ภาคที่ 4 บทที่ 205 มอบของขวัญ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 205 มอบของขวัญ (2)

ปีศาจยักษ์ตาเดียวเป็นสิ่งมีชีวิตหายากในแดนคนเถื่อน มันไม่นับเป็นสัตว์อสูร แต่ก็ไม่ใช่คนเถื่อนเช่นกัน หากต้องแยกประเภท ก็อาจแยกมันเป็นวิญญาณยักษ์ได้

วิญญาณยักษ์ อยู่ในเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด ไม่ใช่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะ

พวกเขามีร่างกายใหญ่โตกว่า ดังนั้นจึงมีแรงมากตามไปด้วย

เทียบกันแล้ว โคลนยักษ์เกิดขึ้นจากธาตุ ทำให้โดยพื้นฐานจะต่างจากวิญญาณยักษ์ และนอกจากมีร่างกายใหญ่โตเหมือนกัน แก่นของโคลนยักษ์ก็ยังเป็นแก่นธาตุ ทำให้พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าธาตุ

เห็นได้ชัดว่าทวีปต้นกำเนิดเคยมีวิญญาณยักษ์ และเผ่าธาตุในช่วงยุคแรก แต่สุดท้ายสัตว์อสูรก็เอาชนะมาได้

วิญญาณยักษ์ และเผ่าธาตุจึงอ่อนแอลง เสียแดนสมบูรณ์ อีกทั้งยังปรับตัวได้ยากกว่าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดผู้พ่ายแพ้จึงได้แต่สูญพันธุ์ไป

วันนี้ วิญญาณยักษ์ยังครองพื้นที่บางส่วนในแดนคนเถื่อน ใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบาก

เพราะมันไม่ใช่ทาสของคนเถื่อน คนเถื่อนจึงพยายามทั้งฆ่าทั้งจับมัน แต่ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของพื้นที่อาศัยจึงทำให้รอดชีวิตมาได้ แม้จะลำบากมากก็ตาม

วิญญาณยักษ์ เป็นเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดหนึ่ง มีกำลังแข็งแกร่งมาก ที่พ่ายไปก็เพราะมันสมองและจำนวนไม่เพียงพอ ไม่เกี่ยวกับกำลังแต่อย่างไร

ปีศาจยักษ์ตาเดียวโตเต็มวัยมีกำลังอย่างน้อยที่ระดับอสูรกาย มากพอจะทำลายคนหมู่มากได้ กระทั่งคนเถื่อนยังหวั่นหากต้องสู้ตัวต่อตัว

ตอนนี้ซูเฉินกลับส่งทหารไปสู้กับมัน

เช่นนั้นก็ควรจะให้สู้กับหมาป่าเขี้ยวตั้งแต่ 2 เดือนก่อนหน้าแล้ว อย่างน้อยยังพอมีโอกาสโต้กลับบ้าง

อานู๋ปี่ปวดใจเล็กน้อยเป็นคราแรก อย่างไรพวกทหารก็เคยสวามิภักดิ์กับเขามาก่อน

แม้แต่เขาที่ยกย่องการฆ่าฟันก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นเสียของมากเกินไป อย่างน้อยก็ควรฆ่าทีละคนสิ เพื่อเขาจะได้สัมผัสกับความสนุกที่มาพร้อมกับการทำลายสิ่งสวยงามเหล่านี้ได้ เป็นเช่นนั้นยังดีกว่าถูกปีศาจยักษ์ตาเดียวสังหารในคราวเดียว

นั่นเป็นความรู้สึกก่อนได้ยินคำซูเฉิน “ไม่แน่ว่าอาจกลับกันเลยฝ่าบาท”

“อะไรนะ ?” อานู๋ปี่ชะงัก

ซูเฉินโบกมือ “ดูเองจะง่ายกว่าขอรับ”

เมื่อปีศาจยักษ์ตาเดียวเข้าสนามมา การต่อสู้ก็เริ่มขึ้น

มันเป็นเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด จึงสามารถคุมพลังต้นกำเนิดได้ แต่ก็เลือกใช้ร่างกายเป็นอาวุธแทนเพราะมีร่างใหญ่โต

