บทที่ 6 บทที่ 96 อีกคน

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

เฉิงอี้หรานถูกย้ายมาที่ห้องผู้ป่วยชั้นสูงอย่างรวดเร็ว เมื่อตกดึก จงลั่วเฉินก็ลอบมาที่โรงพยาบาล

 

บอดี้การ์ดที่บริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์จ้างมาคุ้มกันไม่กล้าขัดขวาง

 

เฉิงอวิ๋นพูดอยู่ข้างกายจงลั่วเฉิงว่า “หมอพูดว่าหากเร็วก็จะฟื้นในคืนนี้ หากช้าก็เป็นวันสองวันนี้ เวลาไม่แน่ชัด เห้อ เจ้าหนุ่มนี่ ไปเรียนแข่งรถอะไรมา! ทำไมพวกที่เป็นดาราถึงชอบแข่งรถเร็วกัน! ยังดีที่ไม่ใช่เมาแล้วขับ ไม่งั้นคงมีปัญหายาวแน่!”

 

“ฉันให้รถเขาขับเอง” จงลั่วเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

 

เฉิงอวิ๋น…ผู้เป็นคนสนิทรีบตบปากตนเองเบาๆ อย่างกระดากใจ ก้มหน้าลงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ดูเหมือนนักข่าวจะรู้แล้ว ผมจะไปจัดการสักหน่อย”

 

“รอเดี๋ยว นั่นคืออะไร?” จงลั่วเฉินชี้ไปยังกระเป๋าที่วางบนโซฟาในห้องผู้ป่วย เป็นถุงที่เฉิงอี้หรานใช้ใส่กีตาร์ของเขา

 

เฉิงอวิ๋นไม่ได้สนใจเท่าไรนักพูดไปว่า “อ๋อ เป็นกีตาร์ที่เฉิงอี้หรานไม่ยอมให้ห่างตัวมาก่อนอันนั้น พูดแล้วกีตาร์ด้ามนี้ก็แข็งมาก หัวรถถูกชนจนพังไปขนาดนั้นแล้ว แต่มันกลับไม่เป็นอะไร ของพังๆ ชิ้นนี้ดวงแข็งยิ่งกว่ารถซูเปอร์คาร์คันนั้นอีก”

 

จงลั่วเฉินกลับเอ่ยว่า “นายไปจัดการพวกนักข่าวเถอะ หากจำเป็นก็หาคนมารับผิดแทนซะ พยายามลบข่าวด้านลบ จริงสิ อย่าพูดว่าเขายังไม่ฟื้น ให้พูดว่าเขาต้องพักผ่อนชั่วคราว อีกอย่างให้แจ้งทางคุณหนูจางด้วย เธอก็เป็นหุ้นส่วน ไม่ต้องปิดบัง”

 

“ผมเข้าใจแล้ว คุณชายรอง” เฉิงอวิ๋นพยักหน้า “ผมจะจัดการให้ดี โปรดวางใจได้!”

 

“ไปเถอะ” จงลั่วเฉินโบกมือ “อีกเดี๋ยวถ้าฉันไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะกลับเอง”

 

เฉิงอวิ๋นเปิดประตูจากไป

 

จงลั่วเฉินไพล่มือเดินรอบเตียงเฉิงอี้หรานรอบหนึ่ง พิจารณาดูเขา สุดท้ายก็ไปนั่งลงบนโซฟา นิ่งคิดอะไรบางอย่าง

 

เวลานี้เอง ประตูห้องผู้ป่วยถูกเปิดออก นางพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา พูดว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนอุณหภูมิให้เฉิงอี้หราน สรุปแล้วก็เป็นเพียงแค่การตรวจห้องผู้ป่วยตามปกติ

 

จงลั่วเฉินไม่พูดอะไร แม้เขาจะรู้ว่านางพยาบาลน้อยคนนั้นแอบมองเขาอยู่ตลอด…แต่สายตาของเขากลับเอาแต่มองไปยังกระเป๋าสีดำ

