“ไม่!”
พูดถึงยามนี้ สีหน้าของซ่งอวี้เชวียยิ่งทวีความสิ้นหวัง
ส่ายหน้า แล้วเอ่ยว่า “หากเมื่อครู่นางไม่พูดออกมา ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตัวเองถูกเปลี่ยนเสื้อผ้า!”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ ซ่งอวี้เชวียคล้ายจะหลบหน้าร้องไห้
เขาเป็นบุรุษ ในยามสลบไสลไร้สติตกหลุมพรางคนก็ช่างเถอะ ยังจะถูกถอดเสื้อผ้าอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องนี้มีสตรีสองนาง!
สวรรค์!
…..
คิดถึงตรงนี้ เขากัดฟันหันหน้ากลับมามองเฉิงฉู่ “เฉิงฉู่ล้วนเป็นเพราะเจ้าหลอกข้า! สตรีนางนั้นมาเพื่อขอยาเท่านั้น ทำไมเจ้าต้องบอกว่านางเป็นคู่หมั้นที่ซินเยว่เยี่ยนพากลับมาให้ประมุขของเจ้าด้วย”
หากมิใช่เพราะเฉิงฉู่เอ่ยคำพูดเช่นนั้นออกมา จะเกิดเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ได้อย่างไรกัน
เฉิงฉู่สีหน้าอมทุกข์ “คุณชายซ่ง ข้ามิได้หลอกลวงท่านจริงๆ! ดูไปแล้วเรื่องคู่หมั้นแม่นางผู้นั้นก็ไม่รู้เรื่องด้วย ล้วนเป็นเพราะท่านผู้อาวุโสของเราดำเนินการอยู่ฝ่ายเดียว ดังนั้นเมื่อครู่นางถึงตักเตือนข้า ท่านก็เห็นแล้วว่าข้าไม่กล้าเอ่ยความจริงออกไป!”
ซ่งอวี้เชวียหาใช่คนโง่งม ไม่ช้าก็คิดถึงคำเตือนของซินเยว่เยี่ยนที่บอกให้เฉิงฉู่สงบปากเสีย
เขาส่ายหน้าไปมา ถอนหายใจ “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว! ดูท่าฟ้าลิขิตแล้วว่าวันนี้ข้าจะประสบโชคร้าย!”
ทว่าคิดไม่ถึงเลย
กูเยว่อู๋เหินในเวลานี้กวาดสายตามองซ่งอวี้เชวีย เอ่ยเสียงเรียบว่า “ครั้งนี้เจ้าโง่เขลาเกินกว่าความคาดเดาของข้า เฉิงฉู่ส่งแขกเถอะ”
กูเยว่อู๋เหินเอ่ยจบก็จากไป
ซ่งอวี้เชวียที่หน้าอมทุกข์อยู่แล้ว ยามนี้เปลี่ยนไปเป็นอึ้งทึ่ง นี่เขาถูกกูเยว่อู๋เหินรังเกียจที่สติปัญญาอ่อนด้อย …..
แต่เมื่อคิดๆ ดู ก็เป็นเพราะตัวเองจริงๆ แม่นางผู้นั้นถึงเอายาสมุนไพรไปได้สำเร็จ เขามีส่วนรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ไม่น้อย จึงไม่กล้าเอ่ยมากความ
ได้แต่ทำหน้าเศร้าเอ่ยว่า “อู๋เหิน เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนแล้ว! ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็จากไปภายใต้การส่งแขกของเฉิงฉู่
……
หลังจากเฉิงฉู่ส่งซ่งอวี้เชวียไปแล้ว
กลับมาถึงห้องของกูเยว่อู๋เหิน ก็คุกเข่าลงเอ่ยว่า “นายท่าน เป็นความผิดของข้าน้อย ข้าน้อยเฝ้าเอาไว้ไม่ดี ขอให้นายท่านลงโทษด้วย!”
