เกือบถึงเวลาเที่ยงคืน แม้จะเป็นผู้ติดตามคนสนิทมาหลายปีแต่พลังงานก็เกือบถูกใช้ไปหมดกับงานในวันนี้
เฉิงอี้หรานเข้าโรงพยาบาล ต้องจัดการกับนักข่าว ตำรวจ คุณหนูตระกูลจาง…ยังมีคำสั่งด่วนจากเจ้านายของตนเอง…และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่เฉิงอวิ๋นก็จะไม่ทำให้ตนเองมีท่าทางเหนื่อยล้า
ในลิฟต์ของโรงพยาบาล เฉิงอวิ๋นเปิดซุปไก่สกัดขวดหนึ่งแล้วดื่มจนหมดในคำเดียว จากนั้นก็ตบๆ หน้าตนเอง เขายืนจัดเสื้อผ้าอยู่หน้าประตูห้องผู้ป่วยของเฉิงอี้หราน ก่อนผลักประตูห้องเข้าไปในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม
จงลั่วเฉินยังอยู่ที่นี่
ตอนนี้เขากำลังหลับตาพักผ่อน หลังเห็นเฉิงอวิ๋นเดินเข้ามาแล้วถึงได้ลืมตาขึ้น
เฉิงอวิ๋นมองดูเฉิงอี้หรานที่ยังไม่ฟื้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปข้างกายจงลั่วเฉิน ก้มหน้าลงพูดว่า “คุณชายรอง สืบหาที่มาของคนชื่อหงก้วนได้แล้วครับ”
“ไปพูดห้องด้านข้าง” จงลั่วเฉินเอ่ยขึ้นอย่างฉับพลัน
ทั้งสองคนจึงเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยอีกห้องที่อยู่ด้านข้าง
จงลั่วเฉินเปิดม่านหน้าต่างมองเมืองแห่งนี้ เฉิงอวิ๋นถึงเอ่ยปากพูดว่า “หงก้วนกับเฉิงอี้หรานเคยอยู่วงเดียวกัน เป็นเพื่อนรักกัน…”
เฉิงอวิ๋นพูดเรื่องราวทุกอย่างที่เขารู้ออกมาอย่างรวดเร็ว เวลาค่อยๆ ผ่านไป
“…ส่วนห้องผู้ป่วยของภรรยาหงก้วนนั้นเปิดโดยใช้ชื่อของหลี่จื่อเฟิง”
สุดท้ายเฉิงอวิ๋นก็รายงานจบ จากนั้นถึงเอ่ยว่า “พูดถึงหลี่จื่อเฟิงแล้ว เขาก็ถือว่าเจ้าเล่ห์จริงๆ ก่อนเกิดเรื่องก็ไม่บอกบริษัทว่าเฉิงอี้หรานเคยเข้าคุก”
“ไม่ต้องถามชาติกำเนิดวีรบุรุษ” จงลั่วเฉิงพูดอย่างเรียบเฉย “แต่…นายบอกว่าหงก้วนมาแบล็คเมลงั้นเหรอ”
“หลี่จื่อเฟิงพูดอย่างนั้นครับ”
เฉิงอวิ๋นขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แต่เมื่อกี้ตอนผมถามเขา ท่าทางของเขาดูผิดปกติ เกรงว่าคงมีอะไรปิดบังเอาไว้…แต่เขาเป็นคนเก่าแก่ของบริษัทเทียนอิ่ง เอนเตอร์เทนเมนท์ ฉันเลยไม่กล้าบังคับถามตั้งแต่แรก”
จงลั่วเฉินส่ายหน้าในทันใด “หงก้วนคนนี้ผมเพิ่งเจอมา ดูไม่เหมือนคนที่จะแบล็คเมล…แน่นอนว่าแค่ดูไม่เหมือนเท่านั้น”
“คุณชายรอง งั้นให้ผมไปสืบอีกดีไหมครับ” เฉิงอวิ๋นหรี่ตาลง…เขายังมีวิธีอื่นๆ อีก
เขารู้ว่าเจ้านายคนนี้ของเขานั้นต้องการรู้ทุกอย่าง…มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามต้องการ
เห็นเพียงจงลั่วเฉินนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
เฉิงอวิ๋นพูดต่อว่า “คุณชายรอง หากสองสามวันนี้เฉิงอี้หรานยังไม่ฟื้น แล้วรายการตอนวันอาทิตย์…”
“ดำเนินการตามกำหนด” จงลั่วเฉิงพูด “เวทีก็จะจัดตั้งขึ้นมาแล้ว สถานที่ก็เช่าจากทางราชการไปจนรายการเสร็จสิ้น ถ้าเขายังไม่ฟื้นก็ให้ทางผู้จัดรายการจัดโดยไม่มีเขาไปหนึ่งสัปดาห์ ขอเพียงไม่ตัดสิทธิ์ ส่วนเรื่องจะทำยังไงนั้นให้พวกเขาเป็นคนคิด ทำให้ดูดีหน่อยก็พอ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ฉันเหนื่อยแล้ว จะกลับก่อน” ทันใดนั้นจงลั่วเฉิงก็สั่งออกมา “ถ้าเฉิงอี้หรานฟื้นแล้วให้นายรีบบอกฉันทันที”
“ครับ!”
