ตอนที่ 76 - 4 ทะลวงถ้ำแมงมุม โจมตีปีศาจแมงมุม

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เบื้องหน้าหน้าต่างมีฮูหยินจ้าวและหญิงรับใช้ของนางถูกมัดไว้ซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่ง สองคนถูกมัดให้นั่งอยู่บนม้านั่ง บริเวณคอค้ำด้วยแท่งไม้แหลมสองฝั่ง แท่งไม้จ่อหลอดเลือดใหญ่ของสองคนอยู่พอดี จื่อหรุ่ยยืนอยู่ตรงกลางของพวกนาง ถือแท่งไม้นั้นไว้ เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “พวกเจ้าสองคนผู้ใดขยับเขยื้อนก่อน แท่งไม้จะทิ่มลำคอผู้นั้น คนข้างนอกเหล่านี้ผู้ใดขยับเขยื้อนมั่วซั่ว แท่งไม้จะทิ่มฮูหยินก่อน!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวร้องเสียงดังว่า “ดีมาก กดไลค์!” 

 

 

หากนางหายตัวไปเองคนเดียวคงจะหนีรอดไปได้นานแล้ว แต่หากพาจื่อหรุ่ยไปด้วยคงหนีไปได้ไม่ไกล นางไม่มีความมั่นใจ เช่นนั้นก็ไม่สู้จับตัวประกันไว้บุกออกไปก่อน  

 

 

จ้าวซื่อจื๋อร่วงลงนอกประตู แสดงความเคารพให้ผู้ที่ลงมือช่วยเขาก่อนอย่างรีบร้อน เอ่ยว่า “ขอบคุณเถี่ยซื่อจื่อ” 

 

 

คนผู้นั้นยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “เจ้ากับข้าเป็นสหายข้างจวน ในเมื่อเจ้ามีภัย ข้าย่อมต้องช่วยเหลือ” 

 

 

จ้าวซื่อจื๋อเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไม่รู้ว่ามือสังหารจากที่ใด กล้าบุกเข้ามาก่อความวุ่นวายในจวนข้า ต้องให้นางมาได้กลับไม่ได้!” 

 

 

พอเขายืนได้อย่างมั่นคง หันกายตวาดใส่เหล่าองครักษ์ว่า “ยิงธนูเพลิง! บีบพวกนางออกมา!” 

 

 

“ใต้เท้า!” เหล่าองครักษ์ตื่นตะลึง ร้องว่า “ฮูหยินยังอยู่ข้างใน!” 

 

 

“ไม่ต้องห่วงมากมายขนาดนั้น!” จ้าวซื่อจื๋อหยุดฝีเท้า น้ำตาไหลออกมาโดยพลัน เอ่ยว่า “พวกเจ้ายิงธนูเพลิงไปสองฝั่งให้เต็มที่ พวกนางอยากจะรอดชีวิต จำต้องพาฮูหยินออกมาก่อน ฮูหยินย่อมไม่เป็นไรแน่!” 

 

 

ทุกคนเหลือบตาชำเลืองมองจ้าวซื่อจื๋อปราดหนึ่ง เจ้าผู้ชรามีท่าทางพิฆาตญาติเพื่อคุณธรรม ทว่าผู้ใดเล่าไม่รู้ว่าเขาคิดถึงทรัพย์สินสินเดิมที่ฮูหยินกำไว้ในมือแน่น? คราวนี้หากไม่ระวังยิงพลาดจนสิ้นชีพ คงเลื่อนตำแหน่งภรรยาม้วย ร่ำรวยแต่งภรรยาใหม่พอดีเชียว 

 

 

เถี่ยซื่อจื่อผู้นั้นถอยออกไปไกลโพ้นตั้งนานแล้ว เอามือไพล่หลังมองทิวทัศน์ ท่าทางไม่คิดจะเข้าไปพัวพันเรื่องในครอบครัวผู้อื่นด้วยซ้ำ  

 

 

ขณะที่จิ่งเหิงปัวกำลังคิดจะไปรวมกับจื่อหรุ่ย ก็พลันได้ยินเสียง ฟิ้ว! ดังขึ้นเสียงหนึ่ง พอเงยหน้าก็มองเห็นธนูเพลิงดอกหนึ่งพุ่งมาดุจมังกรแดง พุ่งตรงไปยังฮูหยินจ้าวที่อยู่เบื้องหน้านาง  

 

 

