ไปเอาเองอย่างนั้นหรือ
กูเยว่อู๋เหินหันกลับไปมองเฉิงฉู่
เฉิงฉู่สีหน้าแตกตื่นขึ้นมาทันที รีบส่ายหน้า “ท่านประมุข ทุกๆ หนึ่งก้านธูปข้าน้อยเปิดหน้าต่างตรวจดูทุกครั้ง แม่นางเยี่ยเม่ยอยู่บนเตียงตลอดเวลา หาได้ออกไปไหน!”
เมื่อเขารายงานจบ เยี่ยเม่ยก็ลุกขึ้นเดินไปข้างเตียง ลากคนที่ถูกมัดเอาไว้แน่นหนา มีผ้ายัดปากเอาไว้ออกมา
นั่นก็คือแขกของกูเยว่อู๋เหิน ซ่งอวี้เชวีย
ซ่งอวี้เชวียดิ้นรนขัดขืน รู้สึกเสียหน้าอย่างถึงที่สุด หากมิใช่ถูกวางยาสลบ หลับไปชั่วครู่ อีกทั้งตอนนี้ยังไม่มีกำลังเลยสักน้อย จะถูก….
เสี้ยววินาทีที่เห็นซ่งอวี้เชวีย กูเยว่อู๋เหินพลันเข้าใจได้ในทันที
ฝ่ายเยี่ยเม่ยก็เอ่ยกล่าวว่า “เพราะว่าคุณชายผู้มีวรยุทธ์สูงส่งมาเยี่ยมในยามวิกาล เพื่อยาสมุนไพรแล้ว ข้าได้แต่เชื้อเชิญให้เขาดื่มชาสักแก้ว วางยาสลบไว้ในน้ำชา จากนั้นก็เชิญให้เขาเป็นตัวแทนข้าอยู่ในห้องนี้!”
“ไม่ถูกต้อง! ต่อให้เจ้าทำเช่นนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ ตอนที่ข้ามองเข้ามาทางหน้าต่าง คนบนเตียงสวมเสื้อผ้าของเจ้า ตั้งแต่เขาเข้ามาดื่มชา เปลี่ยนชุด เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปไม่เพียงพอ” เฉิงฉู่เอ่ยออกมา ทุกๆ หนึ่งก้านธูปเขาจะเปิดหน้าต่างมาตรวจสอบดู
ระยะเวลาหนึ่งก้านธูปสั้นๆ ทำเรื่องพวกนี้เสร็จได้อย่างไร
เฉิงฉู่เอ่ยต่อว่า “อีกอย่างคุณชายซ่งก็ไม่ใช่โง่งม หากคิดจะหลอกให้เขาดื่มชาที่วางยาสลบไว้หาใช่เรื่องง่ายดาย!”
หรือว่า…
ช่วงเวลาที่เฉิงฉู่เบิกตากว้าง เยี่ยเม่ยมองเขา พยักหน้าให้ “ถูกต้อง! เป็นอย่างที่เจ้าคาดเดา ข้าใช้เวลากว่าหนึ่งก้านถึงหลอกให้เขาดื่มชาลงไปได้ รอจนเจ้าเปิดหน้าต่างตรวจสอบดู ข้าก็เอาเขาซ่อนไว้ใต้เตียง หลังจากตรวจสอบแล้ว ข้าก็เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเขา จับเขานอนบนเตียงแทนข้า ก็ง่ายๆ แค่นี้เอง!”
เยี่ยเม่ยเอ่ยจบก็มองจงรั่วปิง
จงรั่วปิงรีบช่วยแก้มัดให้ซ่งอวี้เชวียทันที
ส่วนเฉิงฉู่จ้องเยี่ยเม่ยเอ่ยถามว่า “ดังนั้น เมื่อครู่ตอนที่ข้าเคาะประตูอยู่นานไม่มีคนเปิด ก็เพราะเจ้าเพิ่งกลับมา กำลังเปลี่ยนชุดอย่างนั้นหรือ”
“ถูกแล้ว!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ถึงข้าจะทำสำเร็จแล้ว จะเปลี่ยนชุดกลับมาหรือไม่ก็หาใช่เรื่องสำคัญ แต่เพื่อชื่อเสียงของคุณชายซ่งแล้ว ข้าคิดว่าก่อนที่ทุกคนจะพบเห็นเปลี่ยนกลับก่อนจะดีกว่า ชื่อเสียงของบุรุษเป็นเรื่องสำคัญ ถูกคนเข้าใจผิดจะไม่ดีเอา!”
