ตอนที่ 233 มันถูกค้นพบอย่างนั้นหรือ

ลำนำสตรียอดเซียน

สัตว์วิญญาณทั้งสองล้วนแต่สร้างความโกลาหล และทำลายบ้านพักหมิงชินให้อยู่ในสภาพที่ไม่อาจอธิบายได้โดยสิ้นเชิง 

 

 

ซิ่วฉินและชิงฉี ซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง พลันเร่งรีบมายังที่แห่งนี้แล้ว สีหน้าของทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทันทีที่ได้เห็นว่าเบื้องหน้าเกิดอะไรขึ้น “อาจารย์ลุงโม่!” เมื่อโม่เทียนปรากฏตัว ทั้งสองคนจึงรับหน้าที่ทำความสะอาดบ้านพักหมิงชินทั้งหมด! 

 

 

โม่เทียนเกอยกมือขึ้นเพื่อห้ามพวกเขา “ช้าก่อน” 

 

 

ซิ่วฉินกระทืบเท้า “บ้านจะถูกไฟไหม้ไม่เหลือซาก หากเรารอช้ากว่านี้นะเจ้าคะ!” 

 

 

เปลวไฟที่เสี่ยวหั่วพ่นออกมานั้นคือไฟสุริยัน ตอนนี้มันได้เผาไหม้รั้วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

 

โม่เทียนเกอไม่ใช่ผู้ที่ชอบเพิ่มภาระงานให้ผู้อื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉะนั้นแล้ว แม้จะคิดว่ามันน่าเบื่อ ทว่านางก็ใช้จิตหยั่งรู้ในการเรียกสัตว์วิญญาณทั้งสองตัวกลับมา เมื่อนางเห็นซิ่วฉินและชิงฉีกำลังหัวหมุนและวิ่งไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน 

 

 

เฟยเฟยย่อมเชื่อฟังนางอยู่แล้ว เนื่องจากพันธะสัญญาระหว่างพวกเขาทั้งสอง สำหรับเสี่ยวหั่ว มันมีความเชื่อมโยงอันลึกลับกับโม่เทียนเกอ เนื่องจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เมื่อได้รับจิตหยั่งรู้ของโม่เทียนเกอ มันยังคงไล่ตามเฟยเฟยอย่างเกรี้ยวกราดอยู่สักพัก แต่เมื่อมันเห็นเฟยเฟยกระโจนเข้าอ้อมแขนของโม่เทียนเกอ มันจึงกระดิกหางของมันในที่สุด วิ่งเข้าไปหาและไต่ขาของโม่เทียนเกอ ซึ่งเป็นที่ที่มันยอมอยู่อย่างนิ่งสงบ 

 

 

“เอาละ เจ้าทั้งสองต้องไปทะเลาะกันอีกในอนาคต พวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อกันในฐานะพี่น้อง เข้าใจไหม” ขณะที่นางกำลังกล่าวอยู่นั้น นางพลันหยิบสำรับยาออกมาสองเม็ดเพื่อป้อนพวกมัน พร้อมกับไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ว่านางสมควรสร้างพันธะสัญญาสัตว์วิญญาณกับเสี่ยวหั่วดีหรือไม่ 

 

 

เฟยเฟยไม่ได้มีปฏิกิริยามากเท่าไรนัก ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มันกินสมุนไพรวิญญาณและยาครอบวิญญาณเข้าไปเป็นจำนวนมากภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้ว มันจึงยอมรับสำรับยาของนางอย่างเพลิดเพลินมาก ในทางกลับกัน เสี่ยวหั่ว… ทันทีที่มันเห็นสำรับยาเข้า ดวงตาของมันพลันมีชีวิตชีวาในพริบตา โม่เทียนเกอไม่ได้กลับมาที่นี่นานกว่ายี่สิบปีอย่างคาดไม่ถึง มันจึงกินสำรับยาของมันจนหมดไปนานแล้ว 

 

 

หลังจากโม่เทียนเกอป้อนสำรับยาหลายตัวให้กับเสี่ยวหั่ว นางเห็นมันวิ่งไปยังมุมของห้องฝึกตนอันคุ้นเคย ขดตัว และเข้าสู่การฝึกตน จากนั้น นางจึงหันกลับมา และถามเยี่ยเจินจี “เสี่ยวหั่วพัฒนาตั้งแต่เมื่อไร” 