 

“อืม…” จงลั่วเฉินหยิบกระเป๋าขึ้นมา สีหน้าเคร่งขรึม ไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจ เพียงล้วงกีตาร์ออกมาแล้วพิจารณาดูอย่างละเอียด

 

ทันใดนั้นเขาก็วางมือไว้บนสาย เขาเคยเรียนเปียโนและมีความสามารถในการเล่นบนเวทีคอนเสิร์ต…ทายาทสายตรงของตระกูลจงล้วนแต่ต้องมีทักษะที่หลากหลาย

 

แต่เขาก็ไม่มีทักษะของเครื่องดนตรีอันเป็นที่นิยมชนิดนี้ ดังนั้นจึงดีดไปส่งๆ สองสามครั้ง

 

เขาเริ่มใช้กีตาร์ด้ามนี้พร้อมสังเกตปฏิกิริยาของนางพยาบาลในห้องผู้ป่วยไปด้วย นางพยาบาลคนนั้นยังคงแอบมองเขาไม่หยุด

 

แต่จงลั่วเฉินก็แยกออกว่าความสนใจนี้ไม่ได้มาจากเสียงกีตาร์

 

สิ่งนี้ทำให้จงลั่วเฉินขมวดคิ้วขึ้น ครุ่นคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา…นั่นก็คือนอกจากเฉิงอี้หรานแล้ว กีตาร์ด้ามนี้ก็คือกีตาร์ธรรมดาสำหรับคนอื่น?

 

หรือจะพูดว่าเป็นเฉพาะตัวเขาเองที่ทำไม่ได้? เขาจำได้ว่าขอเพียงกีตาร์ด้ามนี้ส่งเสียงออกมา ไม่สนว่าจะเป็นจังหวะหรือไม่เป็นจังหวะก็มีเวทมนตร์ดึงดูด

 

นิ้วมือของเขายังคงเล่นกับสายไม่กี่สายนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนางพยาบาลหาอะไรทำไม่ได้แล้วออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ จงลั่วเฉินถึงหยุดมือ

 

ทันใดนั้นจงลั่วเฉินก็คิดอยากจะให้บอดี้การ์ดสองคนหน้าประตูมาลองดู

 

แต่ในตอนที่เขากำลังคิดวางแผนอยู่นั้นกลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก จงลั่วเฉินขมวดคิ้วและเดินไปหน้าประตู

 

เขายังไม่คิดจะเปิดประตู เพียงแค่ฟังไปก่อน

 

รอฟังจนเข้าใจว่าด้านนอกพูดคุยเรื่องอะไรแล้ว จงลั่วเฉินจึงครุ่นคิดและเปิดประตูออกไปถามว่า…จงใจถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

 

“คุณจง! ขอโทษด้วยครับ รบกวนคุณแล้ว!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งรีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ

 

บอดี้การ์ดอีกคนก็พูดขึ้นในตอนนี้ว่า “คุณผู้ชายคนนี้พูดว่าอยากเข้าไปดู พวกเราไม่ยอม เขาก็…”

 

ตอนนี้จงลั่วเฉินถึงพิจารณาดูผู้ชายที่บอดี้การ์ดพูดถึง

 

เป็นคนที่มีอายุไล่เลี่ยกับเฉิงอี้หราน สวมชุดทำงานที่ติดกลิ่นน้ำมันฉุน เล็บนิ้วมือดำ…น่าจะเป็นคนที่ทำงานในสถานที่ซ่อมแซมเครื่องจักรมาเป็นเวลานาน

 

มาด้วยท่าทีที่ดูร้อนรน

 

“คุณเป็นใคร?” จงลั่วเฉินโบกมือให้ทั้งสามคนที่ฉุดดึงกันอยู่แยกกัน

 

“สวัสดีครับ! ผม ผมชื่อหงก้วน ผมไม่ได้คิดจะทำอะไร แค่อยากถามถึงอาการของอี้หรานสักหน่อย…เขา เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

 

“อี้หราน…” ทันใดนั้นจงลั่วเฉินก็พูดว่า “คุณเป็นอะไรกับเฉิงอี้หราน?”

