ตอนที่ 750 ไฟจวนฟู่สว่างอีกครา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 750 ไฟจวนฟู่สว่างอีกครา

หัวใจของชุนซิ่วรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งนัก

คุณชายกลับมาแล้ว ทว่ามิได้หยุดพักผ่อนเสียก่อนก็จะออกเดินทางจากไปอีกแล้ว

ที่สำคัญก็คือในรถม้านี้มีบุคคลที่นางเคยรู้จักเพิ่มมาอีก 1 คน ซึ่งนั่นก็คือจางเพ่ยเอ๋อร์ !

ส่วนคุณชายกล่าวเพียงว่าจะเดินทางไปหลินเจียงแต่มิได้กล่าวว่าจะไปทำอันใด

บัดนี้จวนฟู่ ณ หลินเจียงกลายเป็นจวนร้างไร้ผู้ใดอยู่อาศัย ทว่ากุญแจอยู่ในมือของนาง แล้วเหตุใดคุณชายต้องรีบร้อนเช่นนี้ด้วยเล่า ?

นั่นก็เพราะฟู่เสี่ยวกวนต้องการเดินทางกลับเมืองจินหลิงโดยเร็วที่สุด

อนุภรรยาของบิดาอ้วนทั้งหมดได้เดินทางจากไปอย่างปลอดภัย แต่นั่นมิได้หมายความว่าตัวเขาจะสามารถจากไปอย่างปลอดภัยเยี่ยงพวกนางได้

แน่นอนว่าความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำและถึงเยี่ยงไรเขาก็ควรจะระมัดระวังเอาไว้

หากว่าฟู่เสี่ยวกวนถูกสังหารโดยบังเอิญจะโทษฮ่องเต้เสียทีเดียวก็มิได้

หลังจากไปถึงเมืองจินหลิงคงต้องให้ศิษย์สำนักเต๋ามาติดตามเพิ่มอีกสัก 2 คนเสียแล้ว

การที่เขาเดินทางมายังเมืองหลินเจียงมีวัตถุประสงค์หลักอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือไปสู่ขอจางเพ่ยเอ๋อร์จากจางจือเช่อบิดาของนาง เพราะเกรงว่าต่อจากนี้เขาจะมิมีเวลาเดินทางมาเพื่อเรื่องนี้อีก

ประการที่สองคือตั้งใจจะไปสักการะหลุมศพของสวี่หยุนชิงเสียหน่อย เพราะหลังจากกลับไปยังราชวงศ์อู๋แล้วเกรงว่าคงยากที่จะหาโอกาสมาไหว้นางได้อีก

เยี่ยงไรเสียสตรีผู้นี้ก็เป็นถึงมารดาในนามของตน

ขบวนรถม้าได้เคลื่อนไปตามเส้นทาง ชุนซิ่ว จางเพ่ยเอ๋อร์ และสวี่ซินเหยียนนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน ชุนซิ่วมิแน่ใจว่าสตรีงดงามทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์เยี่ยงไรกับคุณชาย ดังนั้นนางจึงค่อนข้างถ่อมตน

ด้านจางเพ่ยเอ๋อร์ได้กล่าวความในใจออกมาและเป็นฝ่ายเริ่มสนทนากับชุนซิ่วก่อน

“ในตอนนั้นข้ากระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายเพื่อเขา เจ้าเองก็คงรู้ แต่ทว่าต่อมาข้าถูกท่านอาจารย์ช่วยชีวิตเอาไว้ แล้วพาไปยังป่ากระบี่เพื่อศึกษาวรยุทธ์จากท่าน ต่อมาด้วยเหตุผลนานัปการ ข้าจึงได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนอีกคราและบัดนี้…”

จางเพ่ยเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยออกมาอย่างเขินอายว่า “บัดนี้เขาได้เปิดใจยอมรับข้าแล้ว”

ชุนซิ่วอ้าปากค้างด้วยอารามตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน อ่า…เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง มองดูแล้วคุณหนูตระกูลจางผู้นี้ก็คงจะลงเอยกับคุณชายเรียบร้อยแล้ว และกลายเป็นหนึ่งในสะใภ้ของจวนฟู่แล้วสินะ

นางจึงเผยรอยยิ้มออกมา “ยินดีกับฮูหยินรองด้วยเจ้าค่ะ”

จางเพ่ยเอ๋อร์ลุกลี้ลุกลน “เอ่อ… คือ ข้ายังมิได้เข้าพิธีสมรสเลยด้วยซ้ำ”

“สักวันก็ต้องจัดพิธีอย่างแน่นอน ข้าน้อยรู้จักนิสัยของคุณชายดีเจ้าค่ะ ในเมื่อเขายอมรับแล้วเขาย่อมมิเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน”

สวี่ซินเหยียนมองไปทางชุนซิ่วด้วยความประหลาดใจ “คุณชายของเจ้านั้น ก่อนเดินทางไปยังเมืองจินหลิง เขาเป็นคนแบบใดกันแน่ ? ”

