เยี่ยเม่ยแววตาเย็นชา
ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองกูเยว่อู๋เหิน เห็นหน้าอีกฝ่ายไร้อารมณ์ใดๆ เวลานี้นางคาดเดาความคิดของกูเยว่อู๋เหินไม่ออก
เยี่ยเม่ยถามเสียงเย็นชา “ท่านประมุขกูเยว่รั้งคนไว้เพราะอะไร หรือท่านเปลี่ยนใจ”
คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง
จากกิริยาท่าทางและนิสัยที่เขาแสดงออกมาจนถึงตอนนี้ เขาหาใช่คนที่จะเปลี่ยนใจ
แต่เมื่อคิดว่าหลังจากตัวเองมาแล้ว ก็กลั่นแกล้งสหายของกูเยว่อู๋เหินรวมถึงปั่นหัวองครักษ์ของหมู่ตึกกูเยว่ทั้งหมด สุดท้ายยังนำยาสมุนไพรจากไปอย่างเอิกเกริก กูเยว่อู๋เหินจะโมโหก็ดูจะไม่แปลก
จากนั้น
ถัดมา กูเยว่อู๋เหินหันกลับไปมองเฉิงฉู่ด้านหลัง กำชับเสียงนิ่งว่า “เอาขลุ่ยหยกโลหิตที่แม่นางเคยเป่ามา!”
คนทั้งหมดฟังแล้วล้วนไม่เข้าใจ
แต่ว่าเฉิงฉู่ไม่ถามมากความ ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ไม่ช้า ขลุ่ยหยกโลหิตก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน
กูเยว่อู๋เหินหยิบขลุ่ยขึ้นมา เดินมาเบื้องหน้าเยี่ยเม่ยมอบให้กับนาง “ขลุ่ยหยกโลหิตเลานี้มีหนึ่งเดียวในใต้หล้า ถือว่าเป็นของขวัญให้กับแม่นางเยี่ยเม่ย เจ้ารับไว้ก่อนค่อยจากไปเถอะ ”
ซินเยว่เยี่ยนสายตาวาวโรจน์ รู้ว่าน้องชายตัวเองเริ่มสนใจแล้ว
เฉิงฉู่มองเจ้านายอย่างไม่เชื่อสายตา ตอนที่นายท่านให้คนเอาขลุ่ยโลหิตให้เยี่ยเม่ยเป่าร่วมกัน เขารู้สึกแปลกใจ มาถึงเวลานี้ยังมอบขลุ่ยออกไปอีก
นายท่านจริงจังหรือไม่
เยี่ยเม่ยกลับมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับว่าตัวนางก่อเรื่องที่บ้านของผู้อื่น เอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมา ก่อนจะจากไป เจ้าบ้านยังมอบของขวัญให้นางอีกด้วย
เห็นเยี่ยเม่ยไม่เคลื่อนไหว เขาสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงใสกระจ่าง “ทำไม ไม่อยากรับหรือไม่กล้ารับ”
มีอะไรที่เยี่ยเม่ยไม่กล้ารับบ้าง
นางยื่นมือออกมารับขลุ่ยหยกโลหิต “นี่เป็นวิธียั่วยุของท่านประมุขอย่างนั้นหรือ อย่างนั้นข้าจะรับไว้ มีอะไรที่เยี่ยเม่ยไม่กล้ารับไว้ ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจท่านประมุขครั้งหนึ่ง!”
กูเยว่อู๋เหินสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาเรียบเฉยคู่นั้น มองใบหน้าเย็นชาเบื้องหน้าตน เอ่ยเสียงเรียบว่า “น้ำใจของกูเยว่ มีราคาสูงยิ่งนัก”
เยี่ยเม่ยชะงักไป ไม่เข้าใจความหมายของเขาในทันที แต่เวลามีจำกัด ทั้งเกรงว่าจะถูกคนดักซุ่มโจมตีกลางทาง ดังนั้นนางจึงไม่ชักช้าอีกต่อไป ต้องเร่งเดินทาง “เช่นนี้คุณชายก็จดเอาไว้แล้วกัน เยี่ยเม่ยยังมีธุระสำคัญ ขอตัวก่อน!”
