จิ่งเหิงปัวมองเห็นจื่อหรุ่ยที่ถูกมัดกางแขนกางขาไว้บนเตียง ในปากมีม้วนผ้าอุดไว้ในคราเดียว นางกำลังพยายามขยับเขยื้อนดิ้นรนร่างกายลงไปข้างล่าง แน่นอนว่าไม่ใช่อยากดิ้นรนเอาชีวิตรอด เชือกผ้ามัดแน่นอย่างยิ่ง นางดึงลากสุดชีวิต เชือกผ้าที่มัดไว้ตรงขอบเตียงยิ่งลากยิ่งรัดแน่น รัดคอของนางจนเกิดเป็นรอยม่วงสายหนึ่งแล้ว
จิ่งเหิงปัวตกใจจนอกสั่นขวัญแขวนในคราเดียว…คราวนี้จื่อหรุ่ยกำลังคิดจะฆ่าตัวตาย!
นางสาวเท้าพรวดพราดพุ่งเข้าไป ประคองร่างกายของจื่อหรุ่ยส่งไปบนเตียง ก่อนจะหันหลังหากรรไกรมาตัดเชือกผ้าออกดังฉึบฉับ มองเห็นร่องรอยเขียวม่วงบนคอจื่อหรุ่ย ทั้งรู้สึกเจ็บปวดใจทั้งรู้สึกโกรธแค้น
ต้องตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เพียงได้ถึงเลือกจะปลิดชีพตนเองด้วยวิธีนี้ได้?
ถึงยามนี้จื่อหรุ่ยมีน้ำตาในที่สุด ทว่าไม่ยอมหลั่งน้ำตาออกมาอย่างดื้อรั้น มองดูนางด้วยแววตาที่มีคลื่นน้ำวิบวับ จิ่งเหิงปัวหยิบม้วนผ้าที่อุดปากนางออกมา นางร้อง “อึ่ก” เสียงหนึ่งแล้วรีบเร่งอุดปากไว้ คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงมองเห็นรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนบนม้วนผ้ากับเลือดข้างริมฝีปากของจื่อหรุ่ย
คราวนี้จิ่งเหิงปัวไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใจแล้ว ทว่านางรู้สึกโมโหจนถึงขีดสุด
แบบนี้เรียกว่ามองคนอื่นเป็นมนุษย์หรือ?
เดิมทีนางไม่อยากก่อเรื่อง ไม่อยากรบกวนคนอื่นแล้วสร้างปัญหาให้กงอิ้น แต่หากไม่ลงโทษคนแบบนี้ แล้วนางจะมีหน้าเป็นราชินีได้อย่างไร?
นางอยากจะ…อยากจะ…อยากจะจัดการลงโทษสถานหนักให้ตระกูลนี้ตอนนี้เสียเหลือเกิน!
ทว่าหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ สามครั้ง นางก็ยังคงตัดสินใจที่จะส่งจื่อหรุ่ยกลับไปก่อน หากอยู่ที่นี่เพื่อระบายอารมณ์แล้วลากจื่อหรุ่ยเข้าไปพัวพันอีกครั้ง เช่นนั้นยิ่งโง่เง่าเข้าไปใหญ่
มือลากจื่อหรุ่ยไว้กำลังก้าวออกไป ที่นอกประตูก็พลันมีเสียงคนตบประตูดัง พลั่ก!
ตาเฒ่าบ้ากามคนนั้นคงจะมาถึงแล้ว
จิ่งเหิงปัวลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก่อนตอนที่นางอยู่ในยุคปัจจุบันนั้น ไม่อาจพาคนหายตัวไปได้ หลังจากมาถึงต้าฮวงแล้วความสามารถพิเศษเกิดความเปลี่ยนแปลง พาคนหายตัวไปด้วยได้ แต่การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ไม่ได้ไกลนัก คราวนี้ถ้าหายตัวออกไปแล้วเจอกับเฒ่าบ้ากามพอดี เช่นนั้นคงเกิดปัญหาอย่างแน่นอน ฟังจากเสียงตบประตูนั่นแล้ว ดูท่าข้างนอกคงมีคนไม่น้อย
“เจ้าไปซ่อนตัวในห้องด้านข้าง” จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังห้องด้านข้างที่กักขังฮูหยินเสนากองขุนนางและคนรับใช้ไว้
“ฝ่าบาท…” จื่อหรุ่ยเอ่ยวาจาด้วยเสียงคลุมเครือไม่ชัดเจน จูงมือของนางไว้ สีหน้ากระวนกระวาย
“ข้าไม่ได้เอ่ยว่าข้าจะยอมสิ้นชีพไม่คำนึงถึงชีวิตเพื่อเจ้า” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ที่นั่นมีตัวประกันสองคน เจ้าไปหาวิธี ปกป้องเจ้าเองก็ดี ใช้เรื่องนี้มาปกป้องข้าก็ดี ดูว่าเจ้าจะทำอย่างไร ร่างกายสตรีเช่นพวกเรามีกำลังไม่สู้บุรุษ คงได้แต่ลงแรงกับแผนการนี้แล้ว เข้าใจหรือไม่?”