 

 

เยี่ยเจินจีใช้เวลาสักพักในการคิด ก่อนจะตอบไปว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ตอนที่สำรับยาเกือบหมดจนข้าไม่อาจป้อนมันได้” 

 

 

“แล้วมันเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับสามในตอนนี้ได้อย่างไร” โม่เทียนเกอถามด้วยความสับสนงงงวย “หากสำรับยาของมันถูกใช้จนหมดแล้ว มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ระดับการฝึกตนของมันจะพัฒนาได้รวดเร็วขนาดนี้ ใช่ไหม” 

 

 

เยี่ยเจินจีตอบ “ข้าเคยปรึกษาเรื่องนี้กับท่านอาจารย์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ท่านอาจารย์จึงไม่เคยลืมปรุงสำรับยาบางตัวให้กับเสี่ยวหั่วเลย” 

 

 

“…” โม่เทียนเกอคิดถึงบางอย่าง ทันใดนั้น นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน “เจ้าได้ให้ท่านอาจารย์ของเจ้าดูสำรับยาของเสี่ยวหั่วหรือไม่” 

 

 

“อืม…” 

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบของเยี่ยเจินจีเข้า โม่เทียนเกอจึงกล่าวอย่างกังวลใจ “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าสำรับยาทั้งหมดที่ข้าให้เจ้า ไม่ว่ามันจะมีไว้เพื่อเจ้าหรือเสี่ยวหั่ว ไม่ว่าใครก็ห้ามเห็นเป็นอันขาด” 

 

 

เยี่ยเจินจีหวาดกลัวเช่นกัน เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วแน่น “ท่านป้า ข้าไม่ได้ให้ท่านอาจารย์ดู แต่ท่านอาจารย์บังเอิญเข้าไปหาเสี่ยวหั่ว ขณะที่มันกำลังกินสำรับยาพวกนั้น” เขากล่าวต่อไปอย่างงงงวย “ท่านอาจารย์ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษ ขณะที่เขากำลังมองดูมัน มันมีปัญหาอันใดกันหรือขอรับ” 

 

 

“อาจารย์ของเจ้าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ขณะที่เขามองดูมันอย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอสงบใจลง สายตาของนางเบนไปที่ซิ่วฉินและชิงฉี ซึ่งกำลังเก็บกวาดทุ่งสมุนไพรยาให้เรียบร้อย เมื่อนางเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้สนใจตัวนางและเจินจี นางจึงกล่าวต่อไป “เขาไม่ได้พูดอะไรอย่างนั้นหรือ บอกข้ามาอย่างละเอียดเดี๋ยวนี้ว่าเขามีปฏิกิริยาเช่นไรในครานั้น” 

 

 

แม้ว่าเยี่ยเจินจีจะมืดแปดด้านโดยสิ้นเชิง ทว่าเขายังคงบรรยายต่อไปอย่างละเอียด “ท่านอาจารย์มองดูสำรับยานั้นเป็นเวลานาน เดิมทีข้าเองก็กังวลว่ามันจะมีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าสุดท้ายแล้ว ท่านอาจารย์เพียงแต่กล่าวว่าเขาสามารถปรุงสำรับยาเช่นนั้นได้ด้วย ต่อมาเขาบอกให้ข้ามอบมันให้เขา เขาจะได้ศึกษามันและเขาจะมอบยาทั้งขวดให้ในภายภาคหน้า เขาเป็นท่านอาจารย์ ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ หลังจากนั้น ท่านอาจารย์ไม่เคยบอกว่ามีสิ่งใดชอบกลเกี่ยวกับมัน ฉะนั้น ความกังวลของข้าจึงค่อยๆ เลือนหายไป” ในจุดนั้น เยี่ยเจินจีกล่าวถามอย่างระมัดระวัง “ท่านป้า สรุปแล้วสำรับยานั้นมีปัญหาอันใดกันหรือ ทำไมเราถึงให้ผู้อื่นรู้เรื่องของมันไม่ได้” 

 

 

