเรา ก็ยังเทียบให้อีกฝั่งมีราชาคลั่งแค่คนเดียวคอยสร้างปัญหาไม่ได้ เราต้องชื่นชมคู่ต่อสู้เช่นนี้สิ !”
เขาเน้นย้ำคำว่า ‘ชื่นชม’ ทำเอาเล่อเฟิงพยักหน้ารับหลายครั้ง
ซูเฉินว่าต่อ “ชนเผ่าเพลิงมีรากฐานมั่นคง หรือก็คือมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่มีราชาผู้บ้าคลั่งเป็นหางเสือเรือเช่นนั้น ก็คงผงาดได้อีกไม่นานแล้ว หากวางแผน สร้างศัตรูให้เขาสักหลายคน ไม่นานพวกคนเถื่อนก็คงก่อกบฏ ถึงตอนนั้น พวกเราก็จะลงมือง่ายกว่านัก”
เล่อเฟิงเอ่ย “ผู้บัญชาการคิดอ่านลึกซึ้งนัก”
แท้จริงแล้วเขาไม่ได้เข้าใจคำพูดของซูเฉินเท่าไหร่นัก แต่แม้ไม่เข้าใจก็ยังรู้ว่ามันเป็นแผนสุดยอดแผนหนึ่ง แม้เขาจะเป็นนักรบ ก็ยังรู้จักว่าตอนไหนเอ่อยกยอปอปั้นคนอื่น
ซูเฉิรับคำชมมาแต่โดยดี “ตอนนี้ยังไม่ต้องห่วงเรื่องแผนการ อีก 2 เดือนถึงจะเริ่มลงมือ จุดหมายในตอนนี้คือการทำให้พวกเจ้าแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ทำให้แกร่งขึ้น ?” เล่อเฟิงเริ่มมีสีหน้าไม่ยินดี “ถึงจะแกร่งขึ้นจริง แต่ภายในเวลา 2 เดือนจะไปทำอะไรได้ ?”
มีทหารทั้งหมด 73 คน ด่านทะลวงลมปราณ 3 คน ด่านกลั่นโลหิต 20 คน ที่เหลือเป็นด่านก่อเกิดลมปราณ กำลังเท่านี้นับว่าไร้ประโยชน์ยามอยู่ในแดนคนเถื่อน
แต่ซูเฉินพลันเอ่ย “เวลา 2 เดือนมากพอจะทำอะไรได้มาก เริ่มจากฝึกวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ให้ดี”
จากนั้นมา นักสู้ชาวมนุษย์ทั้ง 73 คนก็อยู่ภายใต้อำนาจซูเฉิน
ซูเฉินสั่งให้มนุษย์ทั้ง 73 คนได้รับอาหารการกินดี ให้อิสระพวกเขา จะได้มีแรงและทำการแสดงที่ดีให้ฝ่าบาทอานู๋ปี่ได้
เมื่อได้รับสารอาหารพอ ทั้งหมดจึงฟื้นคืนกำลังอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็เริ่มฝึกวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์
นับแต่นั้นมา คนเถื่อนที่คอยมาตรวจตราก็เห็นมนุษย์กลุ่มใหญ่นั่งอยู่บนเขา สูดหายใจเข้าออก หันหน้าหาดวงอาทิตย์ ทำสมาธิอย่างเคร่งครัด
คนเถื่อนไม่เคยได้ยินการฝึกฝนเช่นนี้มาก่อน จึงได้แต่ยืนหัวเราะเสียงเหยียดหยาม ไม่มีใครเห็นเป็นสำคัญ
แน่นอนว่าพวกเขาไม่คิดว่าวิธีฝึกธรรมดาเช่นนี้จะสามารถทำให้มนุษย์มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์เป็นวิชาที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราการดูดซับพลังต้นกำเนิดโดยเฉพาะ ในตอนนั้นเขาไม่เห็นมันเป็นสำคัญ ในสายตาเขามันก็เป็นเพียงวิชาบ่มเพาะอีกวิชาหนึ่งที่ไม่ได้ทำให้ทะลวงพลังเร็วขึ้น เขาเห็นว่าวิชาที่สามารถทะลวงผ่านด่านได้โดยไร้สายเลือดมีค่ากว่ามาก