จื่อหรุ่ยคล้ายไม่เคยได้ยินทัศนะเช่นนี้ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ปล่อยมือนางเดินไปห้องด้านข้างแล้ว จิ่งเหิงปัวปรบมือ แบบนี้ถึงจะถูกต้อง ร้องห่มร้องไห้เจ้าผลักดันข้าให้แสดงว่าตนเองยอมสละชีวิตเพื่ออีกฝ่ายสุดกำลังหรือ แบบนั้นต้องผลักดันไปจนถึงเมื่อไรกัน? นึกว่าอยู่ในละครดราม่าโรแมนติคน้ำเน่าเหรอไง? ต่างคนต่างอยู่ในอันตราย ต่างมีความรับผิดชอบของตนเอง ไม่ว่าใครก็ไม่ควรกลายเป็นภาระของคนอื่น ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะแอบเกียจคร้าน
…
บนหลังคามีคนหมอบระเกะระกะอยู่หลายคน
คนหนึ่งทุบตีอีกคนหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “นี่ เหตุใดไม่ลงไปช่วยเหลือ?”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าอยากมองดูภรรยาข้าองอาจห้าวหาญ”
“ข้ารู้สึกว่าขั้นต่อไปนางจะยั่วยวนจ้าวซื่อจื๋อนะ เจ้าอย่าได้เสียภรรยาและรี้พล[1]เชียว”
“ไม่หรอกน่า ภรรยาข้าจะต้องสมรสกับข้าอย่างสมบูรณ์พร้อมไร้ตำหนิเป็นแน่”
“องค์ราชินีย่อมออกเรือนอย่างสมบูรณ์พร้อมไร้ตำหนิเป็นแน่ ทว่าปัญหาแรกคือฝ่ายตรงข้ามได้ตัวคนไปแล้ว”
…
หลังจากจื่อหรุ่ยซ่อนตัวดีแล้ว จิ่งเหิงปัวก็จัดระเบียบห้องเล็กน้อย จัดแต่งจอนผม แล้วเดินไปยังข้างประตู ก่อนจะเปิดประตูออกมา
พอบานประตูเปิดออก เสนากองขุนนางจ้าวซื่อจื๋อที่ยืนอยู่ปากประตูก็หรี่ตาลงโดยพลัน
แสงสว่างสดใสพาให้ตื่นตะลึง
ดวงตาคู่นั้นของเขาพลันเจิดจ้า อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าสตรีที่ฮูหยินส่งมาให้เขาลิ้มรสวันนี้จะมีรูปโฉมงดงามทรงเสน่ห์เช่นนี้
เขาจ้องมองริมฝีปากแดงฉ่ำของนางนั้น รู้สึกเพียงโชติช่วงดุจเพลิงดั่งจะเสียดแทงดวงเนตร เบนสายตามองดอกบานเที่ยงแดงเข้มที่เดิมทีงดงามเลิศล้ำอยู่บนสันกำแพง พลันรู้สึกว่าเศร้าสลดเทาหม่นหมอง
จิ่งเหิงปัวกำลังพินิจบุรุษฝั่งตรงข้ามเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเจ้าบ้านจอมทำลายล้างคนนี้ เจ้าตัวนับว่าหน้าตาดูมีราศี รูปร่างสูงใหญ่ โครงหน้างดงามหล่อเหลา จอนผมสองข้างเจือสีขาวทว่ายิ่งแลดูผันผ่านกาลเวลา มีท่าทางของขุนนางเลื่องชื่อมากความรู้สุขุมงามสง่าหลายส่วน มิน่าเล่าถึงได้กลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋น รูปโฉมแบบนี้มีความยั่วยวนอย่างยิ่ง เพียงแต่หากมองโดยละเอียดแล้วจะพบว่านัยน์ตาของคนคนนี้สกปรกเล็กน้อย สายตาระยิบระยับยามที่มองผู้อื่น โดยเฉพาะมองสตรี สายตาดั่งขนนกที่ล่องลอยแผ่วเบากลุ่มหนึ่ง ล่องลอยไปมา ไร้ที่ซึ่งหยุดนิ่ง
ยามนี้สายตานั้นมีความดีใจระคนแปลกใจและมีความสงสัย จ้าวซื่อจื๋อถามอย่างหยั่งเชิงว่า “แม่นางดูแล้วไม่คุ้นหน้าคุ้นตา…”