เม็ดเหงื่ออันเย็นเยือกผุดไปทั่วร่างของโม่เทียนเกอ นางควรจะกล่าวเช่นไรดี ในตอนนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยเคยบอกกับนางว่าทักษะการปรุงยาของศิษย์พี่โส่วจิ้งนั้น ยอดเยี่ยมที่สุดท่ามกลางยอดเขาวสันต์กระจ่างทั้งหมด แม้แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังเก่งกาจได้ไม่เท่าเขาเลย เขาได้สังเกตเห็นความผิดปกติของสำรับยาเหล่านั้นหรือไม่ สำรับยาเหล่านั้นเป็นเพียงยาสัตว์วิญญาณ ซึ่งใช้ป้อนสัตว์วิญญาณเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ตาม วัตถุดิบที่ใช้ปรุงยาเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นสมุนไพรวิญญาณที่มีอายุกว่าพันปีเป็นอย่างน้อย ใครจะใช้สมุนไพรวิญญาณที่มีอายุพันปีในการปรุงยาสัตว์วิญญาณกัน คนทั่วไปส่วนใหญ่มักจะใช้เพียงสมุนไพรอายุหลายสิบปี หากเป็นสมุนไพรอายุร้อยปีก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว 

 

 

นางหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบใจเป็นอย่างมาก “เช่นนั้นแล้ว เขาเคยเห็นสำรับยาที่เจ้ากินหรือไม่” 

 

 

เยี่ยเจินจีกล่าว “ไม่เคยขอรับ แม้ว่าท่านอาจารย์จะงุนงงที่การฝึกตนของข้าพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งขัดกับทักษะระดับทั่วไปของข้า ทว่าเขาไม่เคยถามข้าถึงเหตุผลโดยเฉพาะเหล่านั้น” 

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเส้นประสาทของนางที่ตึงเครียดอยู่นั้น คลายออกเล็กน้อย นางจึงเตือนเขาอีกครั้งอย่างเข้มงวดว่า “จำเอาไว้ให้ดี ต่อไปในอนาคต ห้ามให้ใครเห็นสำรับยาที่ข้ามอบให้เจ้าเด็ดขาด ไม่ว่ามันจะเป็นสำรับยาประเภทใดก็ตาม แม้ว่าจะเห็นโดยบังเอิญก็ไม่ได้” 

 

 

เยี่ยเจินจีสับสนงงงวย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาพลันพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” เขาไตร่ตรองเรื่องนี้สักพัก จากนั้นจึงถามอย่างกังวล “ท่านป้า การที่ท่านอาจารย์ของข้าล่วงรู้เข้า มันเป็นปัญหาร้ายแรงอย่างนั้นหรือ” 

 

 

โม่เทียนเกอส่ายศีรษะ และกล่าวว่า “เจ้ากลับไปก่อน ให้ข้าใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง” 

 

 

“โอ้…” 

 

 

เยี่ยเจินจีจากไปอย่างเชื่อฟัง และโม่เทียนเกอมองตามหลังของเขา สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม 

 

 

ความลับของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางจะต้องไม่มีผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด แม้แต่ท่านอาจารย์ผู้ปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นลูกในไส้ก็ตาม ใครในโลกแห่งการฝึกตนจะยืนหยัดต่อต้านความยั่วยวนของผืนดินที่เปี่ยมด้วยยาครอบวิญญาณมหาศาลกัน แม้แต่ผู้ฝึกตนแห่งเทพก็ไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้… 

 

 

แต่ทว่า… เขาล่วงรู้เข้าแล้วหรือไม่ โม่เทียนเกอไร้ซึ่งเบาะแสอย่างสิ้นเชิง หากเขาค้นพบมันเข้าแล้วอาจารย์ของนางจะล่วงรู้ด้วยหรือไม่กัน 

 

 

การคิดถึงความเป็นไปได้เหล่านี้ ทำให้เหงื่อของนางผุดท่วมยิ่งกว่าเดิม นางระลึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนางกลับมาอย่างละเอียดรอบคอบ ท่านอาจารย์… ดูเป็นปกติอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ที่ผิดปกติแต่อย่างใด ซิ่วฉินและบรรดาคนอื่นๆ ก็ปฏิบัติกับนางเหมือนเช่นปกติ… บางทีแม้ว่าคนผู้นั้นจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสำรับยานั่น ทว่าเขาคงจะไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่เห็นสำรับยาเม็ดเดียว คงไม่อาจเปิดเผยปัญหาใดๆ ที่หยั่งรากลึกกว่านั้นใช่หรือไม่ บางทีเขาอาจจะแค่รู้สึกกังขาเพียงเท่านั้นเอง อย่างไรเสีย ใครจะไปคาดเดาถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังได้กัน 

