ตอนที่ 749 ปลากินเบ็ด

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 749 ปลากินเบ็ด

ไท่หลิน เมืองหลวงของแคว้นอี๋

หิมะของที่นี่ตกหนักเสียยิ่งกว่าที่เขตเหยาแห่งราชวงศ์หยูเสียอีก

ในยามนี้เยียนเหลียงเจ๋อมิได้กลับไปยังวังหลัง แต่ทว่าเลือกที่จะพำนักที่ห้องทรงพระอักษรแทน

ส่วนผู้ที่อยู่ด้วยในตอนนี้คืออัครมหาเสนาบดีเปียนมู่หยู และเสนาบดีกลาโหมอู๋เวิ่นห่าย

เยียนเหลียงเจ๋อขมวดคิ้วมุ่นและกำลังอ่านจดหมายในมืออย่างตั้งใจ จดหมายฉบับนี้ คือจดหมายที่ฟู่เสี่ยวกวนส่งถึงเยียนหานยวี่ และเบื้องหน้าของเขาก็ยังมีรายงานเกี่ยวกับว่อเฟิงเต้าอีกหนึ่งฉบับ

สีหน้าของเปียนมู่หยูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแสนมืดมน แต่มิได้เป็นเพราะถูกแสงจากกองไฟที่อยู่ด้านข้างสะท้อน ทว่าเป็นเพราะได้รับข่าวความล้มเหลวในการลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั่นเอง

เยียนเหลียงเจ๋อวางจดหมายในมือลง ถูมือไปมาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เป็นลายมือของเขาจริง ๆ ข้าคาดมิถึงเลยว่าเขาจะใส่ใจองค์ชายแขนเดียวผู้นั้น…”

“แต่ทว่าสิ่งที่เขาเอ่ยถึงในจดหมาย ข้ากลับรู้สึกว่าค่อนข้างมีเหตุผล องค์ชายแขนเดียวขาดทุนทรัพย์ ฝ่ายฟู่เสี่ยวกวนจึงสอนเรื่องการขายหุ้น นี่เป็นการหาเงินผ่านการระดมเงินทุน”

เยียนเหลียงเจ๋อแสยะยิ้ม “ชายผู้นี้ช่างใจกว้างยิ่ง สอนคนรู้จักปลามิเท่าสอนคนให้รู้จักจับปลา… พวกเจ้าลองดูว่าคำเอ่ยของเขาในนี้มีความจริงอยู่สักกี่คำ ? ”

เปียนมู่หยูเมื่อนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา เขาจึงรีบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าต้องเป็นความลวงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“อือ… จงกล่าวมาโดยละเอียด”

“ฝ่าบาท จิตใจของฟู่เสี่ยวกวนเปรียบดั่งงูพิษ เขาจะมีเจตนาดีได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนี้องค์ชายแขนเดียวก็มิมีผลประโยชน์อันใดต่อเขาเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเขาต้องสอนองค์ชายแขนเดียวให้สร้างธนาคารเพื่อขายหุ้นด้วยเล่า กระหม่อมกังวลว่าเขากำลังวางแผนอันใดอยู่อีกพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เสนาบดีกลาโหมอู๋เวิ่นห่ายที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของเยียนเหลียงเจ๋อมิค่อยเห็นด้วยกับเปียนมู่หยูสักเท่าใดนัก

เขายกมือขึ้นคำนับไปทางเยียนเหลียงเจ๋อ “ทูลฝ่าบาท พวกเรามิต้องสนใจจดหมายฉบับนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่อาศัยรายงานตลอดครึ่งปีที่ได้รับมาจากว่อเฟิงเต้าก็พอ… ธนาคารซื่อทงสาขาว่อเฟิงเต้าเพิ่งก่อตั้งได้เพียง 3 เดือน แต่บัดนี้ได้ออกหุ้นมา 10 ตัวแล้ว และยอดระดมทุนทั้งสิ้นเกือบจะถึง 50 ล้านตำลึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!