แต่เรื่องเล็กน้อยบางอย่างที่ในตอนแรกดูไม่สำคัญ ไม่ช้าก็กลายเป็นสำคัญขึ้นมา บางครั้งก็สามารถทำให้เรื่องบางอย่างที่ผู้คิดค้นไม่ทันนึกถึงแต่แรกได้สำเร็จอีกด้วย
ในวันนี้ เจียงหลิ่วเริ่มฝึกวิชาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนวันอื่น ๆ
เขาสัมผัสถึงไออุ่นจากดวงอาทิตย์ สูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ พยายามดูดซับพลังต้นกำเนิดเข้าร่างแล้วหมุนพลังอย่างรวดเร็ว ตอนที่มันกำลังปรับเปลี่ยนร่างกายของเขาอยู่ มันก็เริ่มสลายออกจากร่าง ทุกครั้งที่พลังต้นกำเนิดเวียนครบรอบร่าง เจียงหลิ่วจะแข็งแกร่งขึ้น พลังที่เขาสะสมไว้ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
หลังจากเวียนพลังได้ 3 ครั้งเต็ม เจียงหลิ่วรู้สึกว่าพลังในร่างไม่อาจเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้ได้อีกแล้ว พื้นฐานพลังของเขาถูกเติมเต็ม หากไม่ทะลวงผ่านก็ไม่สามารถสูงขึ้นไปกว่านี้ได้อีก เขาอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณขั้นสุดอยู่แล้ว จึงใช้เวลาฝึกฝนจนถึงจุดนี้ไม่นาน แต่ความเร็วขนาดนี้ก็ยังทำให้เขาตกตะลึงอยู่
เขากำลังคิดจะหยุดเท่านั้น แต่ก็ดันมีความคิดน่าสนใจหนึ่งผุดขึ้นมา ถ้าหากเขาบ่มเพาะวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ไปเรื่อย ๆ? จะเกิดอะไรขึ้นกัน ?
แต่เมื่อบ่มเพาะไปเรื่อยแล้วก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง
หากแต่ไม่รู้ทำไม ในใจเจียงหลิ่วจึงมีความรู้สึกแปลกประหลาด
เขารู้สึกว่าคอขวดกำลังคลาย ราวกับว่าการฝึกวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์จะสามารถทำให้เขาทะลวงพลังได้จริง
ดังนั้นเขาจึงบ่มเพาะพลังต่อไปด้วยความสงสัย
ไม่รู้ว่าตนเองบ่มเพาะพลังเวียนทั่วร่างไปกี่รอบแล้ว พริบตาเดียวเวลาหนึ่งวันก็ผ่านไป
เจียงหลิ่วยังคงบ่มเพาะพลังอยู่
ในใจเขาบังเกิดความรู้สึกสนใจ เจียงหลิ่วรู้สึกว่าตนเองสามารถทะลวงไปสู่ ด่านกลั่นโลหิตได้แล้ว
ซูเฉินได้แจกจ่ายวิชาทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดไปนานแล้ว ไม่ว่าจะจ่ายเงินซื้อมาหรือไม่ ด่านก่อเกิดลมปราณขั้นสุดทั้งหลายล้วนเคยอ่านตำรามาแล้วทั้งนั้น
