GGS:บทที่ 786 ขยะชุดใหม่

 

ซูจิ้งรีบลงมาที่ชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาไม่ได้พาเหล่าสัตว์เลี้ยงมาด้วย

นั่นก็เพราะว่าตอนนี้สถานีมีกำแพงมิติแล้วทำให้เขาไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์อีกต่อไป

ทันทีที่เขาเข้าไปข้างในก็พบช่องมิติกำลังเปิดอยู่และขยะห้วงเวลาฯกำลังไหลลงมาจากที่นั่น

ผ่านไปซักพักขยะห้วงเวลาฯเหล่านั้นก็รวมกันเป็นกองใหญ่โตมโหฬาร

 

แต่ไม่ว่าขยะจะกองใหญ่โตมโหฬารขนาดไหนก็ตามแต่ไม่มีขยะซักชิ้นเลยที่ตกลงบนพื้น

พวกมันลอยอยู่กลางอากาศด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแบบพิเศษของสถานี

พวกมันทยอยลอยแยกกันไปออกเป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ

ไม่ว่าจะเป็นไม้ ผ้า แม้ต่อเศษขี้เถ้าฝุ่น แต่ละชิ้นไม่มีสภาพแตกหักหรือเสื่อมสภาพแม้แต่น้อย

 

“การตัดสินใจยกระดับสถานีที่ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้วจริงๆ”

 

ซูจิ้งถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ หลังจากนั้นขยะก็เริ่มหยุดไหลออกมาจากช่องมิติซักพักมันก็หายไป

 

ซูจิ้งเข้าไปดูผลจากการคัดแยกของฉิงหยุน เขาพบว่าขยะกองนี้จำแนกหมวดหมู่ได้ 20 กว่ากองซึ่งแต่ละกองก็มีขนาดไม่เท่ากัน

ส่วนใหญ่เหมือนจะเป็นชุดไม่ก็ผ้าสมัยโบราณ

นั่นหมายความว่าขยะห้วงเวลาฯที่มาใจครั้งนี้สมควรจะมาจากห้วงเวลาฯที่ดูย้อนยุคหน่อยๆ

โดยมีครึ่งหนึ่งที่ดูเปียกๆไม่ก็เริ่มส่งกลิ่น สมควรมาจากพื้นที่ที่ชุ่มน้ำ

 

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาจากการกำจัดขยะห้วงเวลาฯถือว่านี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักเพราะว่าขยะที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำไม่เพียงแค่จะมีกลิ่นเหม็นเท่านั้น

แต่ยังหมายถึงว่ามีโอกาสที่พวกมันจะเน่าและเสียหายอย่างรวดเร็วทำให้ยากต่อการหาของดีๆได้

 

“แล้วกองเล็กๆนี่คือ?”

 

ซูจิ้งจ้องไปยังกองเล็กที่ถูกจัดแยกเอาไว้แทบจะอยู่ท้ายสุด มันเล็กขนาดที่ว่าโกยลงถังน้ำได้

เมื่อเทียบกับขยะกองอื่นที่มากมายมโหฬารแล้วแทบจะบอกได้เลยว่าไม่เข้าพวกเลยซักนิด

แต่หลังจากดูดีๆแล้ว ซูจิ้งก็ยังแน่ใจอยู่ว่ามันถูกคัดแยกออกมาโดยฉิงหยุนอย่างแน่นอน

มันคือสิ่งมีชีวิต พวกมันตัวเล็กและไม่ได้ดูมีความพิเศษอะไร เอาจริงๆมันเหมือนสัตว์จำพวกหอยซะมากกว่า แต่มันก็ยังดูแปลกตาตรงที่มีลวดลายที่เปลือกเหมือนลายเสือ

 

ซูจิ้งกลัวว่าพวกมันจะตายก็เลยนำไปใส่โหลแก้วแล้วเติมน้ำทะเลลงไป

เพื่อที่ว่าเอาไว้ว่างๆค่อยมาดูกันอีกทีว่ามันคือตัวอะไรกันแน่

แต่ทันทีที่ใส่มันเข้าไปเขาได้ยินเสียงร้องของสีดังลั่นออกมาจากพวกมัน

“ห้ะ อะไรล่ะนั่น”

ซูจิ้งหยุดแล้วลองฟังดีๆ เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร

แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่จึงลองใส่พวกมันลงไปต่อแต่คราวนี้เขาได้ปล่อยพลังจิตออกมาเพื่อจับสังเกต

คราวนี้เขาได้ยินเสียงเสียคำรามอีกครั้งซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากหอยเหล่านี้อย่างแน่นอนเพราะพวกมันส่งเสียงทันที