เงินเหล่านี้ถูกนำไปลงทุนกับกิจการทั้งหลายในว่อเฟิงเต้าและเพราะมีเงินมากถึงเพียงนี้ว่อเฟิงเต้าจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว !

ท่านอัครมหาเสนาบดีเปียน ที่หอเสียงไท่และร้านจิ่นซิ่วเป็นร้านโบราณกว่าสองร้อยปีของเมืองว่อเฟิง ท่านและข้าล้วนทราบกันดีว่าแม้แต่พวกเขายังขายหุ้นแล้วระดมทุนได้มากถึง 10 ล้านตำลึงเชียว พวกเขาได้ตั้งโรงงานที่ว่อเฟิงเต้าด้วยเช่นกัน… หากสิ่งที่เรียกว่าหุ้นนี้มีปัญหาจริง ฟู่เสี่ยวกวนที่แสนชาญฉลาดจะผลักดันอย่างเต็มกำลังเยี่ยงนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“จากรายงานที่ส่งมาจากจินหลิงนั้นแย่ยิ่งกว่าเพราะหุ้นทั้งสามสิบสามตัวของธนาคารซื่อทงพุ่งขึ้นสูงจนน่าตกใจ คนที่ขายหุ้นได้แล้วก็จะได้รับเงิน ส่วนบริษัทที่ขายหุ้นต่างก็ได้รับเงินทุนเต็มเม็ดเต็มหน่วย… ความสุขที่มากเป็นล้นพ้นนี้จะมีปัญหาตรงที่ใดกัน ? ”

เปียนมู่หยูที่ได้ฟังหลักการนี้ก็เข้าใจได้โดยง่ายว่ามันคือยืมไก่มาออกไข่ เพียงแค่มีไก่ก็จะสามารถออกไข่ได้ และถ้ามีไข่ก็จะสามารถฟักเป็นไก่ออกมาได้อีก…

ตามวิธีการสื่อสารที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนถึงเยียนหานยวี่นั้นก็หมายถึงไข่และไก่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เขามองมิออกว่าจะมีปัญหาอันใด เนื่องจากสุดท้ายแล้วธนาคารซื่อทงทั้งสองแห่งของฟู่เสี่ยวกวนต่างก็ประโคมเรื่องนี้อย่างใหญ่โต

แต่เขารู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนมิมีทางที่จะเจตนาดี คนผู้นั้นกลืนกินว่อเฟิงหยวนในคำเดียว อีกทั้งยังให้แคว้นอี๋ชดเชยหมาป่าผู้หิวโหยเป็นเงินจำนวน 180 ล้านตำลึง !

เมื่ออู๋เวิ่นห่ายเห็นว่าเปียนมู่หยูมิได้แสดงท่าทีอันใด จึงถอนหายใจยาวอีกคราแล้วเอ่ยว่า “ทูลฝ่าบาท ปัจจุบันการเงินของแคว้นเราขัดสนเป็นอย่างมาก ปีนี้ก็ขึ้นภาษีมาแล้วถึง 3 ครา !

ความมิพอใจของราษฎรในแคว้นอี๋เริ่มปะทุขึ้นมาแล้ว หากยังมิสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการเงินได้อีก และยังใช้แผนเพิ่มภาษีอีกครา… กระหม่อมเกรงว่าจะเกิดเหตุขัดแย้งขึ้นอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

นี่คือปัญหาที่น่าปวดหัวที่สุดของเยียนเหลียงเจ๋อ

ฟู่เสี่ยวกวนได้ขูดรีดทรัพย์สินที่สั่งสมมาเกือบสิบปีของแคว้นอี๋ไปจนหมด ทำให้ท้องพระคลังของแคว้นอี๋ว่างเปล่า

ข้าต้องการเงินโดยเร่งด่วน !

ข้าเองก็ทราบว่าปืนคาบศิลานั้นยอดเยี่ยม ข้าเองก็อยากรวมพลังทั้งแคว้นเพื่อสร้างปืนคาบศิลาและปืนใหญ่หงอีขึ้นมา แต่ทว่าทั้งหมดนี้ต้องใช้เงิน !