“นายท่าน” จิ่งเหิงปัวยืนพิงขอบประตู ชม้ายชายตาให้เขาแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินให้ข้ามาปรนนิบัติท่าน…”
นางกล่าวคำว่าบ่าวหรืออนุภรรยาไม่ถนัด โชคดีที่ยามนี้จ้าวซื่อจื๋อกำลังส่งความรักผ่านนัยน์ตา แววตาโลดแล่นขึ้นบนลงล่างอยู่บนทรวดทรงงามเลิศล้ำที่นางบิดเรือนร่างจนเทือกเขาโค้งเว้าจนสิ้น สังเกตถึงสิ่งอื่นเสียที่ใด ต่อให้นางเรียกตนเองว่านายท่าน เขาก็ไม่ได้ยิน
“ดีๆๆ…” จ้าวซื่อจื๋อยิ้มแย้ม ยื่นมือส่งให้นางคล้ายหวังให้นางประคอง แต่จิ่งเหิงปัวหันกายไปอย่างกะทันหัน ก้าวเดินนำหน้าเชื่องช้า จ้าวซื่อจื๋อขมวดคิ้วครั้งหนึ่ง เพิ่งอยากจะเอ่ยวาจาสักหน่อย แววตาพลันทอดลงบนเอวที่ขยับเขยื้อนเชื่องช้าของนาง ลื่นไถลไปตามทรวดทรงองเอวโดยอัตโนมัติหลายครั้ง หลงลืมความไม่พอใจไปโดยพลัน
“ดีๆๆ ตามเจ้าไป” เขาหัวเราะเหอะๆ พลางก้าวเข้าประตูมา องครักษ์หลายนายข้างหลังต่างกรูตามเข้ามาด้วย
จิ่งเหิงปัวพลันหันหลัง นิ้วมือชี้ไปยังองครักษ์หลายนายนั้น ยิ้มพราวพลางเอ่ยว่า “นายท่าน ช่วงเวลาดีงามเช่นนี้ ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ ท่านจะให้ไอ้โง่หลายคนอยู่ที่นี่เพื่อแอบฟังยามเข้าหอจริงหรือ”
“อึก…” จ้าวซื่อจื๋อนึกไม่ถึงว่าจิ่งเหิงปัวจะเอ่ยวาจาไม่รู้กาลเทศะขนาดนี้ เขาชะงักไปชั่วครู่ พลันรู้สึกว่าสดใหม่มีพลัง โบกไม้โบกมือ เอ่ยว่า “พวกเจ้ารออยู่นอกลานบ้าน รอคอยฟังคำสั่ง”
เหล่าองครักษ์ถอยออกไป จ้าวซื่อจื๋อปิดประตูด้วยตนเอง หันกายแล้วก้าวเท้าตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“โฉมงาม เจ้าเอ่ยวาจาถึงใจนักเชียว นายท่านเช่นข้าก็ชื่นชอบสตรีเช่นเจ้าเป็นที่สุดแล้ว…”
จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีหันหลัง กวักมือ กล่าวว่า “มาสิ…”
บนหลังคาอีชีกุมหน้าอกหลับตา เอ่ยว่า “โอ้…กระดูกข้าร้าวไปหมดแล้ว…”
“โอ้…อิดอี้อ่าย…” ศิษย์น้องหกคนดัดเสียงน่าเอ็นดู เอ่ยว่า “มาสิ…ข้าเองคิดถึงท่านนัก…”
…
ประตูปิดลง ห้องพลันมืดมิด
จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่บนเตียง ท่าทางอ่อนช้อยงดงาม “นายท่าน…”
จ้าวซื่อจื๋อพุ่งขึ้นมาอย่างยินดีปรีดา
พริบตาต่อมา เขาก็เบิกตาโพลง มองเห็นหมอนกระเบื้องบนเตียงพลันลอยขึ้น พุ่งมาทางใบหน้าเขา
เพล้ง! ดวงดาวสีทองสาดกระเซ็นเป็นผืนใหญ่ผืนโตอย่างสว่างไสว ทั่วทั้งโลกาต่างเป็นสีขาวสีดำผืนหนึ่ง
จ้าวซื่อจื๋อโซเซ ถอยไปยังข้างประตู ก่อนจะคว้าวงกบประตูไว้ เงยหน้าจ้องมองจิ่งเหิงปัวอย่างตกตะลึง
จิ่งเหิงปัวคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ไม่ได้ทุบเขาจนสลบไสล นางกระโดดขึ้นมาในทันที เหลียวซ้ายแลขวาหาสิ่งที่ฉวยมือได้ตระเตรียมมาเขวี้ยงอีกครั้ง หางตาพลันเหลือบเห็นมือของจ้าวซื่อจื๋อคล้ายยื่นขึ้นไปคว้าของอะไรสักอย่าง ในใจตื่นตระหนกกำลังขัดขวาง จ้าวซื่อจื๋อดึงเชือกที่แอบซ่อนไว้ข้างประตูเส้นหนึ่งในทันใดแล้ว
