ตอนที่ 362 ซิงซิงหวานพออยู่แล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“เดี๋ยวก่อนฝ่าบาท พระองค์จะทรงนำทัพด้วยตนเอง?” ตู๋กูเจวี๋ยที่ถือชามกินข้าวอยู่ในมือ

 

 

อยู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าพริก ซีอิ้วกับผักดองในชามข้าวชักจะไม่ค่อยอร่อยขึ้นมาแล้ว

 

 

จีเฉวียนพยักพระพักตร์ “ท่านผู้เฒ่ากำลังทดสอบความจริงใจของเรา เราเคยบอกเอาไว้แล้ว ว่าหลงรักซิงซิง ไม่ใช่เพราะต้องการกำลังและอำนาจ ดังนั้นแคว้นต้าเหยียนนี้ เราจะไปปราบด้วยตนเอง”

 

 

 

 

 

 

แผ่นดินที่รวบรวมมาได้…..ก็จะมอบให้นาง

 

 

แม้แต่สีหน้าของตู๋กูถิงก็ยังเปลี่ยนไปด้วย “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเคยเป็นองค์ประกันอยู่ในแคว้นต้าเหยียนมาระยะหนึ่ง ย่อมทรงทราบว่าคิดจะตีแคว้นต้าเหยียนนั้นมิใช่เรื่องง่าย พระโอรสองค์โตของฝ่าบาทยังมิทันมีประสูติกาลด้วยซ้ำ หากว่าพระองค์เกิดสิ้นพระชนม์ไปในสงคราม บางทีแม้แต่ผู้จะสืบทอดบัลลังก์ก็อาจจะไม่มีแล้ว”

 

 

ไม่อาจโทษว่าตู๋กูถิงที่กล่าวตามความจริง….ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้ชมชอบจีเฉวียน นั้นก็เป็นเพราะเรื่องเก่าก่อนของสองตระกูล ยามนี้สถานการณ์แตกต่างกัน

 

 

เพราะหากให้พูดตามความจริง จีเฉวียนก็ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดีมากๆ เรื่องนี้ย่อมไม่อาจจะปฏิเสธไปได้

 

 

หากว่าพระองค์เกิดสิ้นไปในแคว้นต้าเหยียน แคว้นต้าโจวก็คงจะวุ่นวายมากแล้ว

 

 

เรื่องนี้สำหรับพวกเขาแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่ามากๆ

 

 

“เราชะตาแข็งแกร่งมาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่มีทางตายง่ายๆ หรอก” จีเฉวียนคว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ดวงเนตรหงส์นั้นจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของตู๋กูซิงหลัน “ซิงซิง หลังจากนี้ครึ่งปีเราจะต้องกลับมาพร้อมกับชัยชนะ พอถึงตอนนั้น เมื่อเรามอบฐานะใหม่ที่ถูกต้องให้กับเจ้า เจ้าจะยอมรับในตัวเราได้หรือไม่?”

 

 

พระองค์ทรงกลัวมากว่าตู๋กูซิงหลันจะปฏิเสธพระองค์อีกครั้ง จึงตรัสอีกว่า “ต่อให้ไม่ยอมรับเราก็ไม่เป็นไร….เราเพียงหวังว่า ถึงตอนนั้นเจ้าจะยอมให้โอกาสเราสักครั้ง อยู่ร่วมกับเราสองปี หากว่าเจ้ายังไม่รักเรา…..ถึงตอนนั้นเราค่อยวางมือถอดใจอย่างแท้จริง ได้หรือไม่?”

 

 

ฮ่องเต้ทรงตรัสถึงเพียงนี้แล้ว ต่อให้ตู๋กูซิงหลันมีหัวใจแข็งเป็นหินก็ยังต้องยอมอ่อนลง

 

 

หากว่าชาตินี้นางไม่มีโอกาสไปจากที่นี่ละก็ อยู่อย่างสนุกสนานกับฮ่องเต้ลูกชายก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย

 

 

ดูท่านางคงจะถูกอะไรเข้าสิงแล้วถึงได้พยักหน้าออกไป

 

 

หัวใจของวิญญาณทมิฬแตกดังเพล้ง มันอกหักแทนซื่อมั่วเสียแล้ว

 

 

ดูเอาสิ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่เอาแต่รุกคืบอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เป็นหญิงสาวที่รักนวลสงวนตัวสุดๆ เช่นนางก็ยังต้องยอมรับ

 

 

ครั้งนี้ไม่อาจโทษว่าหลันหลันจริงๆ ……..

