ตอนที่ 363 เรื่องที่ปฐมฮ่องเต้ทำไม่ได้ ข้าจะทำเอง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยามที่ฮ่องเต้เสด็จออกมาจากตระกูลตู๋กูนั้น สีพระพักตร์ทั้งสดชื่นและแจ่มใส ช่างเหนือความคาดหมายของผู้คนไปมากนัก!

 

 

คนในโรงน้ำชาต่างก็เฝ้ารอจนถึงมืดค่ำ เดิมทีนึกว่าในจวนจะเกิดเรื่องอึกทึกครึกโครมใดบ้างเสียอีก

 

 

สุดท้ายกลับกลายเป็นเช่นนี้?

 

 

นี่ก็ยังแล้วไปเถอะ….ที่น่าสนใจกว่าก็คือท่านผู้เฒ่าถึงกับมาส่งเสด็จฝ่าบาทด้วยตนเอง!

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ภายในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ท่าทีของเขาที่มีต่อฝ่าบาทกลับเปลี่ยนแปลงมากถึงเพียงนี้

 

 

คุณชายตระกูลตู๋กูทั้งสองคน ก็อมยิ้มดุจดอกไม้ผลิบาน….จุ๊ จุ๊

 

 

ผู้คนทั้งหลายอดจะเกิดความสงสัยไม่ได้ ฮ่องเต้และตระกูลตู๋กูจะต้องบรรลุข้อตกลงอะไรที่ไม่อาจบอกผู้คนได้เป็นแน่

 

 

อย่างเช่น….ขายหลานสาวอะไรทำนองนี้?

 

 

อืม ….พูดถึงหลานสาว ทำไมถึงไม่ได้เห็นไทเฮาน้อยเลย?

 

 

นางไม่กลับวังแล้วหรือ?

 

 

พอบรรลุข้อตกลงได้ ก็เลยส่งคนคืนให้?

 

 

“ทำอย่างไรดี อยากจะรู้มากจริงๆ ตกลงแล้วฝ่าบาททรงทำข้อตกลงอะไรกับตระกูลตู๋กูกันแน่นะ?”

 

 

ในโรงน้ำชา คนที่เกิดข้อสงสัยมิได้มีเพียงผู้เดียว

 

 

ในมุมหนึ่งของโรงน้ำชา มีบุรุษที่นั่งอยู่ที่นี่มาแล้วทั้งวันเช่นกัน สีหน้าของเขาอึมครึมยิ่งนัก

 

 

เขาสวมหมวกคลุมหน้าสีดำ ปิดบังใบหน้าทั้งหมดเอาไว้ เขานั่งอยู่ในมุมด้านในสุด แทบไม่ทำให้รู้สึกถึงการคงอยู่เลยด้วยซ้ำ ทำให้ทั้งวันแทบจะมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นเขา

 

 

ยามนี้พอเห็นว่าจีเฉวียนเสด็จออกมาแล้ว ดวงตาที่อยู่ใต้หมวกคลุมหน้านั้นก็มืดครึ้มกว่าเดิม

 

 

เขายืดคอขึ้นมาน้อยๆ มองออกไปทางประตูใหญ่ของจวนตระกูลตู๋กู

 

 

ก็เห็นว่าตอนนี้จีเฉวียนกำลังจะเสด็จขึ้นไปบนรถม้า และก่อนที่จะขึ้นไป พระองค์ก็ทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรทางโรงน้ำชานี้แวบหนึ่งคล้ายดั่งมิได้ตั้งใจ

 

 

ชั่วแวบนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการมองผ่านๆ ในระยะที่ห่างไกล แต่ก็ทำให้คนในชุดดำหัวใจเย็นวาบไปชั่วขณะหนึ่ง

 

 

จีเฉวียนเก็บสายพระเนตรกลับมาอย่างรวดเร็ว ก็หันกลับมากล่าวลาท่านผู้เฒ่าตู๋กูอีกครั้ง ค่อยเสด็จกลับวังไป

 

 

ท่านผู้เฒ่ากับหลานสาวแยกจากกันมานานถึงสองปี จึงยังมีเรื่องต่างๆ ที่อยากจะพูดคุยกันอีกมาก

 

 

พระองค์เองก็อยากจะให้นางได้มีความเป็นส่วนตัวบ้าง

 

 

ดังนั้นฝ่าบาทจึงตัดสินพระทัยว่าพรุ่งนี้ยามเช้าค่อยเสด็จมารับนางกลับไป

 

 

……………………..

 

 

 

 

ถึงจะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงภายในบ้าน ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่มื้ออาหารที่บริบูรณ์มากหน่อยมื้อหนึ่งเท่านั้น

 

 

พอจีเฉวียนเสด็จกลับไป ทุกคนต่างก็รับประทานเรียบร้อยแล้ว ตู๋กูถิงถึงได้นำตู๋กูซิงหลันไปพูดคุยกันยังห้องเล็กๆ เพียงลำพัง

 

 

หลี่กงกง ส่งถ่านไหมเงินจากพระตำหนักตี้หัวกงทั้งหมดมาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จุดเอาไว้ในห้องส่วนตัวก่อนที่จะเข้าวังของตู๋กูซิงหลัน

 

 

ท่านผู้เฒ่านั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ปล่อยให้ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นที่สวยงาม

 

 

หลังจากจดจ้องหลานสาวของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยเอ่ยว่า “ดวงใจเอ๋ย เจ้าต้องบอกปู่มาตามตรง ว่าเจ้าคิดจะยอมรับในตัวของฮ่องเต้น้อยนั่นจริงๆ หรือ?”