 

 

ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การที่ผู้อื่นล่วงรู้เรื่องนี้เข้าไม่ใช่ผลดีแน่ โม่เทียนเกอไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่สักพัก ก่อนที่นางจะลุกขึ้นในที่สุด และตัดสินใจสำรวจเจตนารมณ์ของอาจารย์นาง 

 

 

ทันทีที่นางก้าวเท้าออกไปจากบ้านพักหมิงชิน นางพลันเห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว และนั่นคือหลานศิษย์ของนางผู้นั้นไม่มีผิด 

 

 

โม่เทียนเกอรู้มานานแล้วว่าหร่วนหมิงจูอยู่ที่ด้านนอก แต่เมื่อนางเห็นหล่อนเข้า โม่เทียนเกอเกียจคร้านเกินกว่าจะทักทายหล่อน นางเพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และเดินตรงมุ่งหน้าต่อไป อย่างไรเสีย หร่วนหมิงจู ซึ่งเป็นรุ่นน้อง ควรจะเคารพทักทายนางก่อนเสียด้วยซ้ำ 

 

 

หร่วนหมิงจูร้องทักนางก่อนจริง ทว่าน้ำเสียงที่หล่อนใช้ช่างระคายหูยิ่งนัก “ช้าก่อน!” 

 

 

หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพัก โม่เทียนเกอตัดสินใจทำตามที่หล่อนปรารถนาในที่สุด และหยุดนิ่งอย่างเชื่อฟัง “หลานศิษย์หร่วน มีปัญหาอันใดหรือ” 

 

 

ท่าทางของหร่วนหมิงจูเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครา ทว่าสุดท้ายแล้ว หล่อนยังคงยืนหยัดและถามว่า “เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นอะไรกับท่าน” 

 

 

“เด็กหนุ่มผู้นั้นหรือ” โม่เทียนเกอเลิกคิ้วของนางขึ้น 

 

 

หร่วนหมิงจูกระทืบเท้าของนาง “เด็กหนุ่มผู้นั้นที่เพิ่งเดินออกไป! ลูกศิษย์ของศิษย์พี่ข้าไง!” 

 

 

ลูกศิษย์ของศิษย์พี่เจ้าหรือ โม่เทียนเกอส่ายศีรษะอยู่ภายใน ไม่ว่าจะมองด้วยมุมใดก็ตาม เจินจีควรจะเป็นลูกศิษย์ของศิษย์พี่ข้าใช่ไหม 

 

 

แม้ว่านางจะคิดเช่นนั้น ทว่าท่าทางทีนางแสดงออกมากลับยังคงสงบนิ่งไร้ความกังวล “เจ้าหมายถึงเจินจีอย่างนั้นหรือ เขาเป็นหลานชายของข้า นี่มันอะไรกัน มีปัญหาอันใดอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“หลานชายของท่าน…” ท่าทางของหร่วนหมิงจูไม่น่าดูยิ่งนัก “เขาเป็นหลานชายของท่านได้อย่างไรกัน” 

 

 

โม่เทียนเกอประหลาดใจ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนริมฝีปากของนาง “ทำไมเขาจะเป็นหลานชายของข้าไม่ได้กัน หลานศิษย์หร่วน เจ้าสอดรู้สอดเห็นมากเกินไปแล้ว!” นางจงใจกล่าวเน้นย้ำคำว่า “หลานศิษย์หร่วน” เพื่อเตือนให้สตรีผู้แสนยโสโอหังนางนี้รู้ว่า นางคือลูกศิษย์ตัวจริงของอาจารย์นาง 

 

 

“ท่าน…” หร่วนหมิงจูโกรธเคืองอย่างแท้จริง ทว่าริมฝีปากของนางได้แต่เพียงสั่นระริก ขณะที่นางไม่สามารถก่นด่ากลับไปได้ 

 

 

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อโม่เทียนเกอรับปากกับอาจารย์ของนางแล้วว่านางจะไม่สร้างปัญหาให้กับหร่วนหมิงจู โม่เทียนเกอไม่ต้องการยั่วยุนางต่อไป นางจึงกล่าวว่า “ข้ายังมีธุระที่ต้องไปจัดการอีก ข้าไม่อาจอยู่พูดคุยกับหลานศิษย์ได้” หลังจากนั้น นางพลันเดินจากไปโดยทันที ทิ้งให้หร่วนหมิงจูยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง 