เมื่อคิดขึ้นมาเขาก็รู้สึกไม่ยินยอม ตัวเองนำคนตั้งมากมายเฝ้าอยู่หน้าประตู ผลสุดท้ายซ่งอวี้เชวียกับสตรีนางนั้นเข้าๆ ออกๆ ในอาณาเขตของเขา แต่ตนเองกลับไม่รู้อะไรเลยสักกะผีกริ้น ต่อให้นายท่านไม่คิดบัญชีกับเขา เฉิงฉู่ก็ยากจะให้อภัยตัวเอง
แววตาของกูเยว่อู๋เหินเรียบเฉย เอ่ยด้วยเสียงสงบว่า “ไปรับโทษโบยหนึ่งร้อยไม้”
“ขอรับ!”
เฉิงฉู่รับคำในทันที หมู่ตึกกู่เยว่มีกฎของหมู่ตึกเคร่งครัด ท่านประมุขลงโทษตกรางวัลอย่างชัดเจน
ถัดมา
กูเยว่อู๋เหินสั่งการเสียงนิ่งว่า “หากรับโทษแล้วยังไม่ตาย จงไปนำข้อมูลทั้งหมดของสตรีผู้นั้นมาให้ข้าภายในสามวัน!”
“เอ๋” เฉิงฉู่หันไปมองด้วยความตกใจ
กูเยว่อู๋เหินมองเขาด้วยสายตาเฉยชา “ทำไม มีปัญหาหรือ”
“ไม่!” เฉิงฉู่รับคำสั่ง “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน!”
“อืม”
……
ภายในหอฉางชู
เซี่ยโหวเฉินอยู่ด้านในเปิดบันทึกราชวงศ์ ยามที่สายตาปราดมองที่หน้าหนึ่ง สีหน้าเขาก็นิ่งขรึมลง ใคร่ครวญถึงความเชื่อมโยงที่อยู่ภายใน “จงเจิ้งซี…”
ในบันทึกมีการจดไว้ว่า ปีนั้นเป่ยเฉินอี้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรวมถึงอดีตฮ่องเต้วางเดิมพันกันเอาไว้
ส่วนเดิมพันว่าอะไร ภายในบันทึกไม่ได้มีจดเอาไว้ ในบันทึกเพียงบอกว่าหลังจากทำลายราชวงศ์จงเจิ้งได้ การเดิมพันนี้ก็ถูกยกเลิก
การเดิมพันนี้มีเนื้อหาว่าอะไรกันแน่
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เซี่ยโหวเฉินอ่านจบก็ไม่รั้งรอ จากไปอย่างว่องไว
หลังจากกลับเรือนของตน เรื่องแรกที่เขากระทำก็คือตามตัวองครักษ์ประจำกาย “เหวยซื่อ หาวิธีตามหาคนที่เคยทำงานอยู่ในวังของราชวงศ์จงเจิ้งมา ไม่ก็ขุนนางหรือประชาชนของราชวงศ์จงเจิ้ง ต้องหาภาพเหมือนของจงเจิ้งซีมาให้ได้!”
เหวยซื่อตะลึงงันไป เอ่ยปากกลับมาอย่างว่องไวว่า “ท่านอ๋องน้อย ยามที่ราชวงศ์จงเจิ้งถูกทำลาย ฝ่าบาทมีท่าทางแปลกจากปกติ ไม่รู้เพราะอะไรถึงมีรับสั่งให้สังหารคนในวังทั้งหมด ดังนั้นคนที่เคยทำงานอยู่วังของราชวงศ์จงเจิ้ง แทบไม่มีใครหนีไปได้เลย ล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้น จงเจิ้งซีออกจากวังน้อยครั้ง คนอื่นไม่น่ารู้จักหน้าตาของนาง!”