เมื่อพวกใหม่ค่อยๆจมน้ำแถมยังมีฟองอากาศลองออกมาไม่ขาดสายเหมือนเสียงออกมาจากฟองอากาศเหล่านั้น

“สงสัยต้องยืนยันซักหน่อยแหะว่ามันเป็นหอยหรือเสือกันแน่”

ซูจิ้งเองก็ตกใจไม่น้อย เขาเริ่มตัดสินใจที่จะหาคำตอบโดยการสะกดจิตหอยพวกนี้บางส่วนและบังคับให้มันส่งเสียงออกมา

อย่างที่คาดไว้เสียงของพวกมันเหมือนเสียงเสือตัวเล็ก

พอหาคำตอบดูก็พบว่าเสียงพวกนี้มันจะส่งเสียงเฉพาะตอนที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติจนทำให้พวกตกใจเลยร้องออกมา

พวกมันบอกว่าเป็นเพราะพวกมันตัวเล็กมากจึงได้พยายามเลียนแบบเสียงของสัตว์ร้ายเอาไว้ข่มขวัญศัตรูเท่านั้น

 

ก็เหมือนอย่างงูบางชนิดที่ใช้หางเกี่ยวกิ่งไม้แล้วเขย่าเพื่อทำให้ศัตรูคิดว่าเป็นงูหางกระดิ่ง

ซูจิ้งสงสัยขึ้นมาทันทีว่าแล้วทำไมต้องเป็นเสือหล่ะทำไมพวกหอยจึงไม่เลียนแบบสัตว์ร้ายในทะเลแต่เป็นเสือที่อยู่ในป่าเขาแทน

 

ซูจิ้งทำได้แต่ถอนหายใจออกมาพลางคิดไปว่าห้วงเวลาฯที่พวกนี้จากมาสมควรจะใหญ่และโหดร้ายพอทีจะเจออะไรก็ได้ทุกเมื่อ

เขานำพวกมันขึ้นมาตัวหนึ่งก่อนที่จะจับพลิกดูไปเรื่อยๆเพื่อศึกษาเพื่อเติม

เอาจริงๆสิ่งแรกที่เขาคิดได้ตอนที่เจอหอยพวกนี้ก็คือรสชาติจะเป็นยังไง

แต่ยังไงซะเขาก็สมควรจะแน่ใจก่อนว่าพวกมันกินได้

 

“เปิดออก” ซูจิ้งสั่งให้หอยนั้นเปิดกาบฝาของมันออก ทันทีเปิดออกเขาเห็นว่าเนื้อของมันเป็นสีทอง ดูเย้ายวนน่าอร่อย

อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ยังคิดอยู่ว่าเจ้าหอยพวกนี้เนื้อมันช่างน้อยนิดแทบจะติดเปลือกเลยก็ว่าได้

 

“หืม ไข่มุก?” ทันทีที่ซูจิ้งเห็นบางอย่างข้างในเขาถึงกับตาลุกโชน ทำไมถึงมีไข่มุกอยู่ในนี้ได้กันล่ะ

เขาลองปล่อยกระแสจิตออกไปตรวจสอบดูก็พบว่าไข่มุกเม็ดนี้ขนาดค่อนข้างใหญ่

ขนาดของมันมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 12 มม. และค่อนข้างกลม

ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจจริงๆ สำหรับเขาถึงแม้จะไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก

แต่ยังไงซะการเจอพวกมันแบบนี้ก็เหมือนเป็นโบนัส ปล่อยทิ้งไว้ก็เสียของเปล่าๆ

ซูจิ้งจึงนำมันใส่กระป๋องก่อนที่จะหันไปมองหอยตัวอื่นโดยที่สายตาส่องประกาย

เป็นไปดั่งที่เขาคาดไว้จากหอยทั้งหมด18ตัว 11ตัวในนั้นมีหอยมุกอยู่เขาพลางคิดไปว่ามันมีเยอะรึเปล่าเพราะว่านี่เป็นหอยจากธรรมชาติไม่ใช่หอยเลี้ยง

“ไหนขอลองดูหน่อยสิ”

ซูจิ้งปลดปล่อยกระแสจิตออกมาอีกครั้ง

เขาค่อยทำการเอาหอยมุกออกมาจากหอยพวกนั้นอย่างระมัดระวังโดยมีด

เขาค่อยๆทิ่มเข้าไปในบริเวณที่ไข่มุกฝังตัวอยู่อย่างแม่นยำแล้วงัดมันออกมา

ไข่มุกที่ได้นี้มันไม่เพียงแต่จะเกือบเป็นทรงกลมเท่านั้น สีของมันยังดูเหมือนหยก บางก้อนก็สีเหมือนทองคำ หากมองผ่านๆนี่มันดูเหมือนทองคำทรงไข่มุกที่สวยงาม