กริ๊งๆๆ กริ๊งๆๆ แทบจะโดยพลัน ในลานบ้านมีเสียงกระดิ่งถี่กระชั้นระลอกหนึ่งดังขึ้นมา จากนั้นก็ดังขึ้นที่นอกประตูด้วย ดังขึ้นบนต้นไม้ที่ไกลออกไปด้วย แม้แต่ข้างหน้าลานบ้านยังดังขึ้นด้วย เสียงกระดิ่งแว่วออกไปเสียงแล้วเสียงเล่า ชั่วประเดี๋ยวเดียวแว่วไปทั่วทั้งจวน
“ไอ้เวรเอ้ย” จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่าเจ้าคนนี้ยังมีของแบบนี้อีก รีบวิ่งไปหาจ้าวซื่อจื๋อ ยามนี้เสียงพลั่กเสียงหนึ่งดังก้อง องครักษ์นอกประตูพังประตูเข้ามาแล้ว ที่ซึ่งห่างออกไปมีเสียงฝีเท้าสับสนปนเปกัน คล้ายมีคนนับไม่ถ้วนรีบเร่งวิ่งมา มีคนตะโกนจากไกลโพ้นว่า “บนหลังคามีคน! ยิงพวกมันลงมา!” จากนั้นมีเสียงน้าวสายธนูอย่างรวดเร็วแว่วมาด้วย
จ้าวซื่อจื๋อเป็นคนโหดเ**้ยมเช่นกัน เมื่อถูกทุบจนกลายเป็นแบบนั้นแต่กลับไม่สลบไสล การโต้ตอบรวดเร็วยิ่ง กัดฟันหันหลังรีบวิ่งหนี ร้องตะโกนไปพลางว่า “โยนคบเพลิง! ไม่ต้องจับเป็น! เผาให้สิ้นชีพไปเลย!”
จิ่งเหิงปัวตามไปถึงนอกประตู โบกมือครั้งหนึ่ง เสียงครืนเสียงหนึ่งดังก้อง ราวไม้ราวหนึ่งในลานบ้านล้มลงเบื้องหน้าจ้าวซื่อจื๋อพอดี ควันธุลีอบอวล เศษไม้ปลิวว่อน จ้าวซื่อจื๋อร้องอ๊ากดังลั่นเสียงหนึ่ง กุมเท้ากระโดดขึ้นมา…มันกระแทกนิ้วเท้าเขาแล้ว
พอราวไม้ที่ไว้ใช้ตากเสื้อผ้าล้มลง ได้ขัดขวางองครักษ์ของจ้าวซื่อจื๋อที่วิ่งเข้ามารับเขาในลานบ้านเอาไว้ จิ่งเหิงปัวตวาดก้องเสียงหนึ่งว่า “มานี่!” ใช้มือเดียวคว้าไว้!
ทุกคนอุทาน “อ๊ะ” ออกมาอย่างตกตะลึง เบิกตาโพลงมองเห็นจ้าวซื่อจื๋อที่ล้มลงบนพื้นถูกจิ่งเหิงปัวใช้พลังเคลื่อนย้ายคว้าไปในมือเดียว!
นี่มันวรยุทธ์ใดกัน?
จิ่งเหิงปัวแอบดีใจเป็นล้นพ้น คิดไม่ถึงว่าตนเองคว้าครั้งเดียวจะมีผลลัพธ์แบบนี้ได้ แต่ก่อนไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากมายขนาดนี้
ข้างหน้าพลันมีแพรขาวสายหนึ่งเหินมา มัดเอวของจ้าวซื่อจื๋อไว้ดังสวบ จิ่งเหิงปัวพลันรู้สึกถึงแรงลากมหึมาหอบหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา การคว้าขึ้นกลางอากาศของนางเดิมทีเป็นการใช้พลังมากกว่าปกติอยู่แล้ว จะทนรับแรงลากกลับมหึมาแบบนี้ไหวเสียที่ไหน กลั้นหายใจครั้งหนึ่งปล่อยมือออก เรือนร่างของจ้าวซื่อจื๋อเหินขึ้น ถูกฝ่ายตรงข้ามลากกลับไปโดยพลัน
ยามนี้ควันธุลียังไม่สูญสลาย จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้มองให้ชัดเจนว่าคนที่ลากจ้าวซื่อจื๋อกลับไปคือใคร นางตะโกนก้องทันที “จื่อหรุ่ย!”
หน้าต่างห้องด้านข้างเปิดออกดังปัง พอเหล่าองครักษ์หันไป อุทานอย่างตกตะลึงอีกครั้งว่า “ฮูหยิน!”
[1] เสียภรรยาและรี้พล สำนวนจีนจากสามก๊ก หมายถึง การสูญเสียซ้ำสองอย่างในครั้งเดียว