 

 

ช่วงนี้ตู๋กูซิงหลันมักจะถูกคนถามถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา

 

 

ถามกันทีก็ปวดศีรษะขึ้นมาทีหนึ่ง

 

 

“ท่านปู่เองก็คาดเอาไว้แล้วว่าพระองค์ไม่มีทางจะเสด็จกลับมาพร้อมชัยชนะภายในครึ่งปี ถึงได้ยอมลืมตาข้างปิดตาข้างมิใช่หรือเจ้าคะ?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมา “ข้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ตอบรับอยู่แล้วแท้ๆ ท่านปู่ยังจะต้องถามเรื่องนี้อีกทำไม”

 

 

“แล้วหากว่าเขาเกิดกลับมาได้จริงๆ ล่ะ?” ถึงแม้ว่าตู๋กูถิงจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็รู้สึกว่า….ฮ่องเต้จะต้องทุ่มเทพละกำลังอย่างถึงที่สุดแน่นอน

 

 

“ถ้าเช่นนั้นข้ารับปากไปแล้วก็ต้องทำให้ได้ ข้าจะไม่โกหกเขา” รอยยิ้มบนใบหน้าของตู๋กูซิงหลันยังคงมิได้จางหายไป

 

 

ด้วยเกรงว่าท่านผู้เฒ่าจะไถ่ถามอะไรอีก นางจึงได้หันเหหัวข้อขึ้นมาใหม่ “ท่านปู่ ที่จริงแล้วข้ามีคำถามอยากจะถามอยู่เจ้าค่ะ”

 

 

“หลันหลันถามมาเถอะ”

 

 

“ตอนนั้นทำไมท่านย่าถึงได้แต่งให้กับท่านเจ้าคะ?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้อ้อมค้อม คำถามนี้คับแน่นอยู่ในใจของนางมานานแล้ว หากไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนออกมาจะต้องรู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งร่างอย่างแน่นอน

 

 

พอถามคำถามนี้ออกไป สีหน้าของท่านผู้เฒ่าก็แข็งค้างขึ้นมาในทันที

 

 

ที่จริงแล้วหลายปีมานี้ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงฮูหยิน ต่อหน้าเขามานานมากแล้ว

 

 

“ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองกู่เย่ว ได้เห็นภาพความทรงจำของท่านย่า” ตู๋กูซิงหลันว่าต่อไป “นางดึงความทรงจำส่วนหนึ่งของตนเองออกมา บรรจุไว้ในลูกแก้วและถูกเหลียงจวิ้นอ๋องเก็บรักษาเอาไว้”

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่คิดจะปิดบังเขา “อดีตฮ่องเต้ทำลายท่านย่า บังคับพาตัวกลับมา สุดท้ายกลับแต่งให้กับท่านปู่ ในระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันหรือเจ้าคะ?”

 

 

ตู๋กูถิงได้ฟังแล้ว ก็นิ่งงันไปอยู่นาน…….

 

 

เขาเหมือนกับถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจากร่างจนหมด นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้นั่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่พูดไม่จาอะไรสักคำเดียว

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้เร่งรัดอะไรเขา นางนั่งอยู่บนรถเข็น รอคอยตู๋กูถิงอยู่อย่างนั้น

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่ ถึงค่อยได้ยินเขาทอดถอนใจออกมา เขาพิงตัวเองกับพนักพิง เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า

 

 

“ฮูหยินนาง…. คือสตรีที่ดีงามที่สุดในใต้หล้า”

 

 

“นางเหมือนดั่งคนที่รวบรวมทุกสิ่งที่ดีงามเอาไว้ ได้เห็นเพียงแวบเดียวก็สามารถทำให้คนพากันชื่นชมหลงรัก ตอนที่ข้ายังหนุ่มแน่น เพราะได้เห็นเพียงแวบนั้นแวบเดียว ก็ไม่อาจตัดใจได้อีกเลย”

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็เคยเห็นเจียงเย่วในความทรงจำ

 

 

ความงามนั้นเป็นแรงดึงดูดที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้ อย่าว่าแต่บุรุษเลย ขนาดนางที่เป็นสตรีเห็นแล้วก็ยังชื่นชอบ

 

 

คนเรามักชื่นชอบสิ่งที่งดงามสะสวย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

 

ถึงแม้ว่าเจียงเย่วจะมีความสามารถอย่างแมรี่ซู แต่ก็เพราะความงามของนาง ถึงได้นำหายนะมาสู่ตัวนาง

 

 