ในโลกนี้นั้นการที่จะผลิตไข่มุกที่มีลักษณะนี้ได้เป็นเรื่องยากมาก

ที่พอทำกันได้ส่วนใหญ่จะขนาดเล็กมาก และด้วยสีที่สวยงามและอัตราการผลิตที่ยากยิ่งทำให้พวกมันมีราคาสูงพอสมควร

“แค่ไข่มุกไม่กี่ก้อนก็กลายเป็นเงินมหาศาลแล้ว ถ้าเราผลิตได้เป็นร้อยหรือเป็นพันล่ะ

เจ้าหอยนี่สมควรที่จะเพาะพันธุ์เอาไว้ผลิตไข่มุกจริงๆ ลองเพาะพันธุ์มันดูดีกว่า

ถ้ามันสามารถผลิตไข่มุกได้มากพอล่ะก็น่าจะพอทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจได้อยู่นะ”

ซูจิ้งคิดไปพลางแสดงท่าทางมีความสุจออกมา

การหาโอกาสทำเงินในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการทำเงินจริงๆอย่างเดียวอีกต่อไป

แต่มันยังเป็นการเพิ่มอัตราการผลิตปฏิสสารที่จะนำมันไปใช้เป็นค่าพลังงานและผลพลอยได้ที่สำคัญคือค่าการใช้ประโยชน์อีกด้วย

ซูจิ้งเองก็คิดไว้อย่างดีแล้วว่าเขาสมควรจะใช้แนวทางนี้ในการรับค่าต่างๆเพื่อใช้ในการยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ เป็นเรื่องดีที่ว่าการจะทำอะไรซักอย่างแล้วได้ผลลัพธ์มากกว่าสองอย่างแน่นอน

 

“เจ้าหอยอีกสองพันธุ์นี่ก็สมควรจะมีอะไรพิเศษบางนา”

ซูจิ้งหยิบหอยทรงเจดีย์ขึ้นมาดูแต่เขาก็ไม่พบว่ามีอะไรพิเศษ สุ

ดท้ายเขาเลยลองนำเนื้อของหายอีกสองพันธุ์นั่นไปให้หนูกินเพื่อเป็นการทดสอบ

แต่พวกหนูหลังจากกินไปแล้วก็ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดแถมพวกมันยังบอกเขาว่าหอยนี่ไม่อร่อยซะด้วยซ้ำ

 

“แล้วนี่คือ?” ซูจิ้งเริ่มสังเกตเห็นว่ามีถุงบางอย่างติดอยู่กับเปลือกหอยทั้งสองพันธุ์

ตอนแรกเขาก็คิดว่าเป็นแค่เปลือกหอยธรรมดาแต่หลังจากที่เขาดึงออกมาแล้วนำมาดูดีๆกลับไม่ใช่

ข้างในนั้นคล้ายๆกับว่ามีต้นไม้เล็กๆต้นหนึ่ง ที่เหมือนจะเพิ่งงอกขึ้นมา มันมีลักษณะคล้ายต้นข้าว

ที่หมู่บ้านตระกุลซูมีนาข้าวอยู่ใกล้ๆ ระหว่างทางที่ซูจิ้งไปหรือกลับโรงเรียนทั้งในระดับ ป.ถมและม.ต้นซูจิ้งจะได้เห็นทุ่งข้าวตลอดสองข้างทาง

เขานั้นเห็นพวกมันบ่อยมากจนเชื่อว่าตัวเองเห็นไม่ผิดอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามเจ้าต้นข้าวนี้มันดูเล็กๆ ผอมๆ แห้งๆ เหมือนจะพร้อมตายได้ตลอดเวลา

ต่อให้มันไม่ตายก็ไม่น่าจะออกรวงข้าวออกมาได้

“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะเป็นข้าวแบบไหนแต่ลองปลูกดูก่อนแล้วกัน”

ซูจิ้งค่อยๆนำต้นข้าวอันเล็กจิ๋วนั่นปลูกลงดินอย่างระมัดระวัง

หลังจากนั้นได้นำบรรดาหอยที่คัดแยกออกมาได้มาใส่ไว้ด้วยแล้วนำไปไว้ที่ชั้นสาม

เขานั้นให้ฉิงหยุนปรับแต่งบ้านนี้โดยให้ชั้นหนึ่งเป็นสภาพสิ่งแวดล้อมเสมือน ชั้นสองเป็นห้องเย็น เขาเองก็จะคอยหาจังหวะปรับแต่งบ้านของเขาไปเรื่อยๆเช่นกัน