จงลั่วเฉินออกจากโรงพยาบาลคนเดียว ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เขาพบเจอก่อนหน้านี้ หลังจากหงก้วนไปแล้ว เขาก็ให้บอดี้การ์ดหน้าประตูมาลองดีดกีตาร์ทีละคน
“พวกเราทำไม่ได้ มีเพียงหงก้วนที่ทำได้…” จงลั่วเฉินหันกลับไปมองไฟบนตึกผู้ป่วยแล้วพูดกับตัวเองว่า “ทำไมกัน? มีความหมายอะไร…”
แต่เขาใช้เวลาคิดไม่นานก็เข้าไปนั่งบนรถของตนเอง ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมา…โทรไปหาโทรศัพท์ในบ้านที่เมืองหลวง
โทรหาปู่หลัวคนสนิทที่ติดตามเจ้าสัวจงมาหลายสิบปี
“ปู่หลัว ดึกมากแล้ว รบกวนคุณหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไร ผมเพิ่งดูแลเจ้าสัวจนหลับไป คุณชายรองโทรมาดึกขนาดนี้มีเรื่องอะไรหรือครับ”
จงลั่วเฉินนิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงพูดขึ้นอย่างฉับพลันว่า “ปู่หลัว เฉิงอวิ๋นใช้การไม่ได้แล้ว ส่งคนมาให้ผมสักหน่อย…เอาพวกที่เป็นของผมแต่อย่าได้แพร่งพรายออกไป”
“ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะจัดการให้คุณ”
“ขอบคุณครับ ปู่หลัว”
…
…
เป็นโรงพยาบาลเหมือนกัน…แต่โรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด
กุ่ยอิงยังเฝ้าอยู่ด้านหลังประตู ใต้เท้าทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ด้านใน เขาก็เป็นองครักษ์ที่ดีที่สุด
ภายในโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงตอนนี้ แสงไฟสว่างไสว ปีศาจหลายสิบตนนั่งบนเก้าอี้ในห้องรอตรวจ
กุ่ยอิงเป็นคนส่งปีศาจเหล่านี้กลับมา ตอนส่งกลับมานั้นยังไม่ตื่น ตอนนี้ตื่นแล้ว แต่ยังคงก้มหน้า ดวงตาว่างเปล่า ไม่พูดไม่จา
กุยเชียนอีถือไม้เท้าเดินผ่านข้างปีศาจเหล่านี้ ไปหยุดอยู่ข้างกายหลงซีรั่ว
เต่าเฒ่าไอสองครั้งแล้วถึงเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลง ข้าไร้ความสามารถ มองไม่ออกว่าเป็นอาคมอะไร…ตอนนี้จึงไม่สามารถแก้ไขได้”
หลงซีรั่วขมวดคิ้ว “จุยเฟิงควบคุมพวกนี้ได้…เกรงว่าคงควบคุมได้อีกมาก”
กุยเชียนอีเอ่ยว่า “ตามที่กุ่ยอิงอธิบาย ตอนนั้นเขาได้ยินเสียงกระดิ่งแปลกประหลาด พริบตาเดียวก็สติหลุด แต่เวลานั้นไม่เกิดผลอะไร…บางทีนั่นอาจเป็นวิธีที่จุยเฟิงใช้ควบคุมปีศาจ? แต่ทำไมกุ่ยอิงถึงไม่โดนไปด้วย…”
“น่าจะเป็นปัญหาที่เรื่องชั้นพลัง”
หลงซีรั่วกัดเล็บนิ้วโป้งเอ่ยว่า “ได้ยินเสียงกระดิ่ง…แสดงว่ามีอาวุธหรืออุปกรณ์อะไรอยู่…แต่ของนั้นก็มีข้อจำกัด ไม่งั้นจุยเฟิงคงไม่หนี แต่จะอยู่ต่อเพื่อควบคุมกุ่ยอิง”
