ล้มเหลว… เขายังไม่ทันได้เริ่มการสร้างจิตวิญญาณของเขา ทว่าท่านอาจารย์กลับคิดว่าเขาจะล้มเหลวอย่างนั้นหรือ
โม่เทียนเกอนิ่งเงียบเป็นเวลานาน นางไม่อาจบอกได้ว่านางรู้สึกเช่นไรกับเรื่องนี้
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ตอนที่เขาพบศิษย์พี่แห่งเทพเมื่อครานั้น ข้าได้รับสมุนไพรวิญญาณอายุพันปีจำนวนมากมาชุดหนึ่ง ถึงกระนั้น ข้ายังไม่อาจใช้มันได้ เนื่องจากสถานะดินแดนปัจจุบันของข้า ข้าจึงทิ้งมันไว้พบชั้นวาง หากศิษย์พี่โส่วจิ้งต้องการมัน มันอาจใช้ปรุงสำรับยาได้ด้วย บางที มันอาจเป็นประโยชน์ต่อการสร้างจิตวิญญาณของเขา”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเงยหน้าจ้องมองไปที่นาง ดูเหมือนว่าสายตาของเขาแฝงด้วยความหมายอันยากที่จะหยั่งถึง “สมุนไพรวิญญาณอายุพันปีจำนวนมากหรือ ชุดหนึ่งหรือ สมุนไพรวิญญาณที่มีอายุมากกว่าพันปีหาได้ยากมาในเวลาเช่นนี้ เจ้ายอมที่จะเอามันออกมาอย่างนั้นหรือ”
โม่เทียนเกอยิ้ม “ตั้งแต่ที่ข้ามายังสำนักเสวียนชิง สำนักไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียวกับการแบ่งปันให้ลูกศิษย์อย่างข้า มันยังอาจกล่าวได้ว่าทรัพย์สมบัติที่ข้ามีทั้งหมดในตอนนี้ มากกว่าครึ่งที่ข้าได้มาจากสำนัก หากไม่มีสำนักหรือท่านอาจารย์แล้ว ข้าคงไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น หากท่านอาจารย์คิดว่ามันจำเป็น ข้าย่อมพร้อมเอามันออกมาได้เสมอ”
“โอ้…” โม่เทียนเกอไม่อาจบอกได้ว่าสีหน้าท่าทางของประมุขเต๋าจิ้งเหอนั้น คือความผิดหวังหรือว่าความอิ่มเอมใจกันแน่ ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาสักพักในการคิด ก่อนที่จะส่ายศีรษะในท้ายที่สุด “ไม่จำเป็น เจ้าเด็กเหลือขอนั่นเป็นคนรอบคอบเสมอ และข้าคอยหมั่นวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ให้กับเขา การเตรียมการของเขานั้นเพียบพร้อมเกินกว่าที่ควรแล้ว หากเขายังคงล้มเหลว แม้ได้กระทำในทุกอย่างนี้ เช่นนั้นแล้ว เราคงได้แต่กล่าวว่าเขานั้นไร้ซึ่งโชคลาภเท่านั้น นอกจากนั้น เจ้าควรเตรียมการเพื่อการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเจ้าเช่นกัน จากเท่าที่ข้าจำได้ ทักษะการปรุงยาของเจ้าใช้ได้เหมือนกันนี่ ใช่ไหม”
โม่เทียนเกอลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวตอบไปว่า “ทักษะการปรุงยาของข้าแค่ระดับธรรมดาทั่วไปเท่านั้น”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด “สาวน้อย เจ้าถ่อมตนเกินไปแล้ว! พิจารณานาจากการที่เจ้าไม่เคยออกไปตามหาอาจารย์ปรุงยา เพื่อช่วยเจ้าปรุงยาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ข้ารู้ดีว่าทักษะการปรุงยาของเจ้าจะต้องเหนือกว่าบรรดาอาจารย์ปรุงยาในสำนักของเราเป็นแน่แท้ สำหรับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเจ้า ข้าจะเตรียมยาไร้ฝุ่นและสิ่งต่างๆ ให้แก่เจ้าเอง อย่างไรก็ตาม เจ้ายังต้องฝึกตนจนกว่าเจ้าจะถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ฉะนั้น เจ้ายังคงต้องใช้เวลาอีกกว่าสิบปียี่สิบปี เจ้าสามารถเตรียมตัวเท่าที่เห็นว่าสมควรได้ หากเจ้าต้องการสิ่งใด แต่ไม่อาจหามาได้ เจ้าเพียงแค่ต้องบอกข้าเท่านั้น”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” โม่เทียนเกอรู้สึกสำนึกในความกรุณานี้ อาจารย์ของนางไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียวในเรื่องสิ่งของนอกกายเลยแม้แต่ครั้งเดียว สำนักมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับยาไร้ฝุ่นและสิ่งต่างๆ ระบุไว้อย่างชัดเจน ตราบใดที่ลูกศิษย์สามารถไปถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ พวกเขาอาจได้รับยาเหล่านั้นจำนวนหนึ่ง ถึงกระนั้นก็ตาม ในเมื่ออาจารย์ของนางกล่าวว่าเขาจะหามันมาให้นาง เขาจะต้องให้นางมากกว่าสัดส่วนที่นางควรได้รับอย่างแน่นอน