“เวรเอ้ย นี่คือนายหญิงจวนเจ้านะ!” จิ่งเหิงปัวตกตะลึงอ้าปากค้าง ตะโกนด่าทอเสียงหนึ่ง โบกมือเพียงครั้ง ธนูเพลิงเอนเอียงเหินไปทางหนึ่ง ร่วงลงตรงหญ้าแห้งพุ่มหนึ่งพอดีแล้วลุกไหม้โดยพลัน  

 

 

ธนูเพลิงกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งลอยผ่านเหนือศีรษะของจิ่งเหิงปัว พุ่งไปทางหลังคาดั่งอีกาเพลิงกลุ่มหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น ไอ้ตัวดี บนหลังคามีไอ้เฮฮาเจ็ดคนกระโดดโลดเต้นอยู่แน่ะ! 

 

 

“ไอ้หยาสนุกนัก!” พวกเฮฮาบางคนกำลังมือยันพื้นเท้าชี้ฟ้า คนหนึ่งตีลังกาคาบธนูเพลิงดอกหนึ่ง บางคนกำลังเต้นรำ แขนเสื้อโบกสะบัดพัดพลิ้ว บางคนกำลังฝึกวิชาดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ ดีดนิ้วครั้งหนึ่งหายไปนิ้วหนึ่ง ยังมีบางคนเพียงพุ่งไปพุ่งมาตามธนูเพลิง เอาแต่นำศีรษะตนเองประชิดใกล้เปลวไฟ ทุกครั้งที่ดัง ฟู่! ผมก็ไหม้ไปกลุ่มหนึ่ง ทุกครั้งต่างไม่บาดเจ็บถึงหนังศีรษะ พุ่งมั่วซั่วไปทั่วเผาเส้นผมจนไหม้เป็นร่องหลายร่องบนศีรษะไปพลาง เอ่ยอย่างร่าเริงไปพลางว่า “ดูทรงผมทรงใหม่ของข้าสิ! งามหรือไม่ งามหรือไม่?” 

 

 

จิ่งเหิงปัวกุมศีรษะไว้ โอ้ พวกเฮฮาพวกเจ้าตั้งใจทำงานหน่อยได้หรือไม่? 

 

 

น่าเสียดายที่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเจ็ดสังหารต่างถือว่าการเที่ยวเล่นเป็นจิตวิญญาณสูงสุดของชีวิต เล่นธนูเพลิงไปมา ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ตะโกนขึ้นเสียงหนึ่งว่า “มาแข่งกันว่าผู้ใดจัดการธนูได้เยอะสุด! ผู้แพ้ถอดกางเกงเปลือยก้นนะ!” พลันเงาคนหกสายกอดธนูกองใหญ่กองหนึ่งกะพริบวูบหายไป คงจะไปแข่งธนูแล้ว มีเพียงอีชีคนเดียวหมอบอยู่บนกระเบื้องมุงหลังคาอย่างซื่อสัตย์จงรักภักดี ตะโกนลงมาข้างล่างว่า “ภรรยา ขึ้นมาเย็นสบาย…” 

 

 

จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาวอย่างเหนื่อยหน่าย  

 

 

องครักษ์จวนตระกูลจ้าวทางนั้นเห็นคนบนหลังคามีวรยุทธ์สูงเกินไป ก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นจิ่งเหิงปัวอีกครั้งหนึ่ง ธนูเพลิงยิงเข้ามาติดต่อกัน ลานบ้านลุกไหม้อย่างรวดเร็วยิ่ง อีชีเห็นจิ่งเหิงปัวไม่ขึ้นไป ได้แต่กระโดดลงมา ก็ไม่รู้ว่าหาพัดหนึ่งเล่มมาจากที่ใด ขยับพัดให้จิ่งเหิงปัวอย่างต่อเนื่อง ช่วยพัดไอควันไปจากนาง พลางยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ภรรยา ภรรยา ข้าดีหรือไม่ เจ้าลักพาตัวมาข้าโบกพัด เจ้าฆ่าคนมาข้าปล่อยข่าว พวกเราเป็นคู่บุพเพสันนิวาสใช่หรือไม่” 

 

 

จิ่งเหิงปัวไอโขลกอย่างต่อเนื่อง “ไอ้ติ๊งต๊อง! เจ้าจะดูทิศทางให้แม่นยำ ไม่พัดควันมาทางข้านี้ได้หรือไม่!” 

 

 

… 

 

 

เปลวเพลิงลอยล่อง ฮูหยินจ้าวกรีดร้องอย่างตื่นตกใจ จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ กล่าวเสียงดังว่า “ไม่ต้องเรียกแล้ว สามีเจ้าจะเผาเจ้าให้สิ้นชีพแน่ะ! อยากรอดชีวิตหรือ? รีบเอาทรัพย์สินของเจ้าออกมา!” 