เมื่อเขาตอบกลับมาเช่นนี้ เซี่ยโหวเฉินมองหน้าเขา เอ่ยเสียงแข็งว่า “ก็เพราะว่าไม่ง่าย ข้าถึงส่งตัวเจ้าไปหา ต้องมีปลาเล็ดลอดออกจากตาข่ายไปได้สักตัวสองตัวบ้าง ในเมื่อพวกเขาหนีออกมาได้ ก็ย่อมรู้ว่าใครเป็นคนสั่งให้ไล่สังหาร ดังนั้นย่อมไม่เปิดเผยฐานะของตนออกมาโดยง่าย เจ้าจงไปหาหนทางมา จะบีบคั้นข่มขู่ก็ได้ ลงทัณฑ์ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีไหน สรุปแล้วข้าอยากได้คำตอบ! ”
“ขอรับ!” เหวยซื่อรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นงานยาก แต่เมื่อเจ้านายต้องการ ก็ต้องรับเอาไว้
เซี่ยโหวเฉินหลับตาครุ่นคิดสักครู่ ก็เอ่ยช้าๆ ว่า “คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าทำให้ข้าคิดได้ ทำไมปีนั้นฝ่าบาทถึงมีรับสั่งให้สังหารคนในวังจงเจิ้งทั้งหมด ทำเช่นนี้ไม่เข้ากับวิธีการของพระองค์!”
“ขอรับ เรื่องนี้ในปีนั้นข้าน้อยยังแปลกใจ อย่างไรพวกเราก็ทำลายราชวงศ์มาตั้งมากมาย มีแค่ครั้งเดียวที่ฝ่าบาทสั่งให้สังหารทั้งหมด เพราะข้าน้อยมีญาติผู้พี่ห่างๆ คนหนึ่ง ปีนั้นทำงานอยู่ในวังจงเจิ้ง ดังนั้นข้าน้อยจำได้อย่างแม่นยำ! ดีที่ข้ามิได้สนิทสนมกับเขามากนัก ในปีนั้นข้าจึงไม่เสียใจมากมาย” เหวยซื่อตอบกลับอย่างรวดเร็ว
เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า สายตาทวีความลุ่มลึก “ดูท่า ข้าจำเป็นต้องรู้ว่าการเดิมพันในปีนั้นคืออะไรกันแน่!”
เพียงแต่ในเมื่อมีเพียงเป่ยเฉินอี้ อดีตฮ่องแต้และฮ่องเต้เท่านั้นที่เดิมพันกัน แล้วใครจะเป็นคนบอกเขาได้เล่า
เซี่ยโหวเฉินเข้าสู่ห้วงแห่งความคิด “เจ้าไปจัดการก่อน!”
“ขอรับ!”
เหวยซื่อสาวเท้ายาวจากไปจัดการธุระที่เขาเพิ่งสั่งการ
……
เยี่ยเม่ยที่กำลังพาคนเดินทางกลับด้วยความรวดเร็ว
พบกับรถม้าคันหนึ่ง…
ยามเห็นรถม้าคันนี้ สีหน้าของจงรั่วปิงก็เปลี่ยนไป นางเป็นคุณหนูของต้าซือคง ย่อมเข้าใจว่าอักษร “อี้” สีดำบนรถม้าหมายถึงอะไร
ตามกฎของเป่ยเฉิน คนที่สามารถสลักตัวอักษรสีดำบนรถม้าได้ก็มีแต่ราชนิกุลเท่านั้น
ส่วนทั้งราชวงศ์ที่ใช้อักษรนี้ก็มีเพียงคนเดียว นั่นก็คือ เป่ยเฉินอี้!
“ดูท่าพวกเราจะยุ่งยากมากแล้ว” จงรั่วปิงเอ่ยปาก
เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว ถึงนางดูตราสัญญาลักษณ์ของราชวงศ์ไม่ออก แต่เมื่อรถม้าเข้าใกล้มา นางรู้สึกได้ถึงความอันตรายและกลิ่นอายไม่เป็นมงคล
ยามนี้นางมีสีหน้าเคร่งขรึม เตรียมพร้อม แล้วก็เป็นดังคาด รถม้ามาถึงเบื้องหน้านางทั้งสามคน ก็หยุดลง ไม่ช้าคนขับรถก็กระโดดลงพื้น ชิงเกอในรถม้าเปิดม่านออก
ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของเป่ยเฉินอี้ปรากฏต่อหน้าเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก “ท่านอ๋องช่างเหมือนวิญญาณที่ไม่แตกดับไปไหนเสียจริง!”
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วไม่เดือดดาล กลับหัวเราะเบาๆ ถามด้วยเสียงนิ่งว่า “ไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยอยากทราบอดีตของตัวเองหรือไม่”