แต่แม้จะมีวิชาทะลวง ก็ยังต้องตระเตรียมตัวให้พร้อม ต้องมียาที่ทำให้อัตราการสำเร็จเพิ่มขึ้น เดิมทีตำราเปิดพลังไคฮวงอัตราการสำเร็จ 4 ใน 10 ส่วน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความฉลาดของเผ่ามนุษย์ก็เผยกาย ทำให้อัตราการสำเร็จกลายเป็น 6 ใน 10 ส่วน
แต่อัตราเช่นนี้คือคนที่เตรียมตัวมาอย่างดี คนอย่างเจียงหลิ่วพี่พอพื้นฐานพลังเต็มแล้วคิดจะทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตเลยคงจะมีโอกาสสำเร็จเพียง 2 ใน 10 ส่วนเท่านั้น นับเป็นการตัดสินใจที่รีบร้อน แม้จะใช้ตำราเปิดพลังไคฮวงทะลวงอีกทีหากทำไม่สำเร็จได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะพร้อมทะลวงด่านได้อีกครั้ง นับว่าเป็นการเสียเวลามาก
แต่เจียงหลิ่วก็ยังเลือกทำ
ไม่รู้ทำไม เขามีความรู้สึกว่าถ้าทำตอนนี้จะสำเร็จได้
ซึ่งเป็นเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น ไม่มีเหตุผลใดรองรับ แต่เจียงหลิ่วก็หมายอยากลองสักครา
เขาเป็นทหารกองทัพกำลังสวรรค์ ถูกคนเถื่อนทรมานมาแล้วนับไม่ถ้วน และสามารถผ่านการทดสอบความภักดีจากซูเฉินมาได้ ทหารมีประสบการณ์มากมายเช่นนี้ย่อมต้องรู้จักคว้าโอกาสเอาไว้เมื่อมันมาถึง
เขาจึงตัดสินใจเด็ดขาด ไม่สนใจผลลัพธ์ไม่ดี ไม่มีใครปกป้องด้วยซ้ำ ไม่มีทหารคนไหนรู้สถานการณ์ ซึ่งไม่ช่วยเลยสักนิด กลับกันยังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ แต่อย่างไรเขาก็ยังลงมือทำอยู่ดี
เมื่อคนเรามีความกล้าหาญไม่กลัวสิ่งใด จะใช้เหตุผลมากขนาดไหนก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้
พลังต้นกำเนิดไหลเวียนมารวมกันในร่าง เกิดเป็นคลื่นสูงอยู่ภายในทะเลพลังต้นกำเนิด เมฆพลังต้นกำเนิดหลายก้อนเริ่มก่อรูปร่างอยู่เหนือ ‘น้ำ’
เมฆหนาขึ้นทุกขณะ
ในจังหวะสุดท้าย เมฆดำก็ระเบิดออกมา แสงโปรยปรายลงมาบนพื้นทะเลพลังต้นกำเนิด
ตู้ม !
พลังต้นกำเนิดจำนวนมากไหลเวียนไปทั่วร่าง ซอกซอนไปทั่วจุด ไหลเวียนผ่านทุกตำแหน่ง ภายใต้การควบคุมของวิชาด่านกลั่นโลหิต พลังงานเริ่มเปลี่ยนแปลงเริ่มผันเปลี่ยนและปั้นร่างกายทุกส่วนขึ้นใหม่
ทุกส่วนในร่างกายเหมือนจะเต็มไปด้วยพลัง ราวกับกำลังโห่ร้องส่งเสียงในโอาสน่ายินดี
เจียงหลิ่วสัมผัสได้ว่าร่างกายกำลังยินดีกับพลังใหม่ ในใจเริ่มส่งเสียงฮัมกระฉับกระเฉง
พลังจิตแกร่งกล้าขึ้นพร้อมกับร่างกาย
เขาสัมผัสได้ถึงเลือดในกายที่เดือดพล่านไปด้วยพลังงาน
ราวกับว่ามีแหล่งพลังงานที่ไร้ขอบเขตคอยหนุนหลังอยู่
ในที่สุด
ตู้ม !
ลำแสงพลังงานหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือศีรษะ
เขาทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตสำเร็จแล้ว
“สำเร็จแล้ว !” ที่ข้างหูเอ่ยเสียงเบาอ่อนโยน
เป็นเสียงผู้บัญชาการซู
“สำเร็จ !” เสียงร้องอย่างกล้าหาญดังขึ้น
เป็นเสียงแม่ทัพเล่อ
“สำเร็จแล้ว !” เสียงโห่ร้องมากมายดังก้องไปทั่วฟ้า
มันเป็นเสียงของสหายของเขา
เจียงหลิ่วลืมตา จ้องไปยังพี่น้องที่จับมือกันรอบตัวขณะตะโกนเสียงตื่นเต้น
“สำเร็จ ! เจ้าทำสำเร็จจริง ๆ!” ทหารนายหนึ่งตะโกนใส่เจียงหลิ่ว
เล่อเฟิงคว้าคอเจียงหลิ่วไว้ “ไอ้หนู น่าประทับใจยิ่ง ! ทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตพอรู้ว่าพื้นฐานพลังเต็มเลยงั้นหรือ ? ไม่กลัวว่าจะมีใครเผลอมารบกวน ทำให้คลั่งไปงั้นหรือ ? โชคดีที่ผู้บัญชาการรู้สึกแปลก จึงบอกทุกคนไม่ให้มารบกวนได้ทันเวลา”
เจียงหลิ่วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า มันมืดหมดแล้ว
หากไม่ได้คำเตือนของซูเฉิน การทะลวงพลังของเขาก็คงถูกรบกวนไปนานแล้ว
เจียงหลิ่วเอ่ยเสียงขัดเขิน “ข้าตื่นเต้นมากจึงไม่ทันดูเวลา เกือบทำผิดพลาดครั้งใหญ่เสียแล้ว”
“เปล่าเลย เจ้าไม่ได้ทำผิดพลาด เจ้าทำผลงานให้ข้าด้วยซ้ำ บอกข้าสิเจียงหลิ่ว เจ้าทำเช่นนี้เพราะจังหวะพาไปหรือมีเหตุผลอื่น ?” ซูเฉินถาม
เจียงหลิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน หลังจากที่พื้นฐานพลังเติมเต็มแล้ว ข้าก็หมายจะฝึกเวียนหลังอีกสักหลายครั้งถึงจะรู้ว่าไม่ช่วยอะไร แต่ยิ่งฝึกไป ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่ากำลังเข้าสู่สภาวะน่าอัศจรรย์ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ”
ซูเฉินเอ่ย “เจ้าก็เลยตัดสินใจรอทะลวงพลังดู ? แล้วก็สำเร็จสินะ ?”
เจียงหลิ่วเอ่ยเสียงตกใจ “ผู้บัญชาการรู้ได้อย่างไร ?”
ซูเฉินหัวเราะ “ข้าเดาเอา ข้าไม่คิดว่าเจ้าเป็นคนไม่เห็นค่าในของบางอย่างที่สำคัญ การรับรู้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้เชี่ยวชาญ บางครั้งทำตามสัญชาตญาณก็ได้รับผลที่ดีกว่า”
ซูเฉินเดาเป็นบางส่วน แต่ส่วนมากนั้นรู้มาจากการที่ได้เห็นกระบวนการทุกอย่างด้วยเนตรมองโลกจุลภาคต่างหาก
เขาสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงในร่างเจียงหลิ่ว จึงได้รู้ว่าวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้
อาจเพราะวิชานี้มาจากพื้นฐานเดียวกัน หรืออาจมีเหตุผลลึกลับอื่นก็เป็นได้
ซูเฉินในตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ แต่เขาได้เห็นความสำคัญและมุมมองใหม่ของวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์แล้ว
นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารได้สำเร็จ
โดยมีวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์เป็นเหตุผลขั้นพื้นฐาน
เขาสร้างมันขึ้นมา แต่กลับเป็นคนอื่นที่ค้นพบประโยชน์และความสำคัญของมัน
ซึ่งก็น่าขัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาด
อย่างไรพวกนั้นก็ไม่สำคัญ ปัจจุบันต่างหากที่สำคัญที่สุด
ด้วยผลลัพธ์ของวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์แล้ว ซูเฉินสามารถสร้างผู้เชี่ยวชาญพลังกลุ่มใหญ่ภายใต้อำนาจขึ้นมาได้ !!!