คนทั้งหมด “…”
นางพูดอะไรกลับกันไปหรือเปล่า
สรุปแล้วนางทำเพื่อชื่อเสียงของตัวเองหรือว่าชื่อเสียงของคุณชายซ่งกันแน่ บุรุษผู้หนึ่งจะเอาชื่อเสียงไปทำอะไร
แต่เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยมีสีหน้าจริงจัง ไม่คล้ายล้อเล่นเลยสักน้อย คนทั้งหมดจึงเข้าใจว่า สิ่งที่นางพูดคือความจริง นางคิดว่าชื่อเสียงของบุรุษเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ
ซ่งอวี้เชวียพ่นผ้าที่ถูกยัดไว้ในปากออกมาด้วยสีหน้าโมโห ซินเยว่เยี่ยนที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูได้ฟังคำพูดนี้พอดี อยากตบมือดังๆ ให้กับเยี่ยเม่ย ช่างสนุกสนานนักเชียว!
คิดไม่ถึงเลยว่าซ่งอวี้เชวียที่ขัดหูขัดตานางอยู่ทุกวี่ทุกวัน ยังมีประโยชน์เช่นนี้ด้วย
ทุกอย่างอธิบายไว้ได้ชัดเจนมาก
กูเยว่อู๋เหินกวาดสายตาเรียบเฉยมองไปที่ร่างของซ่งอวี้เชวีย น้ำเสียงฟังไม่ออกว่าดีใจหรือโมโห ถามออกมาเรียบๆ ว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้”
ซ่งอวี้เชวียสีหน้าบัดเดี๋ยวแดงก่ำเดี๋ยวขาวซีด หันกลับไปถลึงตามองเยี่ยเม่ยอย่างดุร้าย ชั่วชีวิตเขาไม่เคยเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน เสียหน้าขนาดนี้!
คิดถึงคำพูดต่างๆ นาๆตอนที่เขาเพิ่งร่อนลงมาจากหลังคาห้องแล้ว เขายิ่งอยากกระอักเลือด…
เมื่อเห็นกูเยว่อู๋เหินถามเช่นนี้ ซ่งอวี้เชวียมองซินเยว่เยี่ยนด้วยความไม่พอใจ “หากมิใช่เพราะนางเสียมารยาทต่อข้าครั้งแล้วครั้งเล่า โยนข้าออกไปข้างนอก! ดังนั้นพอข้าได้ฟังว่านางพาคู่หมั้นกลับมาให้เจ้าคนหนึ่ง ก็อดรนทนไม่ไหวกลับมาก่อกวน ข้าจะทำให้นางเสียใจบ้าง ใครจะรู้ว่า…”
ใครจะรู้ว่าก่อกวนไม่สำเร็จ แล้วยังถูกซ้อนแผนอีก
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก มองซ่งอวี้เชวียจากนั้นก็หันไปมองกูเยว่อู๋เหิน ทั้งยังเห็นซินเยว่เยี่ยนด้านข้างที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนถูไม้ถูมือเตรียมหนี นางเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “คู่หมั้นหมายความอย่างไร”
คำว่าคู่หมั้น สมควรมีความหมายเดียวไม่ผิดแน่!
เห็นเยี่ยเม่ยสีหน้าตกตะลึง ซ่งอวี้เชวียมุ่นคิ้ว หันกลับไปมองกูเยว่อู๋เหิน ถามเยี่ยเม่ยว่า “อู๋เหิน นางไม่ใช่คู่หมั้นของเจ้าหรือ”
กูเยว่อู๋เหินสีหน้าเรียบเฉย เพียงใช้หางตาปรายมองซินเยว่เยี่ยนที่เตรียมหนี
คราวนี้ซินเยว่เยี่ยนกลายเป็นจุดศูนย์รวมของห้องนี้ทันที ทุกคนต่างหันหน้าไปมองนาง จงรั่วปิงรู้มาตลอดว่าซินเยว่เยี่ยนคิดจับคู่ให้เยี่ยเม่ยและกูเยว่อู๋เหิน แต่คิดไม่ถึงว่า ซินเยว่เยี่ยนผู้นี้จะพัฒนาความสัมพันธ์มาถึงขั้นเป็นคู่หมั้นอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
ซินเยว่เยี่ยนที่เป็นเป้าสายตาของคนทั้งหมด เงยหน้ามองเพดานด้วยความประดักประเดิด สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ ไม่มีเรื่องเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย ข้าเพียงแต่บอกอู๋เหินว่า เจ้ามาขอยาสมุนไพร!”