 

 

เสียงนางมีแรงทะลุผ่านอย่างยิ่ง คนที่อยู่นอกลานบ้านได้ยินกันทั้งนั้น เรื่องในใจของจ้าวซื่อจื๋อถูกเปิดเผยโดยตรง ใบหน้าชราแดงก่ำ เดิมทีเพียงหวังฉวยโอกาสข่มขวัญภรรยา ข่มขวัญมือสังหารสาวโฉมงาม บังคับให้พวกนางออกมา ยามนี้มีความคิดสังหารขึ้นมาบ้างแล้ว  

 

 

“นี่” จิ่งเหิงปัวเข้าใกล้ฮูหยินจ้าว ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “สามีเจ้าคล้ายไม่ค่อยห่วงใยเจ้าเท่าไรเลย? เจ้าว่าหากข้าผลักเจ้าออกไปด้วย เขาจะยิงเจ้าจนสิ้นชีพในธนูเดียวก่อนแล้วค่อยยิงข้าจนสิ้นชีพเสียเลยหรือไม่เล่า ทว่าข้าคล้ายจะไม่อยากสังหารเจ้า ข้าเพียงอยากยืมเจ้ามาเป็นโล่กำบัง เจ้าโน้มน้าวสามีเจ้าสักหน่อยสิ อย่าได้ตัดเยื่อใยขนาดนี้ดีหรือไม่” 

 

 

เพลิงกลุ่มหนึ่งลุกไหม้บนน้ำมันที่กลิ้งเกลือก เดิมทีฮูหยินจ้าวถูกควันไฟรมจนไอโขลกต่อเนื่อง เมื่อได้ฟังน้ำเสียงยั่วยุนี้ แล้วมองเห็นท่าทางเย็นชาของสามีผ่านควันไฟ ในใจก็บันดาลโทสะ ร้องเสียงแหลมว่า “จ้าวซื่อจื๋อ! เจ้ามันไอ้แก่โง่เง่าอกตัญญู! ยามนั้นเจ้าระหกระเหินอยู่ข้างถนน ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร? ข้าร่วมลำบากเคียงข้างเจ้ามากี่ปีเจ้าเคยนับหรือไม่ ยามนี้เจ้าเจริญรุ่งเรืองแล้ว ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากคงควรจะหย่าทิ้งแล้วกระมัง นี่เจ้าจะพาผู้ใดมาสมรสด้วยเล่า แม่หม้ายน้อยที่หัวตลาดตะวันตกหรือน้องหญิงสามที่ไม่ยอมออกเรือนคนนั้นของข้า?” 

 

 

เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น คุณหนูสามชุดแดงคนนั้นกำลังวิ่งมาจากไกลโพ้น ได้ยินวาจาประโยคหนึ่งนี้ ย่ำเท้าร้องตะโกนเสียงหนึ่ง วิ่งหนีไปแล้ว  

 

 

ใบหน้าของจ้าวซื่อจื๋อแดงก่ำยิ่งนัก มองดูรอบด้านอย่างขวยเขิน เอ่ยด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “ฮูหยิน! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! ยังไม่รีบหุบปากอีก!” 

 

 

“เจ้ายังไม่ห่วงความเป็นความตายของข้าเลยเหตุใดข้าต้องห่วงศักดิ์ศรีของเจ้า? จ้าวซื่อจื๋อ หากวันนี้เจ้าไม่คำนึงถึงข้า ข้าจะเปิดโปงไอ้แก่โง่เง่าเช่นเจ้าคนนี้ให้สิ้น เจ้ากับนัง…” 

 

 

ฟิ้ว! 

 

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา  

 

 

เสียงแผ่วเบานั้นกลบกลืนในเสียงเปลวเพลิงลุกไหม้เปรี๊ยะๆ นอกจากจิ่งเหิงปัวแล้วไม่มีใครได้ยิน  

 

 

เรือนร่างของฮูหยินจ้าวสั่นสะท้าน  

 

 

จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้านเช่นกัน นางกำลังเงี่ยหูขึ้น ตระเตรียมตั้งใจฟังเรื่องซุบซิบนินทาของเสนากองขุนนางจ้าว พลันรู้สึกว่าร่างกายของฮูหยินจ้าวในมืออ่อนยวบ 

 

 

นางตกตะลึง พอก้มหน้ามองเห็นฮูหยินจ้าวอ่อนยวบล้มลงไป ช่วงหน้าอกเปล่งประกายเล็กน้อย พอมองโดยละเอียด คือหนามสามเหลี่ยมปลายแหลมสองฝั่งแท่งหนึ่ง  

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าอย่างงงงัน ทว่าเบื้องหน้าควันหนาลอยล่อง เงาคนมัวสลัว ใครจะรู้ว่าอาวุธลับนี้ใครเป็นคนส่งมา? 