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ประมุขเต๋าจิ้งเหอพลันกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ครานี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปที่ยอดเขาหลักเพื่อก่อเกิดพลังเวทแล้ว ข้าได้เข้าสู่ม่านพลังเวท และสำรวจบางสิ่งบางอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ม่านพลังเวทนั้นช่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด แม้ว่าจะไม่มีภยันตรายถึงแก่ชีวิตอยู่ภายใน ทว่าเจ้าอาจจะต้องได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง ตอนนี้ การก่อเกิดแก่นขุมพลังของเจ้ากำลังใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว เป็นไปได้อย่าเจ็บตัว หรืออย่าเข้าไปหากเจ้ายังไม่แน่ใจ มิฉะนั้น สิ่งที่เจ้าได้รับมา คงไม่อาจชดเชยสิ่งที่เจ้าสูญเสียไปได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว” โม่เทียนเกอกล่าวตอบอย่างเชื่อฟัง ครู่ต่อมา นางจึงเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “ท่านอาจารย์ ท่านยอมให้ข้าออกไปผจญภัยด้านนอก ก่อนที่ข้าจะพยายามสร้างขุมพลังของข้า แล้วศิษย์พี่โส่วจิ้งล่ะ ทำไมเขา ผู้ซึ่งอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตมากว่าสามสิบปี ถึงจำเป็นต้องออกไปผจญภัยก่อนที่เขาจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเข้าด้วยกัน”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังเล่นอยู่กับศาตราวุธเวทชิ้นเล็กที่อยู่ในมือของเขา เมื่อเขาได้ยินคำถามของนางเข้า เขาพลันเงยหน้าและจ้องอย่างครุ่นคิดไปที่นาง “ข้าว่า… ทำไมวันนี้เจ้าถึงถามเรื่องของเจ้าเด็กเหลือขอนั่นมากเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ เจ้าไม่ใช่คนที่ชอบซักไซ้ไล่เรียงเรื่องของผู้อื่นมากเช่นนี้นี่นา…”
“โอ้…” โม่เทียนเกอหลบสายตา ทว่านางพลันรีบชี้แจงความบริสุทธิ์ใจของนางทันที “ท่านอาจารย์ ท่านคิดมากเกินไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าแค่ทำสิ่งนี้ เพราะเจินจีอยู่กับเขาในตอนนี้ไม่ใช่หรือ หากศิษย์พี่โส่วจิ้งสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้สำเร็จ สถานะของเจินจีเองก็จะเพิ่มมากขึ้นไปพร้อมกับเขาด้วย”
“จริงหรือ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเหลียวมองนาง ตอนนี้ เจินจีอยู่ขั้นเริ่มต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น เขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกสิบถึงยี่สิบปีในการพัฒนาสู่ขั้นกลาง เขายังคงห่างไกลจากดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างมาก เขาจำเป็นต้องมีอาจารย์เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อย่างนั้นหรือ
“แน่นอนเจ้าค่ะ!” โม่เทียนเกอยืนยัน “ท่านอาจารย์ รีบบอกข้ามาเถอะ!”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอตอบอย่างขอไปที “เจ้าเด็กเหลือขอนั่น มักจะต้องการจัดการทุกสิ่งด้วยตัวของเขาเองเสมอ ความจริงแล้ว ด้วยสภาพจิตใจของเขาเช่นนี้ มันไม่น่าจะมีปัญหาอันใดเกิดขึ้นระหว่างการสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขา หากจิตใจของเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับกำแพงปีศาจ ข้าคงจะไม่กังวลใจ…”
