บทที่ 206 ลงมือเอง (1)
ความเงียบ
เกิดความเงียบอันน่าประหลาดขึ้น
ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ อ้ายฝูหลี่เก๋อซือจึงเอ่ยทำลายความเงียบ
“เจ้ามีความสามารถมากนะหลงถู มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เสียอีก น่าเสียดายที่เอาความสามารถมาใช้ผิดแขนง……”
“ท่านกำลังพูดเป็นนัยว่าการสร้างความบันเทิงให้ราชาเป็นเรื่องผิดงั้นหรือ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของข้า ?” อานู๋ปี่หรี่ตามอง
อ้ายฝูหลี่เก๋อซือตอบเสียงนิ่ง “ข้าเพียงแต่คิดว่ามันสมองของเขาสามารถนำไปใช้ได้ในทางที่ดีกว่านี้”
จากนั้นหันมองซูเฉิน “เจ้าสนใจอยากฝึกลูกน้องของข้าหรือไม่ ? ข้ามอบทหารกลุ่มหนึ่งให้เจ้าไปฝึกได้ หากเจ้าทำได้ดี ข้าจะส่งทั้งกองทัพให้เจ้าเป็นคนดูแล”
ซูเฉินตอบ “ท่านอ้ายฝูหลี่เก๋อซือ ข้าคิดว่าท่านพูดผิดไปอย่างหนึ่ง กองทัพไม่ใช่ของท่าน เป็นของฝ่าบาทต่างหาก ท่านเพียงแค่ควบคุมดูแลมันภายใต้อำนาจของฝ่าบาทเท่านั้น”
อ้ายฝูหลี่เก๋อซือหน้าทะมึน
อานู๋ปี่ปรบมือแล้วหัวเราะ “พูดได้ดียิ่ง หลงถู ! ไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้เลย”
อ้ายฝูหลี่เก๋อซือกลับจ้องซูเฉินด้วยสายตาลึกล้ำ “เจ้ามีความสามารถสูงส่ง แต่กลับไม่เลือกเดินในทางที่ควร”
จากนั้นก็สายหน้าถอนหายใจแล้วเดินจากไป
ซูเฉินพึมพำ “เขาพูดอย่างกับข้าตกลงหลุมแล้วแต่ไม่รู้ตัวเสียอย่างนั้น……”
ซึ่งนับเป็นการยั่วยุที่มีประสิทธิภาพมาก
อานู๋ปี่พลันมีสีหน้าทะมึน
เขากำมือแน่น “เจ้านั่นทำให้ข้าไม่พอใจนัก… นอกจากซ่าเค่อเอ่อร์แล้วยังมีตัวน่ารำคาญอื่นอยู่อีก”
ชนชั้นสูงที่ยืนด้านข้างเอ่ยขึ้น “อ้ายฝูหลี่เก๋อซือเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ต่ออาณาจักรนะขอรับ”
อานู๋ปี่เอ่ยเสียงโกรธ “แล้วนั่นทำให้เขาเมินเฉยล่วงเกินข้าหลายต่อหลายครั้งได้หรือ ? เขาบอกว่าตนเองซื่อสัตย์ภักดี แต่กลับใช้มันข้ามหัวข้าอย่างนั้นหรือ ? เขาไม่สนใจเกียรติยศ อำนาจ และฐานะของข้า ! นี่นะหรือขุนนางที่ซื่อสัตย์ ?!”
ผู้ฟังปิดปากฉับอย่างชาญฉลาดหลังจากอีกฝ่ายระเบิดอารมณ์
ไม่ว่าใครก็รู้ว่าหากช่วยพูดให้อ้ายฝูหลี่เก๋อซือต่อ มีแต่จะเกิดเรื่องร้าย
ซูเฉินเอ่ย “อย่างที่ฝ่าบาทเอ่ย แม่ทัพผู้นี้ทำทีเป็นชื่อสัตว์ แต่แท้จริงแล้วทำเรื่องหมิ่นเกลียดหลายอย่างนัก ไม่ว่าก่อนหน้าจะเคยทำความดีความชอบอะไรไว้ แต่การเมินเฉยราชาเช่นท่านนับว่าผิดต่อกฎเกณฑ์”
ได้ยินเช่นนั้นแล้ว อานู๋ปี่ก็มีสีหน้าอ่อนลง ความอดทนเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง
“เจ้าเป็นลูกน้องที่ภักดีของข้าจริง ๆ หลงถู อย่างเจ้าว่า ความจงรักภักดีทั้งหมดควรเป็นสิ่งที่มีต่อราชา และไม่ว่าจะซื่อสัตย์ภักดีเพียงไหน การเมินเฉยต่ออำนาจราชาเช่นข้าก็นับว่าผิด ข้าจึงต้องทดสอบความภักดีของพวกเขา พวกเขาทำทีเป็นภักดี แต่กลับไม่ให้ข้าทำหลายสิ่งอย่าง ในเมื่อข้าคือราชา เขาเป็นลูกน้อง ก็ควรจะเชื่อฟังข้า ! ทำไมต้องมีความเห็นขัดแย้งกันมากมายนัก ?” อานู๋ปี่คำราม