บรรยากาศในรถม้าจึงครึกครื้นขึ้นมา ชุนซิ่วเล่าถึงเรื่องคุณชายนับตั้งแต่ยังเป็นอันธพาลจนกระทั่งกลายเป็นเทพบุตรด้วยความภาคภูมิใจ…

ส่วนในรถม้าคันข้างหน้า ฟู่เสี่ยวกวนกับหยูเวิ่นเต้ากำลังนั่งจ้องตากันอยู่

“เรื่องพิธีสมรสจะต้องเตรียมสิ่งใดบ้าง เจ้ามิรู้หรือเยี่ยงไร ? ”

หยูเวิ่นเต้ารู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา “นี่เจ้า…ข้ามิมีแม้กระทั่งคนรัก แต่อย่างน้อยเจ้าก็มีฮูหยินแล้วถึง 3 คน ขนาดเจ้ายังมิรู้แล้วข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรเล่า ? ”

ประโยคนี้มีเหตุผลพอสมควร ฟู่เสี่ยวกวนจึงยกมือขึ้นนวดขมับ ยิ้มแห้ง ๆ แล้วเอ่ยว่า “ตอนที่สู่ขอน้องสาวเจ้า ข้าก็มิค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าใดนักหรอก ดูเหมือนจะมิได้มีพิธีรีตองมากมายเลยด้วยซ้ำ”

“เจ้าเป็นถึงติ้งอันป๋อ การก้าวเข้าสู่จวนจางจะยังต้องมีของกำนัลอันใดอีกเล่า ? เจ้าคือของขวัญชิ้นโตสำหรับพวกเขา การที่จวนจางมีลูกเขยเยี่ยงเจ้าก็คาดว่าแม้หลับฝันก็ยังคงหุบยิ้มมิลงเลยด้วยซ้ำ ! ”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนก็มิรู้ว่าจางจือเช่อจะสามารถยิ้มยามหลับฝันได้หรือไม่ แต่ทว่าขบวนรถม้าได้เดินทางมาถึงจวนฟู่แห่งหลินเจียงในยามพลบค่ำของวันนั้นนั่นเอง

ชุนซิ่วลงจากรถม้าเพื่อไปเปิดประตูจวนสีแดงสด ยังมิทันได้เงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าประตูจวน อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเสียเนิ่นนาน แต่ทว่าเรื่องราวต่าง ๆ เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เท่านั้นเอง

นางหวนคืนกลับมาที่นี่อีกครา

เนื่องจากนางต้องดูแลกิจการน้อยใหญ่ที่ซีซาน ดังนั้นจึงมิได้กลับมาที่นี่เป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว

เอ่ยได้ว่านับตั้งแต่ที่คุณชายจากไป นางก็มิเหลือสิ่งใดให้ต้องเป็นห่วงอีก

สตรีที่คอยรับใช้คุณชายในตอนนั้นจึงกลายมาเป็นสตรีผู้เข้มแข็งในวันนี้

มิว่าเยี่ยงไร เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชาย นางยังคงเป็นเด็กน้อยที่ขยันขันแข็งดังเดิม

ทุกคนพากันเดินเข้าไปในจวน ฟู่เสี่ยวกวนหยิบตะบันไฟออกมาแล้วจุดไฟในจวนฟู่ทุกดวง

ผู้คนในตรอกซีชุ่ยรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก คนในจวนฟู่มิใช่ว่าเพิ่งเดินทางจากไปเมื่อมิกี่วันก่อนหรอกหรือ ?

เห็นว่าพ่อค้าที่ดินผู้นั้นไปซื้อที่ดินมากโขเอาไว้ที่ราชวงศ์อู๋ ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นพ่อค้าที่ดินรายใหญ่ของราชวงศ์อู๋ไปเสียแล้ว เรื่องนี้มีบางคนกล่าวว่าการเดินทางออกจากบ้านเกิดเช่นนี้มิใช่เรื่องที่ถูกต้อง

แต่ก็มีบางคนชื่นชมและเห็นด้วย พวกเขารู้สึกว่าชายอ้วนมิได้ขายจวนฟู่ในหลินเจียงอันใหญ่โตทิ้ง อีกทั้งยังซื้อที่ดินมากมายในราชวงศ์อู๋ ช่างฉลาดหลักแหลมมากยิ่งนักเพราะนี่จะเป็นการฝังรากลึกในราชวงศ์อู๋ เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนคือองค์ชายของที่นั่น !

เจ้าคนพาลที่มักก่อเรื่องในเมืองหลินเจียงกลับกลายเป็นองค์ชายเเห่งราชวงศ์อู๋ไปเสียได้ !

หลังจากที่ข้อมูลนี้กระจายไปทั่วหลินเจียงก็ทำให้ผู้คนในเมืองนี้ต่างพากันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง !

เขามิใช่บุตรชายแท้ ๆ ของชายอ้วนผู้นั้นด้วยซ้ำ เจ้าอ้วนเก็บเขามาเลี้ยง เก็บไปเก็บมา เก็บได้องค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋มาเลี้ยงเสียได้ ! อีกทั้งยังเป็นองค์ชายเพียงองค์เดียวแห่งราชวงศ์อู๋อีกด้วย !

โชคดีถึงเพียงใดกัน ?

หลายปีมานี้เจ้าอ้วนเลี้ยงดูทะนุถนอมบุตรชายราวกับไข่ในหิน เเละเจ้าเด็กนั่นก็กลายมาเป็นติ้งอันป๋อผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์หยู อีกทั้งยังได้อภิเษกกับองค์หญิงเก้า มิแน่ว่าหากเขากลับไปยังราชวงศ์อู๋แล้วได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ ฝ่ายเจ้าอ้วนคงสุขสบายมิน้อย หรือแท้จริงแล้วชายอ้วนจะมองออกตั้งแต่ต้นว่าฟู่เสี่ยวกวนมิใช่คนธรรมดา ?

หากเป็นผู้อื่น เพียงแค่ทำตัวเป็นอันธพาลก่อเรื่องมากมายในหลินเจียง ต่อให้เป็นบุตรชายในไส้ก็คงจะไล่ตะเพิดจนบ้านแตกไปแล้ว !

ดังนั้นชีวิตของชายอ้วนช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกิน !

อนุภรรยาทั้งห้าก็เดินทางไปยังราชวงศ์อู๋แล้ว หมายความว่าสตรีทั้งห้าก็ได้อาศัยพึ่งบารมีของเขาไปด้วย

ว่าแต่เหตุใดวันนี้ที่จวนฟู่ถึงจุดไฟสว่างขึ้นมาอีกครากันเล่า ?

เป็นผู้ใดที่หวนคืนมากัน ?

มิมีผู้ใดคาดคิดว่าจะเป็นฟู่เสี่ยวกวนที่เดินทางกลับมายังหลินเจียง ดังนั้นเพื่อนบ้านจึงพากันมารุมล้อมที่หน้าประตูเพื่อสอดส่องว่าเป็นผู้ใด

จางจือเช่อเองก็เช่นกัน

บุตรชายของเขาจางเหวินฮั่นได้ไปรับราชการอยู่ที่ผิงหลิงและได้รับการดูแลจากฟู่เสี่ยวกวน เรื่องนี้จางเหวินฮั่นเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้งในจดหมาย อีกทั้งยังเล่าว่าจางเพ่ยเอ๋อร์น้องสาวของเขามิได้เสียชีวิต แต่ทว่าบัดนี้ยังมิมีเวลาที่เหมาะสมที่นางจะกลับมาหาพวกตน

ดังนั้นความคับแค้นใจในอดีตจนถึงบัดนี้จึงได้เจือจางลงอย่างเห็นได้ชัด การที่จวนฟู่มีคนเดินทางกลับมาทำให้จางจือเช่อบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงโผล่หน้ามาดู

ทันใดนั้นเองจางเพ่ยเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากจวนฟู่

สองพ่อลูกได้ประสานสายตาเข้าด้วยกันที่หน้าประตูจวนฟู่ ผู้คนที่พบเห็นต่างก็พากันตกตะลึงงัน ! นี่มิใช่จางเพ่ยเอ๋อร์คุณหนูแห่งตระกูลจางหรอกหรือ ?

นางมิได้คิดสั้นกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเมื่อคืนงานไหว้พระจันทร์ในปีนั้นไปแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ?

เหตุใดนางถึงปรากฏตัวขึ้นที่จวนฟู่ ?

หรือวิญญาณของนางจะกลับมาแก้แค้นฟู่เสี่ยวกวนกัน ?

บางคนก็กรีดร้องออกมาและวิ่งหนีด้วยความตื่นตกใจ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจที่หน้าจวนฟู่ก็หลงเหลืออยู่เพียงจางจือเช่อผู้เดียวเท่านั้น บัดนี้จางจือเช่อได้ยืนตกตะลึงงัน เบิกตากว้างจ้องมองจางเพ่ยเอ๋อร์ที่รีบพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของบิดา “ท่านพ่อ… ! ”

“ลูกพ่อ… ! ”

สองพ่อลูกกอดกันร้องไห้จนฟังเสียงเอ่ยมิเป็นศัพท์

ชุนซิ่วเดินออกมา จากนั้นก็กระซิบข้างหูของจางเพ่ยเอ๋อร์ “ฮูหยินรองเจ้าคะ คุณชายเชิญเข้าไปด้านในจวนหลักเจ้าค่ะ”

จางเพ่ยเอ๋อร์จึงหยุดร้องไห้ แต่คำว่าฮูหยินรองได้ลอยไปถึงหูจางจือเช่อเช่นเดียวกัน…ฮูหยินรองเยี่ยงนั้นหรือ ?

จางจือเช่อสูดหายใจเข้าด้วยความตกตะลึง บุตรสาวของเขา…ได้ตกลงปลงใจกับผู้ใดกัน ?