“กำแพงปีศาจอย่างนั้นหรือ”
“ช่างมันเถอะ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอรีบเบี่ยงประเด็นในทันที “สิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างจิตวิญญาณใหม่ของคนผู้หนึ่ง คือการผ่านอุปสรรคที่รู้จักกันในนามว่าปีศาจภายในจิตใจ คนหลายคนหาได้ตระหนักรู้ว่าตนเองมีปีศาจภายในจิตใจอยู่ไม่ จึงนำไปสู่ความล้มเหลวในการสร้างจิตวิญญาณของพวกเขา เมื่อพิจารณาถึงความหุนหันพลันแล่นของเจ้าเด็กเหลือขอนั่นในตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาติดกับดักของกำแพงปีศาจ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ข้ากังวลใจเช่นนี้”
“…” โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้กล่าวความจริงกับนาง ถึงกระนั้น เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก ฉะนั้น การที่เขาไม่บอกนางทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางถามอ้อมค้อมไปมา และเอ่ยถึงเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา ก็เพียงเพื่อดูว่าศิษย์พี่โส่วจิ้งได้กล่าวถึงเรื่องสำรับยาให้อาจารย์ของพวกเขาฟังหรือไม่ ปฏิกิริยาของอาจารย์ดูเป็นปกติอย่างมาก ฉะนั้น ดูเหมือนว่าศิษย์พี่โส่วจิ้งจะไม่ได้เปิดเผยความลับแต่อย่างใด นอกจากนั้น นางตั้งใจกล่าวถึงผู้ฝึกตนแห่งเทพสองท่านนั้น หากคำถามนี้ถูกนำขึ้นมาในอนาคต นางสามารถอธิบายถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบสำหรับสำรับยาเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อใคร่ครวญจนถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอจึงมองหาเหตุผลเพื่อขอตัวกลับ “เสี่ยวหั่วเพิ่งเผาทุ่งสมุนไพรยาจนวอด ข้าต้องรีบกลับไปดูก่อนว่าซิ่วฉินและคนอื่นๆ จัดการเก็บกวาดกันเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“หืม เจ้าบอกว่าเจ้าอยากคุยกับข้าไม่ใช่หรือ เราเพิ่งคุยกันไปไม่เท่าไร ทำไมเจ้าถึงอยากจะกลับเสียแล้วล่ะ”
“ข้าคุยกับท่านเสร็จแล้ว” โม่เทียนเกอกล่าวโดยไม่หันหลังกลับไปมอง ขณะที่นางเดินจากไป
ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ซึ่งถูกทิ้งไว้ให้เหลืออยู่ตามลำพัง พลันพึมพำออกมา “เจ้าเด็กพวกนี้… คนหนึ่งยิ่งประหลาดกว่าอีกคนหนึ่งเสียอีก”
ตอนนี้ เมื่อนางยืนยันได้แล้วว่าไม่มีปัญหาอันใด โม่เทียนเกอจึงกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้งได้ ทันทีที่นางไปถึงยังบ้านพักหมิงชิน ทว่านางกลับพบว่าหร่วนหมิงจูยังคงยืนอยู่ที่นั่น
สตรีนางนั้น ซึ่งโม่เทียนเกอคิดว่านางทั้งยโสโอหังและเป็นจอมเผด็จการ ยังคงยืนนิ่งด้วยความงงงวย
นางจ้องมองไปยังบรรดาสาวรับใช้ที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ภายในบ้านพักหมิงชินอย่างว่างเปล่า สายตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกแห่งการสูญเสีย
ดูเหมือนว่าหร่วนหมิงจูจะสะดุ้งตกใจ เมื่อนางเห็นโม่เทียนเกอกำลังเดินมาทางนี้
สำหรับโม่เทียนเกอแล้ว นางเห็นว่าหร่วนหมิงจูดูไม่ต้องการเคารพทักทายนาง นางจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใด และยังคงเดินหน้าไปยังบ้านพักหมิงชิงโดยตรง