“พอนางเข้าวังไปแล้ว…ก็ใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข นางไม่ต้องการฐานะ ไม่ต้องการความโปรดปราน แต่กลับต้องทนรับความริษยาและปองร้ายจากทั่วทั้งวังหลัง”

 

 

เรื่องในอดีตเหล่านี้พอถูกนำมากล่าวถึงอีกครั้ง หัวใจที่มีแผลเป็นของท่านผู้เฒ่าก็เหมือนกับถูกฉีกกระชากจนต้องหลั่งเลือดออกมาอีกครั้ง

 

 

“ประกอบกับนางเคียดแค้นชิงชังปฐมฮ่องเต้อยู่ตลอดเวลา มักจะเย็นชาใส่พระองค์อยู่เสมอ ……จึงทำให้ปฐมฮ่องเต้ค่อยๆ หมดความอดทนไปในที่สุด”

 

 

พอฟังแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา

 

 

ตอนที่จีจ้านต้องการครอบครองเจียงเย่วให้ได้นั้น เขาแทบจะอยากครองคู่อยู่กับนางไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์นี่น่า

 

 

“คืนวันนั้น หิมะตกรุนแรง ฝนก็ตกหนักมาก พอฮูหยินได้รู้ว่าคนทั่วทั้งแคว้นกู่เย่วถูกฆ่าจนหมดสิ้น ก็คิดฆ่าตัวตาย”

 

 

“นางเสียเลือดไปมาก หมอหลวงก็พากันหมดหนทาง ปฐมฮ่องเต้เองก็สำนึกเสียพระทัยอย่างที่สุด มีดนั้นตัดเส้นชีพจรหัวใจ ลงมืออย่างเฉียบขาด”

 

 

“ก่อนตายนางมีความปรารถนาเพียงข้อเดียว ….ก็คือไปจากวังหลวง ตายแล้วนางอยากจะกลับไปที่แคว้นเดิม ให้ฝังนางใต้ต้นไห่ถางที่นางรักที่สุด”

 

 

ท่านผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงนั้นค่อยๆ เล่าออกมาอย่างช้าๆ ราวกับว่ากำลังรำพันถึงเรื่องที่โศกเศร้าอย่างที่สุด ในแววตาของเขามีแต่ความทุกข์ระทม

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็พลอยสะเทือนใจไปกับเรื่องนี้ด้วย นางถามเสียงแหบพร่าออกไป “เป็นท่านปู่ที่ช่วยท่านย่าเอาไว้?”

 

 

ท่านผู้เฒ่าเงียบขรึมไปพักใหญ่ ค่อบตอบว่า “ถือว่าใช่ก็แล้วกัน”

 

 

“ข้าหลงรักนาง ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นก็หลงรักนางเข้าแล้ว ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นกับนาง ข้าก็ยินดีจะทุ่มเทชีวิตทั้งหมดไปดูแลนาง”

 

 

“เรื่องที่ปฐมฮ่องเต้ทรงทำไม่ได้ ข้าจะทำเอง”

 

 

พูดแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็ยกแขนเสื้อขึ้นมา เห็นที่ข้อมือของท่านปู่มีรอยแผลเป็นรอยหนึ่ง เป็นเส้นลึกรอบทั้งข้อมือ แม้ถึงตอนนี้ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

 

แสดงว่าการลงมีดในตอนนั้นจะต้องลึกมากจริงๆ

 

 

“ตอนนั้นในวังหลวงมีหมอผีที่เก่งกาจมากอยู่ผู้หนึ่ง เขาบอกว่าหากใช้ชีวิตแลกชีวิตก็อาจจะช่วยนางเอาไว้ได้”

 

 

“วิธีการชีวิตแลกชีวิตนี้ จะต้องหาคนที่มีใจรักนางอย่างแท้จริง สละเลือดครึ่งหนึ่งในร่างของตนเองเป็นกระษัยยา บางทีอาจสามารถช่วยนางได้ โอกาสที่จะช่วยนางได้สำเร็จนั้นมีเพียงครึ่งเดียว ส่วนคนที่สูญเสียเลือดนั้นมีสิทธิ์จะตายได้อย่างมาก”

 

 

“ในตอนนั้น ปฐมฮ่องเต้ทรงเกิดความลังเลเสียแล้ว เขาไม่กล้า เขาเป็นฮ่องเต้ ไหนเลยจะสามารถเอาชีวิตของตนเองไปเสี่ยงเพื่อสตรีผู้หนึ่งได้กัน?”

 

 

 

 

……………………………..

 

 

ไรท์ : โอ้ย! ใจจะขาด ท่านปู่รักย่ามาก ท่านปู่คือที่สุด ทำให้คิดถึงเพลง “แลรักนิรันดร์กาล” ของปู่จ๋าน

 

 

“ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นตำนานรัก แต่ใจต้องการนักแค่เพียงได้รักเธอเนิ่นนาน”

 

 

ตอนต่อไป “ใต้หล้านี้นอกจากเขา ก็ไม่มีบุรุษใดที่ดีอีกแล้ว”