 

 

วิญญาณทมิฬรู้สึกว่า หากมีคนที่ไล่ตามจีบมันอย่างบ้าคลั่ง มันก็อาจจะยอมรับเหมือนกันนะ….ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูร แต่ก็โสดนิ

 

 

ทันที่ทีตู๋กูซิงหลันรับปาก จีเฉวียนก็ทรงรู้สึกว่าพระองค์ทรงถูกความสุขมากมายโอบล้อมเอาไว้

 

 

หากมิใช่เพราะว่ามีคนมากมายอยู่ในที่นี้ด้วย พระองค์จะต้องจับตู๋กูซิงหลันเข้ามากอดในอ้อมพระพาหาและจุมพิตหนักๆ สักครั้ง

 

 

“เราจะต้องไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน” สายพระเนตรของฝ่าบาทระยิบระยับราวกับมีดวงดาวกระพริบอยู่

 

 

อาหารมื้อนี้สำหรับพระองค์แล้วถือว่ามีคุณค่ามากกว่าอาหารมื้อไหนๆ ที่เคยกินมาตลอดพระชนม์ชีพเสียอีก

 

 

ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงถึงกับอธิบายความรู้สึกในพระทัยไม่ถูกเลยทีเดียว หัวใจของพระองค์พลิ้วขึ้นมาเหมือนจะลอยขึ้นไป ลอยละล่องอยู่ในหมู่เมฆ

 

 

ตู๋กูซิงหลันเห็นเขายินดีปรีดาราวกับเด็กๆ หัวใจของนางก็พลันอบอุ่นขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันก็พลันเกิดความรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแทงอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน

 

 

ราวกับว่าหัวใจถูกเจาะด้วยสิ่วอย่างแรง

 

 

นางพยายามฝืนใจสงบความรู้สึกนั้นลงไป กะว่ารอจนกลับไปแล้วค่อยไปให้ซุนย่วนสื่อตรวจดูให้ดีๆ ว่าตนเองใช่ป่วยเป็นโรคไม่อาจมีความรักกับใครใช่หรือไม่

 

 

คราวนี้ เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลตู๋กูต่างก็ไม่อาจพูดอะไรอีกแล้ว

 

 

พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ……ฮ่องเต้จะทรงทำเพื่อน้องเล็กได้ถึงเพียงนี้

 

 

ว่ากันตามจริง ก็มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งที่พวกเขาต่างก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอยู่เหมือนกัน

 

 

แต่พอหวนคิดให้ดี…..พระองค์จะไปเพื่อขยายดินแดนให้กับตนเอง ไม่ใช่ว่าจะรบเอาแผ่นดินมาให้น้องเล็กสักหน่อย พวกเขาจะไปตื่นเต้นด้วยทำไมกัน?

 

 

โดยเฉพาะท่านปู่ตอนนี้ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว

 

 

เขาเงียบงันไปพักใหญ่ พลางตักขนมหวานชามใหญ่ให้กับตนเองเพื่อปลอบใจ

 

 

จะว่าอย่างไรดีเล่า…….คลื่นลูกหลังใหญ่กว่า

 

 

ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ?

 

 

เขาคิดว่าการทำสงครามเป็นเรื่องง่ายงั้นหรือ?

 

 

ต้าเหยียน….เป็นเนื้อติดมันชิ้นงาม แต่ก็ติดฟันด้วย คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำสงครามมาก่อน อย่าว่าแต่สามปีห้าปีเลยเกรงว่าแม้แต่สงครามเดียวก็ไม่อาจชนะได้

 

 

ครึ่งปี?

 

 

ตู๋กูถิงนำทัพมาหลายสิบปี แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่กล้าตบอกออกมารับรองว่าจะสามารถยึดแคว้นเหยียนได้ภายในครึ่งปี

 

 

ก็ดี ให้ฮ่องเต้น้อยไปแนวหน้าเผชิญกับความยากลำบากเสียบ้าง จะได้ให้เขาได้รู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ อย่างที่เขาคิด

 

 

“ภายในครึ่งปี แล้วหากว่าฝ่าบาทไม่อาจกลับมาได้เล่า?” ท่านปู่ตู๋กูที่ชำนาญการล้มกระดานเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นไปได้หรอก” จีเฉวียนย่อมทรงรู้พระองค์ดีว่าทรงมีความสามารถเพียงใด

 

 

ตู๋กูถิงหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาท หากไม่มีเรื่องใดก็แล้วไป กระหม่อมเพียงแต่ต้องการจะหาสิ่งรับประกันเอาไว้ให้หลานสาวเท่านั้น หากว่าฝ่าบาทไม่อาจนำชัยชนะกลับมาได้ภายในครึ่งปี ก็จะทรงวางมือจากหลันหลันด้วยเป็นอย่างไร?”