“แบบนั้นก็แย่แล้ว!” กุยเชียนอีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “สถานการณ์ของใต้เท้าในตอนนี้ ข้ากลัวว่า…”
หลงซีรั่วโบกมือ พูดอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้ข้ากังวลว่าเขาจะทำอะไรต่อไปมากกว่า…เขาอยากจะทำอะไรกันแน่”
เธอมองใบปลิวประชาสัมพันธ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ…นี่เป็นของที่กุ่ยอิงพบและนำกลับมาจากที่อยู่ของจุยเฟิง
สิ่งนี้เกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่จะจัดขึ้นที่สนามกีฬาดอกบัวบานในวันอาทิตย์นี้
กุยเชียนอีถอนหายใจเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ข้าได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ไม่สามารถใช้วิชาลับได้ มิเช่นนั้นคงไม่เป็นเช่นนี้”
หลงซีรั่วส่ายหน้าเอ่ยว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าหนักเกินไป รักษาตนเองก่อน พักเรื่องของวิชาลับเอาไว้ชั่วคราว หากไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะ…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงของตกดังมาจากห้องผู้ป่วย หลงซีรั่วกับกุยเชียนอีเงยหน้ามองพร้อมกัน หลงซีรั่วกระโดดลงมาจากเก้าอี้ รีบเอ่ยว่า “เป็นเสี่ยวเจียง!”
แต่ในตอนที่เธอกำลังจะเปิดประตูห้องผู้ป่วยนั้นก็หยุดลงอย่างกะทันหัน กุยเชียนอีเข้าใจ รีบเดินเข้ามาเปิดประตูเดินเข้าไป
ส่วนหลงซีรั่วก็ถอนหายใจ ทำได้เพียงหลบอยู่นอกประตู
ภายในห้องผู้ป่วย เสี่ยวเจียงตกลงบนพื้นด้านล่างเตียง ท่อที่ใช้ฉีดของเหลวให้เขาพันอยู่บนตัว
แต่เขาก็ฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าและเงยหน้าขึ้นมาเห็นกุยเชียนอีเปิดประตูเข้ามาก็ตกตะลึง
เขาอยู่ในตระกูลปีศาจที่มีอายุยืนยาว รู้จักผู้คนกว้างขวาง ตอนเสี่ยวเจียงยังเด็ก พ่อของเขาก็พาเขาไปพบผู้อาวุโสท่านนี้อยู่หลายครั้ง ดังนั้นจึงจดจำได้ในพริบตา
“กุย ใต้เท้ากุย ท่าน ทำไมท่าน…” เสี่ยวเจียงอยากจะลุกขึ้นมาทำความเคารพ
“เจ้าบาดเจ็บหนัก ไม่ต้องทำความเคารพ” กุยเชียนอีส่ายหน้า
ครั้งนี้เสี่ยวเจียงถึงเอ่ยว่า “ที่นี่คือ…ที่ของใต้เท้าหลงใช่ไหมครับ ใต้เท้าหลงล่ะ…ท่านช่วยผมเอาไว้ใช่หรือเปล่า”
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องพวกนี้” กุยเชียนอีพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เสี่ยวเจียง ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่า เจ้าจำเรื่องตอนที่ได้รับบาดเจ็บได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น? เป็นใครกันแน่ที่ทำร้ายเจ้า?”