อย่างไรก็ตาม หร่วนหมิงจูพลันเรียกนางจากด้านหลังอย่างกะทันหัน “อาจารย์ลุงโม่” ยามใดที่นางไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ในน้ำเสียงนั้น นางฟังดูน่าเอ็นดูมากขึ้นเสียเหลือเกิน
โม่เทียนเกอหันหลังกลับไป “หลานศิษย์หร่วน เจ้ามีธุระอันใดหรือ”
หร่วนหมิงจูขบริมฝีปากของนาง นางลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเอ่ยปากออกมาในที่สุด “อาจารย์ลุงโม่ ท่านมาที่เรือนจือหลี่และพูดคุยกับข้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน นางเกือบคิดว่านางฟังหร่วนหมิงจูผิดพลาดไป สตรีนางนี้คือหร่วนหมิงจูจริงๆ หรือ สตรีนางนี้ได้ยินข้าเรียกนางว่า “หลานศิษย์หร่วน” ทว่านางกลับไม่แสดงปฏิกิริยาอันใดออกมา และนางยังแม้แต่เชื้อเชิญให้ข้าไปเยี่ยมเยียน ด้วยน้ำเสียงที่แฝงการร้องขอเล็กน้อยเอาไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ
“อาจารย์ลุงโม่เจ้าคะ” หร่วนหมิงจูร้องเรียกอีกครั้ง การขอร้องในน้ำเสียงของนางชัดเจนมากยิ่งขึ้น “ข้า… ไม่มีใครต้องการพูดคุยกับข้า ข้าแค่อยากหาใครสักคนที่ข้าสามารถพูดคุยด้วยได้…”
โม่เทียนเกอหันกลับไปเพื่อมองดูลานบ้านของนาง ซิ่วฉินและคนอื่นๆ ยังคงวุ่นวายจนตัวเป็นเกลียวราวกับผึ้งแตกรัง มันคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก หากที่นั่นเพียงแต่สกปรกเท่านั้น คาถาเพียงเล็กน้อยสามารถจัดการทุกอย่างให้เข้าที่ได้ ปัญหาก็คือสัตว์วิญญาณทั้งสองตัวได้ทำลายทุ่งยาสมุนไพรจนราบเป็นหน้ากลองด้วยเช่นกัน ฉะนั้น พวกเขาอาจต้องการเวลาเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ เหล่านั้น โม่เทียนเกอชั่งน้ำหนักเรื่องนี้อยู่สักพัก แต่ก็ยินยอมในท้ายที่สุด “ตกลง”
หร่วนหมิงจูรู้สึกดีใจที่ได้ยินคำตอบของนาง จากนั้น นางจึงเดินนำหน้าเพื่อนำทาง “อาจารย์ลุงโม่ ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอเดินตามหลังนางไป มุ่งหน้าไปยังเรือนจือหลี่ โดยที่ยังคงระมัดระวังตนอยู่เสมอ แม้ว่าโม่เทียนเกอจะไม่คิดว่าหร่วนหมิงจูจะทำสิ่งใดรุนแรงกับนางได้ ทว่าอย่างไรเสีย หร่วนหมิงจูนั้นขึ้นชื่อเรื่องนิสัยเจ้ากี้เจ้าการอย่างมาก และมันย่อมไม่มีสิ่งใดที่นางไม่อาจหาญกระทำ
เรือนจือหลี่ไม่ไกลจากบ้านพักหมิงชินนัก เช่นเดียวกับบ้านพักหมิงชิน มันมีลานบ้านขนาดเล็กกะทัดรัด ทว่าภายในนั้นกลับกว้างขวางอย่างมาก
หร่วนหมิงจูเชิญให้โม่เทียนเกอเข้ามายังด้านใน จากนำทางนางไปสู่ห้องนั่งเล่นขนาดเล็กอย่างเคอะเขิน และขอให้นางนั่งลง
โม่เทียนเกอมองเห็นว่านางทำทุกอย่างได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าหร่วนหมิงจูเป็นผู้มีมารยาทอันดีงาม เพียงแต่ว่านางคุ้นชินกับการควบคุมผู้อื่นเท่านั้น ฉะนั้น นางจึงไม่สนใจเรื่องมารยาทอันใดทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอพลันเห็นนางนั่งลงเช่นกัน ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก หร่วนหมิงจูไม่แม้แต่จะนำชาสักถ้วยมาให้นางดื่มด้วยซ้ำ แม้ว่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเช่นพวกเขา จะไม่ดื่มกินอาหารของผู้คนทั่วไปอีกแล้ว ทว่าการดื่มชาเป็นเพียงกิจวัตรอย่างหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำยามต้อนรับแขก
“อาจารย์ลุงโม่” หร่วนหมิงจู ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามนาง กล่าวพร้อมกับก้มศีรษะต่ำลง “ข้าออกจากสำนักไปยังสถานที่ห่างไกลได้หกสิบปีแล้ว ข้าจึงไม่ได้ตระหนักรู้ถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในสำนัก ท่านช่วยเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้ข้าฟังได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอกล่าวถามอย่างแผ่วเบา “เจ้าอยากรู้สิ่งใดกัน”