เจ้ายักษ์เหวี่ยงค้อนเหล็กขนาดมหึมาใส่ทหารมนุษย์พร้อมคำรามลั่น

ถ้าเป็น 2 เดือนก่อน ทหารพวกนั้นคงโดนซัดจนแบนราบ

แต่ทั้งหมดได้พัฒนาฝีมือใน 2 เดือนที่ผ่านมาแล้ว

ตอนนี้มีด่านสู่พิสดาร 3 คนอยู่ในหมู่ทหารทั้ง 73 หากเป็นเรื่องกำลัง เล่อเฟิงคนเดียวก็โค่นปีศาจยักษ์ตาเดียวได้

แต่ซูเฉินสั่งว่าอย่าเผลอออกกำลังจนมากเกินไป ดังนั้นเล่อเฟิงจึงแสดงเพียงกำลังที่ด่านทะลวงลมปราณสมควรมี จุดประสงค์หลักคือเพื่อปกป้องคนอื่น ๆ ลดจำนวนคนบาดเจ็บล้มตายให้ได้มากที่สุด ไม่สามารถเผยกำลังที่แท้จริงได้เว้นว่าจำเป็นจริง ๆ

ด้วยเหตุนี้ปีศาจยักษ์ตาเดียวจึงต่อสู้กับทหารมนุษย์ได้อย่างยุติธรรม

เมื่อปีศาจยักษ์ตาเดียวเริ่มโจมตี ทหารทั้ง 30 ก็ชักดาบออกมา

นอกจากเล่อเฟิงที่อยู่ด่านสู่พิสดาร มีด่านทะลวงลมปราณอีกสี่และด่านกลั่นโลหิตอีกยี่สิบห้า หากไม่นับเล่อเฟิง พวกทหารก็มีกำลังเทียบเท่ากับปีศาจยักษ์ ซึ่งเป็นการจัดการพิเศษของซูเฉิน

…มีแต่ทำให้กำลังเท่ากันจึงจะทำให้การแสดงออกมาโดดเด่นได้ และบีบความสามารถออกมาจนถึงขีดสุด นับเป็นการฝึกฝนที่ดียิ่งกว่าเดิม

พวกเขาออกท่าดาบเรื่อย ๆ จนเกิดเส้นปราณดาบกระจายไปทั่ว

พวกเขาใช้อาวุธวิญญาณ ดังนั้นปราณดาบจึงรุนแรงเป็นพิเศษ การโจมตีจากคนด่านกลั่นโลหิตสามารถทิ้งรอยแผลลึกได้

แม้แผลเหล่านั้นจะไม่ลึกมากมาย แต่ก็มีจำนวนมาก เมื่อรวมกันแล้วก็ทำให้เป็นอันตรายต่อปีศาจยักษ์ได้

ปราณดาบกระจายทั่วฟ้า ปีศาจยักษ์ตาเดียวถูกคมดาบฟาดฟันไม่หยุด

มันส่งเสียงร้องด้วยความไม่พอใจ ค้อนยักษ์ในมือทุ่มลงมา แต่พวกทหารคล่องแคล่วมาก หลบการโจมตีไปได้

ทหารทั้งสามสิบแบ่งตัวออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 6 คน เล่อเฟิงกับคนด่านทะลวงลมปราณอีก 4 เป็นผู้นำ รุกและถอยราวกับมีความคิดเดียวกัน เผยความสามัคคีลึกล้ำ เคลื่อนไปด้านหน้าและหลัง บ้างโจมตีบ้างป้องกัน เป็นการแสดงล้ำเลิศ

แม้ปีศาจยักษ์จะทรงพลัง แต่ก็โจมตีพวกมนุษย์ที่คล่องแคล่วไม่ได้เลย มันคำรามเสียงโกรธ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคมดาบ

ราวกับว่านกที่บินว่องไว 30 ตัวกำลังโจมตีหมีที่เชื่องช้าและเป็นใบ้อยู่เพียงตัวเดียว

“สามัคคีกันจริง ๆ แสดงได้ดีไม่ใช่น้อย นี่คือการต่อสู้ที่ประณีตและแม่นยำที่สุดที่เคยเห็นเลย” คนเถื่อนหนึ่งหัวเราะ

“ใช่แล้ว” อีกคนพูดเสริม “แม้ข้าจะชอบดูการต่อสู้ที่เรียบง่ายป่าเถื่อนมากกว่า แต่การต่อสู้ที่ ‘ละเอียด’ อย่างนี้ ได้ดูเป็นบางครั้งก็สนุกดีเหมือนกัน”

“ราวกับงานปักเชียว พูดอย่างนี้ก็น่าสนใจ ที่น่าประหลาดใจคือคนที่สอนพวกมันคือคนเถื่อน”

“เป็นเขาที่สอนให้พวกมันทำอย่างนี้”

“สวรรค์ นี่มันอะไรกัน ? ดูเหมือนจะกลับตาลปัตรกันไปเลยกระมังเนี่ย”

“ฮ่า ๆๆ!”