 

 

“อีชี!” นางร้องเรียกแผ่วเบา 

 

 

อีชีทิ้งพัดเฉียดเข้ามาแล้ว ขมวดหัวคิ้วอย่างหาได้ยาก มองบาดแผลช่วงหน้าอกของฮูหยินจ้าว เขาลงมือดุจสายลม สกัดจุดเส้นโลหิตใหญ่ของฮูหยินจ้าวต่อเนื่องหวังจะห้ามเลือด ทว่าสายไปแล้ว โลหิตที่ไหลออกมาจากหน้าอกของฮูหยินจ้าวได้เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ทว่าไหลออกมาไม่กี่หยดก็แข็งตัวแล้ว สองคนมองดูเส้นม่วงคล้ำสายนั้น ขยับจากลำคอขึ้นไปข้างบนประหนึ่งอสรพิษ ชั่วพริบตาเส้นม่วงคล้ำปกคลุมหว่างคิ้วฮูหยินจ้าว ฮูหยินจ้าวชักเกร็งระลอกหนึ่ง คออ่อนพับ  

 

 

นางสิ้นใจแล้ว  

 

 

จิ่งเหิงปัวโซเซครั้งหนึ่ง พลันรู้สึกว่าคนตายหนักเหลือเกินประคองไม่ไหว อีชียืนมือประคองนางไว้ รับศพของฮูหยินจ้าวไป 

 

 

ซย่าจื่อหรุ่ยที่อยู่ข้างหนึ่งมีสีหน้าขาวซีด มองดูจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น รู้สึกเพียงว้าวุ่นใจยิ่งนัก  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสิ้นใจในอ้อมแขนของนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่มีโทษไม่ถึงตาย ข้าไม่สังหารปั๋วเหริน ปั๋วเหรินกลับสิ้นชีพเพราะข้า[1]  

 

 

กลิ่นอายเหม็นคาวเจือจางโชยมา นางอยากอาเจียนขึ้นมา อีชีพลันยื่นมือออกมาตบหลังของนาง ท่าทางของมือกลับอ่อนโยน  

 

 

จิ่งเหิงปัวซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่เวลานี้เขาไม่ทำตัวตลกขบขัน ถามเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้า…มองเห็นหรือไม่?” 

 

 

“ไม่เห็น” อีชีมีสีหน้าหดหู่เล็กน้อย แสดงท่าทางเสียหน้าอย่างยิ่งต่อการที่ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่เช่นตนเองนี้ ปล่อยให้คนลอบทำร้ายสังหารคนเบื้องหน้ายังไม่รู้เรื่อง 

 

 

จิ่งเหิงปัวพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ อีชีมองไม่เห็นเป็นเรื่องปกติ เมื่อครู่เขาอยู่ห่างจากนางพอสมควร โบกพัดไปพลางช่วยนางสยบสถานการณ์ไปพลาง ทว่าในลานบ้านมีควันหนาลอยล่อง จากมุมนั้น เขาเองคงไม่อาจมองเห็นมือสังหารได้โดยง่าย  

 

 

“แย่นัก” อีชีเอ่ยว่า “อาวุธลับปลายแหลมสองฝั่ง ทะลุผ่านหัวใจทั้งหน้าทั้งหลัง เอ่ยได้อีกอย่าง เอ่ยได้ว่าพุ่งมาจากข้างหน้า หรือเอ่ยได้ว่าแทงเข้ามาจากข้างหลัง” 

 

 

จิ่งเหิงปัวฝืนยิ้ม  

 

 

นางพลันมีความรู้สึกแปลกประหลาด รู้สึกว่าทุกอย่างในวันนี้ คล้ายจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  

 

 

คล้ายกำลังรอคอยครู่หนึ่งนี้  

 

 

ใครกันที่คำนวณทุกฝีก้าว คำนวณการตอบโต้ของทุกคนลงไปด้วย? 