ความเปลี่ยนแปลงของว่อเฟิงเต้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าได้แต่เฝ้ามองจนตาเขียวตาช้ำไปหมดแล้ว

แต่ทว่าก็ต้องยอมรับในความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะหลังจากได้รับรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการสร้างสำนักศึกษาและสร้างเครือข่ายด้านการขนส่ง อีกทั้งยังมีความคิดแปลกประหลาดที่จะขุดแม่น้ำทำเป็นเส้นทางขนส่งทางเรือขนาดใหญ่บนตะวันตกเฉียงใต้สายหนึ่ง เยียนเหลียงเจ๋อรู้สึกกลัดกลุ้มใจมากยิ่งนัก

สามารถใช้เงินได้อย่างสิ้นเปลืองเยี่ยงนี้เลยหรือ ?

หากข้ามีเงินมากถึงเพียงนั้น ย่อมต้องนำไปใช้วิจัยด้านการทหารเสียมากกว่า !

หากข้ามีปืนใหญ่หงอีและปืนคาบศิลา ข้าจะต้องยึดด่านหว่าเฉียวแล้วทวงคืนผืนปฐพีแสนอุดมสมบูรณ์ผืนนั้นกลับมาได้อย่างแน่นอน !

แต่เยี่ยงไรเสีย… ข้ามิมีเงินอย่างแท้จริง !

แม้แต่งบประมาณสำหรับใช้จ่ายในวังหลังของปีนี้ ก็ลดแล้วลดอีกจนทำให้เหล่าสนมบ่นกันทั่วหน้า

ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงให้เยียนหานยวี่สร้างธนาคารขึ้นมาเพื่อหาเงินโดยการขายหุ้น นี่คือปัญหาของแคว้นอี๋ที่เขามองออกเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาต้องการทำให้เยียนหานยวี่ผงาดขึ้นมาโดยใช้วิธีการทางเศรษฐกิจ หลังจากนั้น…ก็ให้เจ้าหมอนั่นยึดบัลลังก์ของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

ต้องเป็นเช่นนั้นมิผิดเป็นแน่ !

“คนผู้นี้ย่อมมิมีเจตนาที่ดี” ทันใดนั้นเยียนเหลียงเจ๋อก็โพล่งออกมาหนึ่งประโยค จนทำให้เสนาบดีกลาโหมอู๋เวิ่นห่ายชะงักงัน ส่วนเปียนมู่หยูคิดว่าฝ่าบาทได้บังเกิดความคิดแตกฉานขึ้นมาแล้วอย่างแน่นอน ในตอนที่กำลังดีใจก็คาดมิถึงว่าเยียนเหลียงเจ๋อจะตรัสขึ้นมาว่า

“ข้ามิมีทางมอบโอกาสก่อกบฏนี้ให้แก่องค์ชายแขนเดียวเป็นแน่…การประชุมในวันพรุ่งนี้เช้า ข้าจะมีราชโองการให้จัดตั้งธนาคารปาต๋า !

อู๋เวิ่นห่าย เจ้าได้รับสิทธิ์ในการดูแลรับผิดชอบเรื่องของธนาคารทั้งหมด และต้องติดป้ายดำเนินกิจการก่อนวันที่แปดเดือนหนึ่ง

อัครมหาเสนาบดีเปียน เจ้ารับผิดชอบเรื่องของพ่อค้าทั้งหมดในแคว้นอี๋ จงเชิญพวกเขามายังเมืองไท่หลินเพื่อจำหน่ายหุ้นออกสู่ท้องตลาด… ตามข้อคิดเห็นที่ฟู่เสี่ยวกวนให้แก่เยียนหานยวี่คือให้จัดตั้งบริษัทของรัฐขึ้นมา ดังนั้นข้าเองก็จะออกหุ้นด้วย ! ”