คนเถื่อนทั้งหลายหัวเราะลั่น

คนเถื่อนไม่ได้ตระหนักถึงความดุร้ายและความบ้าคลั่งของตัวเองเลย เพราะพวกเขาคิดว่ามันปกติ และคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในระดับหนึ่งด้วย

มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะละเอียดอ่อนกับทุกสิ่ง

เช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากปัญญาอันต่ำต้อยของคนเถื่อน

“ไม่ว่าจะต่อสู้อย่างไร พวกเขาก็จะเป็นฝ่ายชนะ” ซูเฉินว่า

“ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น” เขิ่นอั้วหัวเราะ “ปีศาจยักษ์ตาเดียวก็เป็นเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด มีกำลังไม่ธรรมดา”

ปีศาจยักษ์ตาเดียวมีร่างกายทรงพลังมาก แต่มันก็ไม่ได้ใช้เพียงร่างกายต่อสู้เท่านั้น

อย่างเขิ่นอั้วว่า ปีศาจยักษ์ตาเดียวเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์การต่อสู้เมื่อรู้ว่าใช้กำลังอย่างเดียวไม่ได้ผล

มันคำรามแล้วปล่อยหมัดรุนแรงออกมา ก่อนที่ด้านหลังจะมีแสงสีแดงเหมือนเลือดส่องออกมา

เมื่อแสงสีเลือดเข้มข้นขึ้น การเคลื่อนไหวเชื่องช้าของปีศาจยักษ์ตาเดียวก็เริ่มเร็วขึ้น

ทันใดนั้น มันพุ่งไปข้างหน้า เข้าไปใกล้คู่ต่อสู้ด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนในขณะที่มันกระแทกค้อนลงไปอีกครั้ง

“ผู้กระหายเลือด ! ยังมีปีศาจยักษ์ตาเดียวที่เลือกใช้เส้นทางทางกายภาพล้วน ๆ?” คนเถื่อนร้องตะลึง

ในฐานะเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด ปีศาจยักษ์มีวิชาต้นกำเนิดติดตัว ต่างจากวิญญาณยักษ์ พวกมันสามารถเลือกเส้นทางที่แตกต่างกันได้

และปีศาจยักษ์ตาเดียวตัวนี้ ก็ได้เลือกใช้พลังต้นกำเนิดทำให้ตนเองแกร่งขึ้น ในมุมนี้จึงเหมือนกับคนเถื่อนบ้าง

ปีศาจยักษ์ที่ความรวดเร็วเพิ่มขึ้น ครั้งนี้หลบไม่ง่ายแล้ว

พวกทหารไม่มีทางหลบค้อนยักษ์ได้

แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้ความคล่องแคล่วหลบหลีก แต่กลับเหินร่างขึ้นฟ้าเข้าปะทะกับค้อนยักษ์โดยตรง ริ้วดาบซัดออกจากปลายดาบ เข้าปะทะกับค้อนยักษ์จนเกิดแสงหลากสีกระจายไปทั่ว

ปรากฏว่าค้อนยักษ์ไม่อาจทำลายค่ายกลดาบนี้ไปได้

“โอ้ !” ผู้ชมร้องด้วยความตกตะลึง

“ป้องกันเอาไว้ได้ !”

“ป้องกันเอาไว้ได้จริงด้วย !”

“ข้าตาฝาดไปแน่ ! พวกมันปัดป้องกันได้อย่างไร ?”