 

 

“พระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางต้องเป็นฝ่ายรอคอยพระองค์อยู่ฝ่ายเดียวไปตลอดกระมัง? ยิ่งไปกว่านั้น….ตอนนี้หลันหลันของกระหม่อมก็ยังมิได้ยอมรับในตัวฝ่าบาท เพียงแต่ยอมรับข้อเสนอของพระองค์เท่านั้น”

 

 

หากว่าเป็นผู้อื่นคิดจะมาล้มกระดานเช่นนี้ เกรงว่าศีรษะของคนผู้นั้นคงต้องถูกฝังลงไปในก้นหลุมลึกแล้ว แต่ว่านี้คือท่านปู่ของนาง จีเฉวียนจึงได้แต่ต้องให้ความเคารพ

 

 

“เรา พูดได้ก็ต้องทำได้”

 

 

เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมาอย่างเด็ดขาด

 

 

“เป็นเช่นนั้นก็ดี”

 

 

ตู๋กูถิงว่าต่อไป “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเห็นว่ากระหม่อมใจร้าย เงื่อนไขออกรบด้วยพระองค์เองนี้พระองค์ทรงเสนอขึ้นมาเอง ฉะนั้นสงครามครั้งนี้กระหม่อมจะไม่เข้าร่วมด้วยแล้ว”

 

 

“แน่นอน” ในเมื่อฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยจะเสด็จไปด้วยพระองค์เองย่อมไม่ทรงต้องการความช่วยเหลือจากเขา

 

 

“แต่ว่าหลานชายคนโตของกระหม่อมสามารถเป็นผู้ช่วยของพระองค์ได้ หากว่าฝ่าบาทมิทรงรังเกียจก็นำเขาไปด้วยเถอะพะยะค่ะ”

 

 

ตู๋กูถิงผลักตู๋กูจุนออกไปในทันที “คนหนุ่มๆ ติดตามฝ่าบาทไปฝึกฝนให้มากๆ ย่อมเป็นการดี”

 

 

ตู๋กูจุนก็มิได้ปฏิเสธ เขาต้องการไปกับจีเฉวียนจะได้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพระองค์

 

 

หากท่านปู่ยังมิได้มีคำสั่งให้กบฏ เมื่อถึงยามคับขันเขายังต้องปกป้องชีวิตของจีเฉวียนเอาไว้ ไม่ให้ตายไปได้

 

 

“กระหม่อมเต็มใจติดตามฝ่าบาทไปทำสงครามยังแนวหน้า” ยากนักที่ตู๋กูจุนจะว่าง่ายขึ้นมา แม้ในใจของเขาจะคิดว่า หากว่าจีเฉวียนมีความสามารถจะปราบแคว้นต้าเหยียนได้จริง ตลอดสงครามนี้เขาก็จะได้คอยดูว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลเช่นใดกันแน่ และเหมาะสมกับน้องเล็กหรือไม่

 

 

จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง พวกเขาคิดอะไรกันอยู่ในใจ พระองค์ย่อมทรงทราบดีอยู่แล้ว

 

 

แต่ไหนแต่ไรผู้ที่เป็นฮ่องเต้ล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่า คิดจะวางหมากต่อหน้าพระองค์…..แค่เหลือบพระเนตรดูก็ทรงมองออกแล้ว

 

 

อย่าว่าแต่จุดประสงค์ของท่านผู้เฒ่าถึงกับชัดเจนเพียงนี้ ต้อให้เป็นคนโง่ก็สามารถคาดเดาได้

 

 

ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์ “ได้”

 

 

“อ้ายย่าห์ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขออวยพรให้ฝ่าบาททรงกำราบแคว้นต้าเหยียนได้ในเร็ววันแล้ว ขอให้แคว้นต้าโจวของพวกเรายิ่งใหญ่เกรียงไกรเหนือดินแดนทั้งหมด!” ตู๋กูเจวี๋ยยกชามขนมหวานในมือขึ้นสูง “กระหม่อมขอดื่มถวายก่อนถ้วยหนึ่ง ทุกท่านตามสบาย”

 

 

ดูเอาเถอะ บรรยากาศภายในห้องกำลังเคร่งเครียด แทบจะบีบคั้นคนให้ตายอยู่แล้ว

 

 

หากเขาไม่กล่าวอะไรออกมาผ่อนคลายบรรยากาศสักสองประโยค เกรงว่าตนเองคงต้องขาดใจตายไปก่อน

 

 

จีเฉวียน “ขนมหวานเราไม่ขอรับ แค่ซิงซิงก็หวานพอแล้ว เราได้หอมสักหน่อยก็พอใจแล้ว”

 

 

ทุกคนพากันระเบิดตัวเอง

 

 

วิญญาณทมิฬเองก็แอบจดบันทึกคำพูดของจีเฉวียนเอาไว้อย่างเงียบๆ ดูเอาเถอะ….หลันหลันกำลังจะกลายเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว แต่ว่าซื่อมั่วยังไม่ทันได้สารภาพความในใจออกมาเลยสักคำเดียว

 

 

ระหว่างคนกับคนทำไมถึงได้มีข้อแตกต่างกันมากมายเพียงนี้นะ?

 

 

 

 

………………………………………….

 

 

ตอนต่อไป “เรื่องที่ปฐมฮ่องเต้ทรงทำไม่ได้ ข้าจะทำเอง”