หร่วนหมิงจูเงยหน้าขึ้นและมองนางในที่สุด “อย่างเช่นว่า… ตอนที่ท่านมาเข้าร่วมสำนัก ทำไมท่านปรมาจารย์ถึงรับท่านเป็นลูกศิษย์ของเขาเป็นต้นเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอส่ายศีรษะ “มันเกิดขึ้นมาเกือบสี่สิบปีแล้ว ตั้งแต่ที่ข้าเข้าสำนักมา สำหรับเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงรับข้าเป็นลูกศิษย์นั้น ข้าว่าเจ้าน่าจะไปถามท่านปรมาจารย์ของเจ้าเป็นการส่วนตัวนะ”
หร่วนหมิงจูจ้องมองนางด้วยท่าทางตกตะลึง “เป็นไปได้หรือไม่ว่าทักษะของท่านดีเลิศเป็นที่สุด ระดับการฝึกตนของท่านเป็นเช่นไร ตอนที่ท่านเข้าร่วมสำนักเจ้าคะ”
“ก็ระดับทั่วๆ ไป” โม่เทียนเกอตอบอย่างขอไปที “ข้าไม่ได้สร้างฐานพลังของข้า ตอนที่ข้าเข้าร่วมสำนักได้ ในตอนนั้น ข้าได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังจำนวนหนึ่งจากท่านอาจารย์ของข้า ฉะนั้น ข้าจึงสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จ”
“สี่สิบปี…” หร่วนหมิงจูพึมพำ “สี่สิบปี จากดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังงานวิญญาณสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างแห่งพลังงาน… ไม่แปลกใจเลยที่ท่านปรมาจารย์…”
เมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางของหร่วนหมิงจูเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามีการต่อสู้ขัดขืนอันรุนแรงเกิดขึ้นภายในจิตใจของนาง โม่เทียนเกอจึงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “หลานศิษย์หร่วน ทุกคนล้วนแต่มีโชคชะตาของตนเอง มันไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนมันได้ตามต้องการ”
สิ่งที่โม่เทียนเกอกล่าวทำให้หร่วนหมิงจูพลันโมโหขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางตบโต๊ะดังฉาด และตะโกนว่า “ท่านคิดว่าข้าสู้ท่านไม่ได้อย่างนั้นหรือ!”
โม่เทียนเกอจ้องเขม็งมองนางอย่างเย็นชา
ดูเหมือนว่าหร่วนหมิงจูจะตระหนักได้ว่านางกำลังล้ำเส้น นางจึงเผยรอยยิ้มออกมาโดยทันที “อาจารย์ลุง ข้าขอโทษ… ข้า…”
สาวน้อยผู้นี้กำลังขอโทษผู้อื่นจริงๆ อย่างนั้นหรือ! โม่เทียนเกอเลิกคิ้วของนาง
“ไม่เป็นไร หลานศิษย์หร่วน เจ้ามีเรื่องอันใดอยากพูดคุยอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้ว ข้าต้องการกลับบ้านพักหมิงชิน”
“อาจารย์ลุงโม่ อย่าเพิ่งไปเจ้าค่ะ!” หร่วนหมิงจูขอร้อง “ข้า… ข้า… ข้าแค่ขาดสติไปชั่วครู่ และกล่าวในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้ตามลำพัง…”
หร่วนหมิงจูช่างดูน่าสงสาร แต่ทว่าในขณะเดียวกัน นางก็ดูราวกับว่ากำลังดิ้นรนพยายามซ่อนความขุ่นเคืองของนางเช่นกัน ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกขบขันขึ้นมา “แล้วเจ้าอยากพูดเรื่องอันใดกันล่ะ เจ้าพูดมาให้เร็วกว่านี้หน่อย”
เมื่อเห็นท่าทางของโม่เทียนเกอผ่อนคลายลงอีกครั้ง หร่วนหมิงจูพลันระลึกได้ว่าต้องเทน้ำชาให้นางในท้ายที่สุด หลังจากช่วงเวลาแห่งความสับสนอลหม่านได้ผ่านไป ชาหนึ่งถ้วยพลันปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าของนางในที่สุด “อาจารย์ลุงโม่ โปรดดื่มชาเสียก่อนเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า แม้ว่านางจะขมวดคิ้วเมื่อได้เห็นชาถ้วยนั้นก็ตาม สาวน้อยผู้นี้เกือบจะล้มโต๊ะเพราะพยายามเทชาหนึ่งถ้วย นางทำสิ่งง่ายดายเช่นนี้ไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ โม่เทียนเกอได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ หากนางเป็นประมุขเต๋าจิ้งเหอ นางคงไม่รู้ว่านางจะต้องปวดหัวกันเรื่องอันใดบ้างกัน