 

 

รู้แต่แรกว่าเมื่อครู่นี้พออีชีลงมา จะฝากจื่อหรุ่ยให้เขาไปก่อน ตนเองหายตัวจากไป ด้วยเพราะตนเองคิดจะพยายามจัดการปัญหาโดยไม่เหลือร่องรอย ซ้ำยังกังวลว่าอีชีไว้ใจไม่ได้ ผลลัพธ์คือเรื่องราวที่ตามมากลับยิ่งแย่ลง  

 

 

“คนสิ้นชีพแล้ว เจรจาไปก็ไร้ประโยชน์ ออกไปเถิด” อีชีใช้มือหนึ่งประคองนางขึ้น อีกมือหนึ่งจูงซย่าจื่อหรุ่ยไป  

 

 

ยามนี้หมอกควันกระจัดกระจายไปบ้างแล้ว คนที่อยู่ปากประตูลานบ้าน มองเห็นสถานการณ์ภายในจนชัดเจนในที่สุด  

 

 

“เซิ่งเหยียน!” จ้าวซื่อจื๋อมองเห็นฮูหยินจ้าวที่ล้มลงในปราดเดียว ตกใจจนหน้าถอดสี เอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? เซิ่งเหยียน!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูใบหน้าหวาดผวาไม่คาดคิดของเขาแล้วรู้สึกว่าขยะแขยง…ไม่ใช่เขาเองที่ฉวยโอกาสเมื่อไอควันหนาแน่น ให้คนลอบสังหารภรรยา แย่งชิงทรัพย์สินของภรรยาแล้วสมรสภรรยาใหม่หรือ! 

 

 

“เจ้าฆ่าเซิ่งเหยียน!”จ้าวซื่อจื๋อเงยหน้าขึ้นมา ไอสังหารบนใบหน้ากะพริบผันผ่าน เอ่ยว่า “หากข้าปล่อยเจ้าไป ข้าจะยืนหยัดบนต้าฮวงนี้ได้อย่างไร!” 

 

 

“ข้ายังต้องให้นางช่วยข้าหลบหนี เหตุใดข้าจะต้องสังหารนาง?” จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะ  

 

 

“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!” จ้าวซื่อจื๋อสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยว่า “ระดมกำลังองครักษ์ทั้งจวน จากนั้นนำจดหมายนามข้าไปสำนักตี้เกอ เอ่ยว่าฮูหยินถูกลอบสังหาร ขอระดมกำลังพลของสำนักทำลายล้างมือสังหาร! แล้วตามหาผู้บัญชาการคั่งหลงในนคร ขอระดมกำลังคั่งหลงที่อยู่ในนครปิดล้อมจวนข้ารวมทั้งเส้นทางสำคัญบริเวณโดยรอบ!” 

 

 

องครักษ์รับคำสั่งแล้วรีบร้อนจากไป จิ่งเหิงปัวยักไหล่ กล่าวว่า “เล่นใหญ่ไปแล้ว” 

 

 

อีชีเท้าคางอยู่ นัยน์ตากลอกกลิ้งไปมา คล้ายรู้สึกว่าสนุกสนานยิ่งนัก  

 

 

“ไปเถิด” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ เดิมทีนางอยากแสดงเป็นมือสังหารรับมือจ้าวซื่อจื๋อสักหน่อย พาเปลวไฟไปทางคนอื่นนั้น จะได้ไม่หลงเหลือภัยพิบัติตามมา อย่างไรเสียถ้านางหายตัวต่อหน้าจ้าวซื่อจื๋อ จ้าวซื่อจื๋อสืบข่าวเล็กน้อย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะนึกถึงราชินี  

 

 

ราชินีบุกเข้าจวนเสนากองขุนนาง สังหารฮูหยินเสนากองขุนนางหรือ? 

 

 

พอข่าวนี้แพร่ออกไป ตี้เกอคงจะเดือดพล่านแล้ว 

 

 

น่าเสียดายว่ายามนี้คงห่วงไม่ไหวแล้ว  

 

 

“สังหารนาง!” จ้าวซื่อจื๋อชี้มือ เหล่าองครักษ์ตะบึงเข้าไป  

 

 

“ไป!” จิ่งเหิงปัวกำลังจะหายตัว พลันเงาคนกะพริบวูบ พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าองครักษ์ ร้องว่า “ช้าก่อน!” 

 

 

 

 

 

[1] ข้าไม่สังหารปั๋วเหริน ปั๋วเหรินกลับสิ้นชีพเพราะข้า หมายถึง แม้ตนเองโกรธแค้น แต่ไม่มีความคิดสังหาร ทว่าการกระทำของตนเองส่งผลให้ผู้อื่นสิ้นชีพ