คราวนี้กูเยว่อู๋เหินไม่รั้ง เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ต้องได้พบกันอีกแน่!”
เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตัวนางก็เอาข้าวของมาตั้งมาก ซ้ำยังรับของขวัญมาอีก ต้องเอ่ยคำร่ำลากับเขาสักคำ จึงตอบกลับไปอย่างเกรงใจว่า “ไว้พบกันใหม่!”
เมื่อเอ่ยจบ นาง ซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงเดินทางจากไป
ก่อนที่จงรั่วปิงจะออกจากห้อง ก็หันกลับไปมองซ่งอวี้เชวีย ส่ายหน้าถอนใจ “อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า! เฮ้อ…”
เอ่ยจบนางก็จากไป
ซ่งอวี้เชวียเดิมทีสีหน้ายังไม่กลับสู่ภาวะปกติ ในเวลานี้ก็เขียวคล้ำ คำพูดของสตรีนางนี้หมายความว่าอะไร ดูถูกซ่งอวี้เชวียอัจฉริยะอันดับหนึ่งอย่างนั้นหรือ เห็นทีเขาหลงกลครั้งหนึ่งนี้ ก็รู้สึกว่าเขาเป็นตัวโง่งมไปแล้วอย่างนั้นหรือ
เขาเป็นแค่อัจฉริยะอันดับหนึ่ง ถนัดท่องบทกลอนเท่านั้น ไม่ใช่การวางแผน ซ้ำยังไม่ใช่ปราชญ์อันดับหนึ่ง เขาแค่หลงกลครั้งเดียว ไฉนต้องดูแคลนกันด้วย
รอจนพวกนางทั้งสามจากไป
กูเยว่อู๋เหินกลอกตามองซ่งอวี้เชวีย ถามเสียงเรียบว่า “เหตุผลที่ดื่มชาคือ”
ถึงซ่งอวี้เชวียไม่ใช่ปราชญ์อันดับหนึ่ง แต่ไม่มีทางเป็นตัวโง่งมแน่ อัจฉริยะอันดับหนึ่งต้องรู้จักเดินหมาก! ถึงเขาจะถนัดบทโคลงกลอน แต่ก็ยังพอเดินหมากได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนเวลาสั้นๆ เพียงชั่วหนึ่งก้านธูปกลับดื่มยาสลบลงไปโดยไม่ป้องกัน
ท่าทางของซ่งอวี้เชวียในเวลาคล้ายกับม้าที่ไร้ขาหน้า กัดฟันเอ่ยว่า “เยี่ยเม่ยผู้นั้นฉลาดนัก หลังจากข้าเข้ามาก็ถามข้าว่ามาเพราะอะไรก่อน ข้าบอกว่ามาเพื่อพูดคุยกับนางเท่านั้น…”
…ภาพย้อนอดีต…
เมื่อซ่งอวี้เชวียว่ามาเพื่อสนทนาจบ เยี่ยเม่ยกลับยิ้มออกแล้วนั่งลง
ซ่งอวี้เชวียนั่งอยู่เบื้องหน้าเยี่ยเม่ย นางหัวเราะเสียงใสเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายคิดสนทนาเรื่องใด”
“ไม่ทราบว่าแม่นางเยี่ยเม่ยคิดอย่างไรกับเรื่องแต่งงาน” ซ่งอวี้เชวียสีหน้ายิ้มแย้ม จ้องมองหญิงงามเบื้องหน้า ชื่นชมซินเยว่เยี่ยนอยู่ในใจว่า มีสายตาที่ดีนัก หาแม่นางรูปงามนางหนึ่งกลับมาได้
เยี่ยเม่ยนิ่งใคร่ครวญชั่วครู่ คิดถึงคำที่ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยถึง ซ่งอวี้เชวียก็มีแผนการ
สีหน้าของนางเรียบเฉย เอ่ยปากเสียงนิ่งว่า “เรื่องการแต่งงาน มีก็แต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่ทำ”
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ หางตาของซ่งอวี้เชวียก็วาวโรจน์
เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร หลายปีที่ผ่านไม่มีใครเห็นด้วยกับแนวคิดไม่แต่งงานของเขาเลยสักคนเดียว ต่อให้เป็นอู๋เหินก็ทำแค่รักษาความสงบเงียบในเวลาที่เขาพูดไม่หยุดว่าการแต่งงานคือความผิดพลาด
ไม่เคยมีใครชื่นชมมากก่อน!