“เป็น…” สีหน้าของเสี่ยวเจียงเปลี่ยนไปในทันที ดูเหมือนยังตกอยู่ในความหวาดกลัว “เป็นนกหวีด…นกหวีดทำ…”
“นกหวีด? นกหวีดเป็นใคร?” กุยเชียนอีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่จุยเฟิงงั้นหรือ”
“จุยเฟิงเขา…ตอนนั้นเขาช่วยผมไว้” เสี่ยวเจียงขยับริมฝีปาก ท่าทางเสียใจ “นกหวีดเป็น…เป็นสัตว์เลี้ยงของชีส เป็น…เป็นตัวประหลาดที่ผมก็ไม่รู้ว่ามีที่มายังไง”
“เจ้าช่วยอธิบายลักษณะหน่อยได้หรือไม่” กุยเชียนอีจ้องมองประตูห้องผู้ป่วย แล้วเอ่ยถาม
เสี่ยวเจียงพยักหน้า “ผมวาดให้ดูดีกว่า แบบนั้นถึงจะชัดเจนหน่อย”
…
…
ยามค่ำคืนภายในพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งซึ่งถูกปล่อยทิ้งใกล้กับสนามกีฬาดอกบัวบาน เจ้าของสมาคมกำลังนั่งอยู่บนท่อซีเมนต์ ยื่นมือออกมาลูบผ่านด้านหน้า
ตรงหน้าของเขามีฉากแสงแตกต่างกันหลายฉากปรากฏขึ้น…ล้วนแต่เป็นภาพแตกต่างกันไป
เป็นเหมือนกับกล้องวงจรปิดในห้องสอบสวน…กล้องจับภาพไปที่เฉิงอี้หรานที่กำลังสลบไสล จงลั่วเฉินที่กำลังขับรถคนเดียว เฉิงอวิ๋นที่กำลังยุ่งวุ่นวาย บรรดาปีศาจในโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยง…แน่นอนว่ามีภาพของเริ่นจื่อหลิงผู้กำลังหลับลึกอยู่ในบ้านด้วย
ฉากแสงเหล่านี้กระจายหายไปทีละอันตามสายลมเมื่อเจ้าของสมาคมลูบผ่าน
ลั่วชิวยิ้ม ก้มหน้าลง เริ่มส่งเสียงไปเบาๆ ให้นกหวีดที่ซ่อนตัวอยู่ในท่อได้ยิน
…
นกหวีดไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าของเสียงที่สื่อสารกับมันได้นั้นกำลังนั่งอยู่ด้านบนของมัน…ชีสลงไปนอนในบ้านใต้ดินแล้ว ส่วนตอนนี้ก็เป็นเวลากินอาหารของมัน
มันกำลังก้มหน้าลงไปกินสุนัขเร่ร่อนตัวหนึ่งที่เพิ่งจับมาไม่นาน
เล็กเกินไป กินไม่อิ่ม นกหวีดกะพริบเปลือกตาของตัวเอง
วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร นกหวีดรู้สึกว่าความหิวของตัวเองไม่หายไปซักที คิดอยากจะกินให้มากขึ้น…มากขึ้น…มากขึ้น…มากขึ้น…มากขึ้น…ชีส…
“วันนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”
ในขณะที่นกหวีดกำลังดำดิ่งเข้าไปในความคลั่งไคล้บางอย่าง เสียงนั้นก็ดังขึ้นในหัวของมันอีกครั้ง ช่วงหลายวันมานี้ เสียงนี้จะดังเข้ามาเรื่อยๆ ไม่เลือกเวลาหรือโอกาส…เหมือนคิดจะมาก็มา
เสียงนี้ทำให้มันเข้าใจเรื่องบางเรื่อง แต่กลับสร้างความสงสัยเพิ่มมากขึ้น
มันรู้สึกว่ายิ่งตัวเองรู้เรื่องมากขึ้น ความสงสัยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่เสียงนี้กลับไม่เคยบอกมันว่าควรทำอย่างไร เสียงนี้…ดูเหมือนคิดแค่จะพูดคุยกับตัวเองเท่านั้น
เหมือนกับมันที่ใช้การนอนเพื่อฆ่าเวลา…ส่วนเสียงนี้ก็ใช้ตัวมันฆ่าเวลา
ใช่แล้ว วันนี้มันรู้แล้วว่า ‘ฆ่าเวลา’ หมายถึงอะไร