“อาจารย์ลุงโม่” หร่วนหมิงจู ซึ่งกำลังนั่งก้มศีรษะอยู่ตรงข้ามนาง กล่าวอย่างหดหู่ใจว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ … ทำไมทุกคนถึงได้เอาแต่พูดว่าข้าทำผิดกัน ตกลง เอาเป็นวาข้าทำผิดจริง แต่ทำไมไม่มีใครเคยบอกข้าว่าข้าทำผิดก่อนหน้านี้เลย ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใด ท่านปรมาจารย์ไม่เคยบอกว่าข้าทำผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเพิ่งพูดเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เขากลับไม่ยอมสนใจข้าอีกต่อไปแล้ว”
นางดูเศร้าสลดขณะที่กำลังกล่าว “ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ พวกเขาทุกคนไม่สนใจไยดีข้า ข้าควรจะทำเช่นไรเจ้าคะ ตลอดหกสิบปีที่ข้าอยู่ในอวิ๋นกั่ง ไม่มีสักวันที่ข้าไม่อยากกลับไป ข้าคอยเฝ้ารออยู่ทุกวันให้ท่านปรมาจารย์เรียกตัวข้ากลับไป แต่ก็ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียว มันเป็นสถานการณ์หาได้ยากที่สำนักจะส่งเครื่องรางเรียกขานออกมา… ข้าถึงได้กลับมาในที่สุด แต่พวกเขากลับเมินเฉิยข้าแล้วในตอนนี้…”
ณ จุดนั้น นางก้มศีรษะลงและฟุบกับโต๊ะ พร้อมกับเริ่มร่ำไห้อย่างน่าสังเวช
โม่เทียนเกอมองดูนางร่ำไห้อยู่สักพัก ท้ายที่สุดแล้ว นางได้แต่ถอนหายใจและกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “หลานศิษย์หร่วน เจ้าเคยคิด… ยืนด้วยลำแข้งของตนเองบ้างหรือไม่”
หร่วนหมิงจูหยุดร้องไห้อย่างฉับพลัน
โม่เทียนเกอยังคงกล่าวต่อไป “ทำไมเจ้าต้องการให้ท่านอาจารย์และศิษย์พี่โส่วจิ้งสนใจเจ้าด้วย ตอนที่เจ้าอยู่ที่ลานแยกของอวิ๋นกั่ง ไม่มีใครคอยดูแลเอาใจใส่เจ้า ทว่าไม่มีใครรุนแรงหยาบคายต่อเจ้าเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้าสามารถฝึกตนอยู่ที่นั่นได้เป็นอย่างดี ใช่หรือไม่”
หร่วนหมิงจูเงยหน้าขึ้น ทว่าดูเหมือนนางจะยังคงงงงวย “พวกเขาทุกคนเมินเฉยข้า ข้าจะฝึกตนไปเพื่อสิ่งใดกัน ข้าจะทำไปเพื่อสิ่งใดกัน”
“…” โม่เทียนเกอเพียงแต่ไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยออกมา “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าฝึกตน แค่เพื่อทำให้ผู้อื่นสนใจเจ้าเท่านั้น”
“ข้า…” หร่วนหมิงจูดูสับสนงงงวย
โม่เทียนเกอรู้สึกทั้งเหนื่อยหน่ายและขบขันในยามเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนี้อายุมากกว่าถึงนางสองเท่า ทว่าทำไมนางกลับรู้สึกว่านางกำลังอบรมสั่งสอนเด็กน้อยผู้หนึ่งอยู่กันเล่า
“เจ้าไม่รู้สึกเพลิดเพลินกับการฝึกตนแม้แต่น้อยเลยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไรกัน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอย่างนั้นหรือ ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีอย่างนั้นหรือ ยอมให้ท่านอาจารย์เอาอกเอาใจเจ้าต่อไปอย่างนั้นหรือ จากนั้นรอจนกว่าเจ้าจะตายไปสักวันหนึ่งอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่รู้ว่าตนเองอยากทำสิ่งใดเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้น ความสุขในชีวิตของเจ้าจะมาจากที่ใดได้กันเล่า”