 

“ผมเป็นเพื่อน…” หงก้วนพูดอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “เคยเป็น”

 

 

“เขา…เขาเป็นอย่างนี้ได้ยังไง? เขาจะฟื้นขึ้นมาได้อีกไหมครับ”

 

ภายในห้องผู้ป่วย หงก้วนมองเฉิงอี้หรานซึ่งยังไม่ฟื้นจึงถามจงลั่วเฉินไป เขาไม่รู้ว่าผู้ชายที่ดูสูงส่งผู้นี้มีที่มาอย่างไร แต่จำชื่อที่บอดี้การ์ดเรียกเขาได้ “คุณจง…”

 

“สมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย และยังมีบาดแผลภายนอกอีกนิดหน่อย หมอบอกว่าไม่เป็นอะไร สองวันนี้ก็จะฟื้นได้” จงลั่วเฉินหยุดลงครู่หนึ่งถึงถามว่า “คุณพูดว่า คุณเคยเป็นเพื่อนของเขา?”

 

หงก้วนไม่รู้ว่าชายคนนี้มีที่มาอย่างไรจึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “เรื่องราวค่อนข้างซับซ้อน ไม่มีอะไรหรอกครับ…ผมแค่มาดูเขาเท่านั้น ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว คุณจง ได้โปรดอย่าบอกเขาว่าผมมา”

 

แต่จงลั่วเฉินกลับเอ่ยว่า “คุณตั้งใจมาเยี่ยมเขาถึงโรงพยาบาลแต่กลับไม่ยอมให้เขารู้ ไม่เป็นการมาโดยเสียเปล่างั้นหรือครับ”

 

หงก้วนลูบหัวยิ้มและเอ่ยว่า “ความจริงแล้วภรรยาของผมก็อยู่ที่นี่พอดี อยู่ชั้นบนนี่เอง…เธอใกล้คลอดแล้ว ผมมาหาเธอทุกวัน! เมื่อกี้บังเอิญได้ยินพยาบาลยืนคุยกันว่ามีดารานอนโรงพยาบาล…ผมเองก็เพิ่งรู้”

 

ภรรยาของช่างซ่อมเครื่องจักรก็อยู่ห้องผู้ป่วยชั้นบน…งั้นเหรอ?

 

แต่จงลั่วเฉินก็ไม่ได้ขัดเรื่องพวกนี้ เพียงเอ่ยว่า “ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ต่ออีกสักหน่อยเถอะ เฉิงอี้หรานก็น่าจะอยากมีใครสักคนคอยอยู่เป็นเพื่อน”

 

“ผม…ผมน่าจะทำไม่ได้” หงก้วนถอนหายใจ มองจงลั่วเฉินและเอ่ยว่า “คุณ คุณจง คุณคือ…”

 

“ผม?” จงลั่วเฉิงยิ้มและเอ่ยว่า “ผมเป็นเพื่อนร่วมงานของเขา”

 

“เป็นอย่างนี้นี่เอง…” หงก้วนพยักหน้าและไม่ได้ถามมาก…น่าจะไม่ใช่เพื่อนร่วมงานธรรมดาๆ แน่?