“ฝ่าบาทพูดถูก ใครที่ไม่ภักดีสมควรต้องถูกลงโทษ” ซูเฉินพูดเสียงเรียบ
ราชาไร้ความสามารถก็เป็นราชาไร้ความสามารถอยู่วันยังค่ำ ปัญหาใหญ่ที่สุดคือแยกไม่ออกว่าใครภักดีกับตนเองหรือภักดีกับอาณาจักร
และสำหรับราชาโง่ผู้นี้ เขามองว่าตนเองเป็นตัวแทนอาณาจักร เป็นราชาที่แท้จริงที่จะทำอย่างไรตามใจชอบก็ได้
สักครู่ต่อมา อานู๋ปี่กลับเอ่ยเสียงไม่พอใจขึ้น “ปัญหาคือข้าทำอะไรอ้ายฝูหลี่เก๋อซือไม่ได้ แม้จะสังหารได้เกือบทุกคน ก็ยังมีข้อยกเว้น จะฆ่าหรือกระทั่งลงโทษอ้ายฝูหลี่เก๋อซือไม่ได้เลย”
“เพราะเขาเป็นแม่ทัพที่มีหน้าที่ป้องกันชายแดนตะวันตก ? หรือเพราะเขาเป็นคนควบคุมกองทัพ ?” ซูเฉินถาม
อานู๋ปี่ตอบ “ทั้งคู่”
“เช่นนั้นก็ยึดอำนาจคุมกองทัพกลับมาสิขอรับ” ซูเฉินโน้มตัวไปเอ่ยข้างหูอานู๋ปี่
“ว่าไงนะ ?” อานู๋ปี่อึ้งไป
“อย่างที่ท่านได้ยิน”
อานู๋ปี่ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ชายแดนตะวันตกต้องมีอ้ายฝูหลี่เก๋อซือคอยป้องกัน”
ซูเฉินเอ่ย “ข้ารู้ขอรับ ข้าไม่ได้บอกให้ท่านทำตอนนี้ บางเรื่องก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
อานู๋ปี่ถาม “จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างไร ?”
ซูเฉินตอบ “โดยทฤษฎีแล้ว ข้าจะจัดการภัยคุกคามใดก็ตามโดยตรง เช่นนี้ท่านจะได้ยึดอำนาจเขามาทีละนิด ค่อย ๆ ดึงเอากองทัพที่เดิมทีเป็นของท่านกลับมา ทำเช่นนั้นไม่มีใครโต้เถียงอะไรได้ใช่ไหมเล่าขอรับ ?”
อานู๋ปี่อึ้งไป “คิดจะพูดอะไรกันแน่ ?”
ซูเฉินยิ้มซ่อนนัย “ท่านจำสัตว์อสูรพวกนั้นได้หรือไม่ ?”
เมื่อได้ยินเรื่องสัตว์อสูร อานู๋ปี่ยิ่งไม่เข้าใจ “สัตว์อสูรที่กำลังโจมตีเรานะหรือ ? พวกมันมีอะไร ?”
“กำลังของมันกำลังจะหมดแล้ว” ซูเฉินตอบ “เมื่อวานมีรายงานการรบมาว่าสัตว์อสูรใช้เวลาทั้งวันยึดปราการ 3 แห่ง ท่านก็รู้ว่าปราการทั้ง 3 ไม่ได้ป้องกันแน่นหนา เพราะมีไว้เพื่อซื้อเวลาให้ทัพหน้าถอยร่นลงมาก็เท่านั้น ดังนั้นจึงขาดทั้งอาวุธ ทั้งบรรพชน และยาทั้งหลาย แต่กลับรั้งอยู่ได้เป็นวัน ทหาร 2 ใน 3 ถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย และเหมือนว่าเมื่อใกล้สิ้นสุดการต่อสู้ ใจสีเลือดก็ปรากฏตัวออกมาลงมือเอง”
อานู๋ปี่เหมือนจะเข้าใจ “หรือก็คือพวกมันใช้กำลังจนสุดตัว ไม่อาจต่อสู้จริง ๆ ได้อีก ข้าไม่แปลกใจนักหรอก ตัวข้ากับผู้ช่วยและขุนนางทั้งหลายได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะมีจักรพรรดิอสูรกายปรากฏขึ้นอีกสัก 2 ตัว ไม่นานพวกสัตว์อสูรก็จะต้องล่าถอยไป แล้วมันมีอะไรหรือ ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “ชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแล้วฝ่าบาท ! ท่านมีโอกาสได้สำแดงเกียรติยศ คำเลื่องลือ และความแข็งแกร่งให้ได้เห็นแล้ว ทั้งยังจะได้ใจประชาชนอีก !”