 

 

ไม่แน่ชัดว่าหร่วนหมิงจูรู้สึกขุ่นเคืองหรือขมขื่นกันแน่ ทว่านางกลับทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม โดยไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย 

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอมาถึงยังโถงกลางของตำหนักซ่างชิง ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็กำลังเอนหลังพิงเก้าอี้ของเขา พักผ่อนพร้อมกับหลับตาพริ้ม ไม่มีสาวรับใช้คนใดอยู่ข้างกายเขาอย่างน่าประหลาดใจ 

 

 

โม่เทียนเกอเดินเข้าไปหา “ท่านอาจารย์!” 

 

 

ประมุขเต๋าจิ้งเหอลืมตาขึ้น ทว่าพลันหลับตาลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “มีเรื่องอันใดกันหรือ” 

 

 

“ไม่มีสิ่งใดสำคัญเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าหลังจากที่ไม่ได้กลับมากว่ายี่สิบปี ข้าอยากพูดคุยกับท่านในตอนนี้” 

 

 

ริมฝีปากของประมุขเต๋าจิ้งเหอยกขึ้น ขณะที่เขากำลังยิ้ม “บางทีหมิงจูไปยั่วยุเจ้ามาอย่างนั้นหรือ” 

 

 

โม่เทียนเกอส่ายศีรษะ “แม้ว่านางจะยั่วยุข้าจริง ทว่าข้าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใด นางเป็นเพียงเด็กไม่รู้จักโต ข้าจะได้อะไรหากไปทะเลาะเบาะแว้งกับนาง” 

 

 

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้นเข้า ความโศกเศร้าและความโล่งใจเล็กน้อยปรากฏขึ้นในแววตาของประมุขเต๋าจิ้งเหอ “ในที่สุด ข้าก็ไม่ได้ล้มเหลวในการสั่งสอนเจ้า…” 

 

 

โม่เทียนเกอยิ้ม พลันหันไปถามเขาว่า “ท่านอาจารย์ ข้าสับสนเหลือเกิน ทำไมนางถึงได้ดื้อรั้นไม่ยอมลดละต่อศิษย์พี่โส่วจิ้งเช่นนั้น คนอื่นๆ อาจไม่ล่วงรู้ ทว่านางเคยมีปฏิสัมพันธ์กับเขาทุกวัน เมื่อพิจารณาจากอุปนิสัยของศิษย์พี่แล้ว นางไม่คิดบ้างหรือว่านิสัยของเขาช่างน่าเบื่อยิ่งนัก” 

 

 

ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มอย่างแห้งๆ “นางจะชอบพอเขาจริงได้อย่างไรกันล่ะ มันเป็นเพียงว่านางไม่อาจได้มาซึ่งเขา นางจึงมุ่งมั่นที่จะครอบครองเขา มีเพียงแต่ข้าที่ควรต้องกล่าวโทษ ฐานประคบประหงมนางจนกระทั่งนางบ่มเพาะอุปนิสัยเช่นนี้ขึ้น เมื่อต้องการสิ่งใดแล้ว นางจำต้องได้มาซึ่งสิ่งนั้น มันไม่ง่ายเลยสำหรับนางที่จะก้าวข้ามในสิ่งที่นางไม่มีวันได้ ฉะนั้น เรื่องนี้ทำให้นางก้าวเข้าสู่เขตแดนปีศาจ” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น เขาพลันคิดกับตนเองว่า หรือว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกเริ่มกัน หากเขาไม่ได้บังเอิญพบกับผู้ฝึกตนแห่งเทพเหล่านั้น เขาคงไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ต่อเทียนเกอใช่ไหม เขาเพียงแต่โปรดปรานในตัวนางเท่านั้นใช่ไหม โชคร้ายที่ผู้ฝึกตนแห่งเทพทั้งสองได้มาพบกับเขาอย่างกะทันหัน ทำให้ความโปรดปรานที่เขามีต่อนางกลับสูญเปล่า และกลายเป็นความหมกมุ่นขึ้นมา ยิ่งเขาไม่อาจได้นางมากเท่าไร เขายิ่งหมกมุ่นมากเท่านั้น จนกระทั่งเขาได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนปีศาจในท้ายที่สุด 

 

 