แน่นอนว่าคนอื่นต่างไม่นั่งฟังเงียบๆ รีบนำคำสั่งสอนของบรรพชนออกมาตอบโต้เขา คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยกลับเห็นด้วยว่าการแต่งงานไม่ถูกต้อง!
“เช่นนั้นไม่ทราบว่าไฉนแม่นางมีความคิดเห็นเช่นนี้” ซ่งอวี้เชวียสายตาพราวระยับ ไม่รู้ตัวเลยว่าตกสู่หลุมพรางของผู้อื่นแล้ว
เยี่ยเม่ยตอบเสียงนิ่ง “บนโลกนี้มีคนโดดเด่นมากมาย ยากรับรองว่าหลังจากแต่งงานแล้วจะไม่หลอกลวงต้มตุ๋น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ไม่แต่ง กันไม่ติดบ่วงของคุณธรรม!”
อืม ตอนนั้น ซินเยว่เยี่ยนพูดถึงหลักการของซ่งอวี้เชวียเช่นนี้ใช่หรือเปล่านะ
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” ซ่งอี้เชวียยิ่งตื่นเต้น รีบเอ่ยความคิดของตนออกมาโดยพลัน “ไม่เพียงเช่นนั้น การสืบทอดสกุลคืออะไรกัน สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ หากคลอดลูกที่เชื่อฟังออกมาก็ยังดี หากไม่เชื่อฟัง เติบโตขึ้นมาก็มีแต่ทำให้โมโหเจียนตาย”
จากนั้นเขาก็เริ่มพรรณนาแนวความคิดของตนเอง
ทุกครั้งที่เยี่ยเม่ยฟังจุดน่าสนใจในคำพูดเขา ก็พยักหน้าอย่างจริงจัง แสดงออกว่าชื่นชม “ไม่ผิดเลย ท่านพูดได้ถูกต้อง!”
คนที่ความคิดไม่เคยได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลก เขาต้องการการยอมรับจากคนนอก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาจะลืมตัว คิดว่าคนตรงหน้าคือสหาย
เป็นไปดังคาด เวลาผ่านไปสักครู่ เยี่ยเม่ยพยักหน้าติดต่อกัน ซ่งอวี้เชวียก็เห็นนางเป็นผู้รู้ใจแล้ว
เยี่ยเม่ยรินชาให้เขาจอกหนึ่ง “ท่านดื่มชาเสียก่อน ค่อยๆ พูด! ความคิดของท่านเหมือนกับข้าเลย ข้ารู้สึกว่าพวกเราพบกันครั้งแรกก็เหมือนเป็นสหายมายาวนาน วันนี้สนทนากันให้ถึงเช้าไปเลย!”
ซ่งอวี้เชวียได้ฟังคำว่าพบกันครั้งแรกก็เหมือนเป็นสหายมายาวนาน ทั้งยังไม่รังเกียจความคิดของเขา ถึงกระทั่งยอมสนทนาด้วยจนฟ้าสาง เวลานี้เขาไม่พูดอะไรอีก ดื่มชาลงไป “ถูกต้อง ผู้รู้ใจยากหาได้พบ…”
จากนั้น เขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีกแล้ว
ซ่งอวี้เชวียเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา สีหน้าเฉยเมยเสริมว่า “รอจนข้าฟื้นขึ้นมา ก็อยู่ใต้เตียงเยี่ยเม่ยแล้ว อีกทั้งเสื้อผ้าก็เปลี่ยนกลับมา…”