เปียนมู่หยูตกตะลึงงัน “ฝ่าบาท เรื่องนี้สมควรหารือกันในระยะยาวเพื่อมิให้ตกลงไปในกลอุบายของฟู่เสี่ยวกวนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“อ่า… เจ้าต้องการจะบอกว่าในนี้มีกลอุบายแฝงอยู่ใช่หรือไม่ ? ”

เปียนมู่หยูรู้สึกว่าตนเองเป็นใบ้ไปชั่วขณะ แต่ทว่าอู๋เวิ่นห่ายกลับรู้สึกยินดีปรีดามากยิ่งนัก “ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง… มิเช่นนั้นก็ก่อตั้งบริษัทของรัฐ 10 แห่งขึ้นภายใต้พระปรมาภิไธยของฝ่าบาทดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

เยียนเหลียงเจ๋อเมื่อได้ยินดังนั้นก็คิดว่านี่คือแผนการที่ดี !

บริษัท 10 แห่งสามารถขายหุ้นได้ 10 ตัว เช่นนั้นจะสามารถระดมเงินทุนได้จำนวนเท่าใดกัน !

“เอาตามนี้แหละ ! เจ้าเป็นผู้เลือกชื่อบริษัท ส่วนข้า…ต้องการดูเพียงผลลัพธ์เท่านั้น ! ”

วันรุ่งขึ้น คณะของฟู่เสี่ยวกวนกำลังเดินทางไปยังซีซาน จักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋เยียนเหลียงเจ๋อก็ได้ออกราชโองการมาหนึ่งฉบับว่า แคว้นอี๋จะดำเนินการปฏิรูปและจัดตั้งธนาคารปาต๋า อีกทั้งยังเชิญชวนพ่อค้าจากทั่วราชอาณาจักรมาเยือนยังเมืองไท่หลินเพื่อร่วมด้วยช่วยกันสร้างความเจริญรุ่งเรืองในวันที่แปดเดือนหนึ่งของปีหน้า !

ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังมิทราบข่าวคราวนี้

เมื่อเขาเดินทางมาถึงซีซาน ยังมิทันได้เข้าไปในเรือนซีซานเลยด้วยซ้ำ เขาก็ตรงไปยังสำนักศึกษาซีซานทันที

กลุ่มคนจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ในสำนักงานของฉินปิ่งจง แน่นอนว่าฉินปิ่งจงเองก็ตื่นตกใจมากยิ่งนักกับการมาของเขา

“พี่ใหญ่ กลับจินหลิงกัน”

ฉินปิ่งจงหัวเราะขึ้นมา “ปีนี้ข้ามิกลับไปแล้ว ขอเฝ้าอยู่ที่นี่ดีกว่า เพราะช่วงปีใหม่ที่นี่ครึกครื้นกว่าจินหลิงเป็นใหน ๆ ”

เนื่องจากหยูเวิ่นเต้าอยู่ที่นี่ด้วย ฉินปิ่งจงจึงมิได้เล่าถึงเรื่องที่เหวินสิงโจวได้ส่งจดหมายมาหาตน และมิได้บอกเรื่องที่หลานชายและหลานสาวได้ไปยังราชวงศ์อู๋แล้ว

ฉินปิ่งจงจึงเอ่ยถึงจวนฟู่ ณ หลินเจียงแทน

“ที่จวนฟู่หลินเจียง… ทุกคนได้ไปกันหมดแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงัน บิดาได้กล่าวไว้แล้วในจดหมายที่ส่งมา แต่คาดมิถึงว่าบิดาอ้วนจะลงมือเร็วถึงเพียงนี้

“มิมีปัญหาอันใดใช่หรือไม่ ? ”

ฉินปิ่งจงส่ายหน้า “มิมีปัญหาอันใดเลย”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า มิได้อยู่ที่ซีซานเสียนาน เขาจึงให้คนไปเรียกชุนซิ่วมาและพานางออกเดินทางตรงไปยังหลินเจียง