เฉิงฉู่เป็นคนแรกที่เบือนหน้าอย่างไม่ยินยอมมองซินเยว่เยี่ยน ตอนที่ผู้อาวุโสแนะนำเยี่ยเม่ยกับท่านประมุข เขาก็แอบอยู่ด้านข้างด้วย คำพูดพวกนั้นเขาได้ยินอย่างชัดเจนดี!
จากนั้น เขายังไม่ทันเอ่ยปาก
ซินเยว่เยี่ยนรีบเตือนเขาว่า “จริงด้วย เฉิงฉู่ เจ้าใคร่ครวญให้ดี สตรีเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่อาจล่วงเกินได้ เจ้าอยากพูดอะไร เจ้าก็พูดเถอะ!”
เฉิงฉู่ชะงักไป
เขาคุ้มกันไม่ดี ปล่อยให้คุณชายซ่งเข้ามาก็ช่างเถอะ ยังปล่อยให้เยี่ยเม่ยหนีออกไป ทั้งยังกลับมาโดยที่เขาไม่รู้อีกด้วย บัญชีนี้นายท่านยังไม่ทันคิดกับเขาเลย
หากล่วงเกินผู้อาวุโสขึ้นมาอีก เกรงว่าจะย่ำแย่แล้ว! ดังนั้นเขาไม่กล้าส่งเสียงอะไร…
“อะไร” ซ่งอวี้เชวียร่ำร้องอย่างไม่เชื่อ ไม่รู้ว่าซินเยว่เยี่ยนกำลังบอกใบ้ส่งสายตาให้เฉิงฉู่
“หรือว่าข้าเข้าใจผิดไปเอง”
ดังนั้นเขากลายเป็นพวกไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เข้ามาเป็นตัวแทนให้เยี่ยเม่ย
เขาหันกลับไปมองเฉิงฉู่ด้วยความโมโห…
…….
เจ้าหนุ่มน่าตายนี่ถึงกับหลอกเขา!
เฉิงฉู่มีทุกข์แต่ก็พูดไม่ออก…
เยี่ยเม่ยมีเวลาจำกัด ไม่มีอารมณ์ฟังพวกเขาพูดมากความ “ในเมื่อข้าเอาสิ่งของพวกนี้ออกมาได้ ทั้งยังทำตามกฎของประมุขกูเยว่ คิดว่าท่านประมุขคงไม่มีปัญหาอะไร ชีวิตของน้องชายข้ายังอยู่ในอันตราย เยี่ยเม่ยมีเวลาจำกัดไม่อาจรั้งอยู่นาน! ท่านประมุข ข้าขอตัวก่อน!”
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยจบก็หยิบกล่องผ้าบนโต๊ะทั้งสามกล่องเตรียมตัวจากไป แล้วมองซินเยว่เยี่ยน “แม่นางซินเจ้าจะไปกับข้า หรือว่าอยู่ที่นี่”
ซินเยว่เยี่ยนรู้ดีว่าเพราะจิ่วหุน เยี่ยเม่ยจำเป็นต้องจากไป เพื่อหลอกล่อให้นางกลับมาที่นี่อีกครั้ง อีกทั้งนางยังไม่ได้ถอนหมั้น ดังนั้นจึงตัดสินใจว่า “ข้าไปกับเจ้าด้วย!”
เมื่อพูดจบแล้ว สตรีทั้งสามก็เตรียมตัวจากไป
ในเวลานี้ เส้นเสียงเย็นเยียบของกูเยว่อู๋เหินดังขึ้นมา “หยุดก่อน!”