สำหรับเรื่องที่เด็กหนุ่มผู้นั้นชอบพอเทียนเกอ เขาคงจะยังไม่รู้ใจของตัวเอง เดิมทีเขาเพียงแต่รู้สึกขอบคุณนาง รู้สึกสนใจในตัวนาง รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวนางเท่านั้น หากไม่มีปัจจัยอื่นใด นั่นอาจเป็นขอบเขตความรู้สึกของเขาตลอดชั่วชีวิตของเขาก็ได้ หรือบางที หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ความรู้สึกเหล่านั้นจะค่อยๆ จางหายไป โชคร้ายที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ทำให้เขาต้องติดกับดักจิตใจของเขาเอง ยิ่งเขาไม่อาจได้นางมากเท่าไร เขายิ่งสนใจนางมากเท่านั้น ยิ่งเขาสนใจนางมากเท่าไร เขายิ่งคิดถึงนางมากเท่านั้น จนกลายเป็นว่าเขาไม่อาจปล่อยวางได้อีกต่อไป 

 

 

มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่แน่ชัดยามที่พวกเขารู้จักกันเป็นครั้งแรก บางครั้ง พวกเขาอาจไม่มีจุดเริ่มต้นใดๆ เลยเสียด้วยซ้ำ 

 

 

การจ้องเขม็งของประมุขเต๋าจิ้งเหอทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกกลัว ความคิดเขย่าขวัญปรากฏขึ้นมาในใจของนางอีกครั้ง ท่านอาจารย์รู้จริงๆ หรือ เขากำลังทดสอบข้าอยู่อย่างนั้นหรือ 

 

 

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงถอนสายตาของเขาในที่สุด “ไม่ต้องกังวลเรื่องหมิงจู เมื่อเรื่องนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว เราเพียงแต่ปล่อยให้นางกลับไปสู่ลานแยกนั่น เราไม่อาจให้นางพักอาศัยอยู่ที่นี่ได้” 

 

 

โม่เทียนเกอถอนหายใจด้วยความโล่งอก น้ำเสียงนี้… ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ นางคิดถึงเรื่องบางอย่าง จากนั้นจึงเอ่ยปากถามออกไปอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่โส่วจิ้งกำลังพยายามจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาเร็วๆ นี้อย่างนั้นหรือ” 

 

 

เมื่อเรื่องนี้ถูกพูดถึงขึ้นมา ความกังวลเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของประมุขเต๋าจิ้งเหอ “เขาอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว และเขาได้เตรียมตัวเรื่องการสร้างจิตวิญญาณมานานแล้ว ด้วยเหตุผลนี้ เขาสามารถเข้าสู้การปิดประตูแห่งจิตเพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้อย่างแน่นอน” 

 

 

เมื่อได้เห็นสีหน้าวิตกกังวลซึ่งยากจะได้เห็นนักของประมุขเต๋าจิ้งเหอ โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านอาจารย์คิดว่ามีปัญหาอันใดอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“ยากที่จะกล่าวได้” ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายศีรษะ “ข้ามักจะสัมผัสได้เสมอว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ในการสร้างจิตวิญญาณของเขา ทว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นกลับมีความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ข้าไม่อาจหักห้ามเขาได้” 

 

 

“ปัญหาใหญ่อย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างนิ่งเงียบ อาจารย์เคยกล่าวไว้เมื่อนานมากแล้วว่าเขาประหม่ามากเกินไป ทว่าทำไมเขาถึงไม่เคยเผชิญกับปัญหาเช่นนี้มาก่อนกัน ท้ายที่สุดแล้ว อะไรคือสิ่งที่จะทำให้เขามีปัญหากับสภาพจิตใจกัน ปัญหาที่อาจารย์ของพวกเขาคิดว่ามันยากที่จะรับมือได้ 

 

 

“ช่างมันเถอะ… ให้เขาลองสักครั้งแล้วกัน” ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวอย่างแผ่วเบา ทว่าความกังวลในแววตาของเขาไม่ได้เลือนหายไป “เจ้าเด็กนั่นมักจะหัวแข็งและยืนหยัดในความคิดของตนเองเสมอ หากข้าหักห้ามไม่ให้เขาทดลอง เขาคงจะรู้สึกไม่ยอมจำนนเป็นแน่แท้ ยามใดที่เขาล้มเหลว ยามนั้นเราค่อยพยายามแก้ไขปัญหานั้นๆ ก็แล้วกัน”