 

แต่การที่เขาอยู่ต่อก็ค่อนข้างกระดากใจ สายตาจึงดูว่อกแว่กร้อนรน…สายตาของเขามองไปเห็นกีตาร์ที่วางอยู่บนโซฟาอย่างรวดเร็ว แววตาดูใจลอยอย่างฉับพลัน

 

จงลั่วเฉินคอยมองอยู่ตลอด ไหนเลยจะสังเกตไม่เห็นว่าตอนนี้หงก้วนมีท่าทีเป็นอย่างไร? เขาหยิบกีตาร์ขึ้นมาเงียบๆ มองแวบหนึ่งและเอ่ยว่า “นี่เป็นของอี้หราน เขาไม่ยอมให้ห่างตัวเลย ดูแล้วน่าจะสำคัญกว่าทุกอย่าง”

 

หงก้วนพยักหน้าเอ่ยว่า “ผมรู้”

 

“ดูท่าคุณคงรู้ที่มาเบื้องหลังของกีตาร์ด้ามนี้” จงลั่วเฉินส่งกีตาร์ไปให้หงก้วน

 

บางทีมันอาจจะบรรจุความทรงจำมากมายของหงก้วนกับเฉิงอี้หรานไว้ ดังนั้นหงก้วนจึงรับมันมาโดยไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากกีตาร์อยู่ในมือของเขาแล้ว สายตาของเขาก็ดูอ่อนโยนขึ้นมา นิ้วมือลูบไปที่รอยสลักบนกีตาร์

 

“คุณนั่งอยู่ที่นี่สักครู่ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน” ทันใดนั้นจงลั่วเฉินก็เอ่ยขึ้น แล้วเดินออกไปนอกประตู

 

ภายในห้องผู้ป่วยก็มีห้องน้ำส่วนตัวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? หงก้วนไม่เข้าใจความคิดของคนคนนั้นเลย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมาก…บางทีอาจจะเป็นเพราะไม่คิดจะรู้จักกับเขา?

 

หงก้วนมองชุดทำงานเปื้อนน้ำมันของตนเองอย่างเยาะเย้ย

 

เขามองเฉิงอี้หราน ลางเก้าอี้มานั่งข้างเตียง…เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะพบกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้

 

เมื่อหงก้วนมองดูคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้วก็ถอนหายใจยาว “เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่? นายรีบฟื้นเร็วๆ อาชีพของนายกำลังไปได้สวย อย่ามาล้มอยู่ที่นี่ เข้าใจไหม?”

 

แต่เฉิงอี้หราน…อาจจะไม่ได้ยิน?

 

ท่าทีของหงก้วนดูซับซ้อน นิ้วมือดีดลงไปบนสายกีตาร์ไม่กี่ครั้ง ช่วงนี้เขายุ่งวุ่นวายมากจึงไม่ได้แตะต้องเครื่องดนตรีมาสักพักแล้ว

 

 

หลังจงลั่วเฉิงเปิดประตูแล้วก็ไม่ได้จากไปไหน เพียงแค่ยืนอยู่นอกประตู เขาไม่ได้ปิดประตู เพียงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดทั้งสองหน้าประตูเงียบเสียงลง

 

ทั้งสองคนไม่เข้าใจว่า ‘คุณชาย’ คนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ แต่ก็ทำตามคำสั่ง ยืนตรงอยู่ข้างประตูซ้ายขวา

 

จงลั่วเฉิงเอามือไพล่หลังมองประตูห้องที่เปิดแง้มเล็กน้อยแล้วหลับตาลง เหมือนกำลังรออะไร…รอเสียงอะไรสักอย่าง

 

“เสียงอะไร?” ทันใดนั้นบอดี้การ์ดคนหนึ่งก็ชะงัก ดูตกใจจากนั้นก็เกิดอาการลุ่มหลง

 

“หรือคุณเฉิงจะฟื้นแล้ว?” บอดี้การ์ดอีกคนก็พึมพำขึ้น แต่ท่าทางกลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลิน “นี่คือบทเพลง ‘Again’ ของเขางั้นเหรอ ที่แท้ก็น่าฟังอย่างนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้ทำไมฉันถึงไม่พบว่า…”

 

จงลั่วเฉินหรี่ตาลง พิจารณาดูท่าทางในตอนนี้ของทั้งสองคน

 

แต่เขารู้ดีว่าคนที่ดีดกีตาร์อยู่ในห้องนั้นเป็นใคร