คนเถื่อนเริ่มตะโกนเสียงดัง ไม่เชื่อกับสิ่งภาพเห็น

ปีศาจยักษ์ตาเดียวทรงพลังเป็นยิ่งนัก กระทั่งในหมู่อสูรกายเองยังเป็นที่หวาดผวา ไม่ใช่สิ่งที่คนด่านทะลวงลมปราณและคนด่านกลั่นโลหิตกลุ่มหนึ่งจะสามารถรับมือได้

มีเพียงซูเฉินที่รู้

ระหว่างปะทะ เล่อเฟิงได้เผยกำลังออกมา

เขาควบคุมพลังได้ดีพอจนไม่มีใครมอง ทำให้เหมือนกับว่าค่ายกลเมื่อครู่สามารถปัดป้องการโจมตีเอาไว้ได้

เท่านั้นก็พอแล้ว

หลังการโจมตีของปีศาจยักษ์ตาเดียวไร้ผล ค่ายกลดาบก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ริ้วแสงรวมกันกลายเป็นดาบขนาดใหญ่ซัดลงมาที่หน้าผากปีศาจยักษ์

พลังซัดนี้รุนแรงมากจนกระทั่งปีศาจยักษ์ร้องโหยหวนด้วยความกลัว ค้อนยักษ์ในมือไม่อาจต้านการโจมตีเอาไว้ได้ ผู้ชมคนเถื่อนต่างตกตะลึงเป็นยิ่งนัก

ทำการต่อสู้กับพวกมนุษย์มาหลายปี คนเถื่อนพวกนี้รู้ดีว่าพวกมนุษย์กลุ่มตรงหน้าแข็งแกร่งเพียงไหน

พวกมนุษย์มีความสามัคคีมากกว่าพวกเขา แต่จะให้ได้ผลก็ต้องฝึกฝนร่วมกันเป็นเวลาหลายปี

หากนี่เป็นกองพันของเหล่ามนุษย์ก็คงไม่นับว่าน่าตื่นตาตื่นใจ แต่พวกเขาเหล่านี้เป็นเชลยที่จับมาจากต่างทัพต่างเหล่าของกองทัพกำลังสวรรค์ บางคนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนด้วยซ้ำ ยิ่งไม่เคยฝึกฝนร่วมกันมาก่อน

พวกเขาสามารถสร้างความสามัคคีภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ได้นับว่าน่าตกใจนัก

แต่ความจริงกลับเรียบง่ายมาก

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการฝึกฝนที่เข้มงวดของซูเฉิน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือทุกคนมีวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ที่ฝึกฝนร่วมกัน ทำให้เพิ่มความเข้ากันได้สูงขึ้นมาก อีกทั้งการเชื่อฟังคำสั่งของซูเฉินกับการเชื่อฟังคำสั่งของคนเถื่อนเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าเรื่องนี้ซูเฉินไม่จำเป็นต้องอธิบาย

หากปีศาจยักษ์ตาเดียวไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ในตอนนี้ ก็มีแต่ความพ่ายแพ้ที่กำลังรอมันอยู่

แม้หลังจากนั้นมันจะพยายามใช้วิชาต้นกำเนิด เผยกำลังแกร่งกล้าออกมา แต่ด้วยการป้องกันลับ ๆ ของเล่อเฟิง ก็ทำให้การโจมตีของมันทั้งหมดไร้ผล

สุดท้ายแล้ว ทหารมนุษย์ทั้งสามสิบก็เอาชนะปีศาจยักษ์ไปได้อย่างง่ายดายโดยมีเพียง 3 คนที่ได้รับบาดเจ็บไม่สาหัส

ผู้ชมคนเถื่อนต่างคนร้องเสียงดังลั่นเมื่อปีศาจยักษ์ล้มคว่ำลงกับพื้น

อานู๋ปี่ลุกขึ้นปรบมือ

เอ่ยกับซูเฉิน “งดงามมาก หัวหน้าฝ่ายจัดการภายในของข้า …เป็นการประลองที่เยี่ยมที่สุดจริง ๆ”

ซูเฉิน “ขอบคุณฝ่าบาทที่กล่าวชม นับเป็นเกียรตินัก”

“เจ้าทำได้ยังไง ?” คนเถื่อนหนึ่งถาม

“อย่างที่เห็น ข้าฝึกพวกเขา ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ยอมจำนน แต่ทำให้เพิ่มกำลังขึ้นด้วย” ซูเฉินตอบ

“เพิ่มกำลัง ? หมายถึงการฝึกน่ะหรือ ?” น้ำเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

เป็นเทพสงคราม อ้ายฝูหลี่เก๋อซือ

“ใช่แล้ว” ซูเฉินตอบ

“2 เดือนแต่ฝึกให้แกร่งเช่นนี้…… ฝึกมนุษย์ได้ ก็ฝึกคนเถื่อนได้กระมัง ?” อ้ายฝูหลี่เก๋อซือถาม

ซูเฉินยิ้ม “ย่อมได้ ท่านอ้ายฝูหลี่เก๋อซือ”