อานู๋ปี่ อึ้งไป “หมายความว่า……”
“สนามรบ ! ท่านลงมือเองเลย !” ซูเฉินพูดตามตรง “นี่เป็นโอกาสดีที่สุด สัตว์อสูรกระจายตัวอยู่ทั่วชายแดนและเข้ารุกล้ำดินแดนของเรา หากท่านลงไปสู้เอง ขับไล่พวกมันให้ล่าถอย ชนะพวกมัน ชิงเอาดินแดนกลับคืนมา เช่นนั้นจะไม่ยอดเยี่ยมไปเลยหรือขอรับ ? ยามเอาชนะสัตว์อสูรได้ เกียรติยศของท่านจะดังไกล ประชาชนทั้งหลายจะยกย่องสรรเสริญ ลูกน้องทั้งหมดจะไร้ทางเลือกต้องคุกเข่าให้ท่าน กระทั่งอ้ายฝูหลี่เก๋อซือ……”
อานู๋ปี่เข้าใจ
เขาหรี่ตาลง “เจ้าพูดได้มีเหตุผล แต่ก่อนชอบมีคนเถื่อนกล่าวหาว่าข้าไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชน ถึงข้าจะไม่สนจริง ๆ ก็เถอะ ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องขบวนสัตว์อสูรด้วยซ้ำ แต่ถ้าจู่ ๆ ข้านำทัพไปเอาชนะสัตว์อสูรได้ ก็คงสร้างชื่อไม่น้อย ถึงแม้ข้าจะไม่ใส่ใจมันมาก แต่การมีชื่อเสียงในด้านดีก็ดีกว่ามีในด้านแย่ ปัญหาเดียวคือ……”
“อะไรหรือขอรับฝ่าบาท ?” ซูเฉินถาม
อานู๋ปี่โบกมือ “มันน่ารำคาญใจ ต้องเดินทางไกลไปสู้ถึงที่ชายแดนอันน่าเบื่อดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่”
“ไม่เลยฝ่าบาท เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา จริง ๆ แล้วน่าสนใจด้วยซ้ำ ท่านอยู่ในวังหลวงตลอดไม่รู้สึกอุดอู้บ้างหรือ ? คนเถื่อนมีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล มีทั้งภูเขาและแม่น้ำที่ท่านไม่เคยเห็น พวกมันล้วนเป็นของท่าน แต่ท่านกลับไม่มีโอกาสได้เห็นทิวทัศน์งดงามหรือแม่นางผู้เลอโฉมทั้งหลายข้างนอกนั่นเลย อีกทั้งท่านยังจะมีโอกาสได้ต่อสู้ นั่งอยู่ในสนามต่อสู้ ดูคนไม่กี่สิบสังหารกันเอง มันจะเทียบได้กับความรู้สึกที่ได้สังหารศัตรูนับหมื่นนับพันในสนามรบได้หรือขอรับ ? นี่คือความหมายที่แท้จริงของอาณาจักรเหล็กเลือด คือการต่อสู้ดุเดือดเลือดร้อน !”
คำเกลี้ยกล่อมของซูเฉินทำอานู๋ปี่ตาเป็นประกาย “ที่เจ้าว่ามาก็มีเหตุผล”
ซูเฉินยังเติมเชื้อไฟต่อ “ยังถือโอกาสนี้ปรามอำนาจอ้ายฝูหลี่เก๋อซือได้ด้วย ชื่อเสียงเขาในตอนนี้มีมากเกินไป แต่ถ้าท่านดึงอำนาจกองทัพมาไว้ในมือ และเอาชนะได้สำเร็จ ทุกอย่างก็จะต่างไปจากเดิม”
“จริงแท้ เป็นเช่นเจ้าว่า !” อานู๋ปี่ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
เขาเริ่มลุกขึ้นเดินไปมา “ข้านำทัพลงสนามรบเองได้ สัตว์อสูรกำลังหมดแรง จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเอาชนะมัน เจ้าโง่พวกนั้นที่คิดว่าข้าไม่ใส่ใจเรื่องขบวนสัตว์อสูรก็จะได้เห็น ว่าข้า อานู๋ปี่ สามารถกำชัยอันยิ่งใหญ่มาได้ ถ้าจะเป็นคนหยุดขบวนสัตว์อสูร เอาเลือดมันมาละเลงพื้นเสีย ! เป็นราชาเหนือราชัน ให้ประชาชนสรรเสริญเยินยอ ข้าทาสบริวารทั้งหลายกำนันหญิงงามมาให้ด้วยความยินดี”
“ใช่แล้วขอรับฝ่าบาท” ซูเฉินยังเอ่ยยอ
“แต่ถ้าพวกมันไม่ส่งผู้หญิงมาให้เล่า ?” อานู๋ปี่ถาม
“พวกเขาต้องส่งแน่ขอรับ” ซูเฉินตอบ “ท่านเป็นวีรบุรุษที่กำจัดสัตว์อสูร เป็นราชาที่สังหารใจสีเลือดนะขอรับ”
“สังหารใจสีเลือดหรือ ?!” อานู๋ปี่ส่ายหน้า “ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ ใจสีเลือดทั้งเจ้าเล่ห์และทรงพลัง ข้าสังหารเขาไม่ได้หรอก”
อานู๋ปี่ไม่คิดจะสังหารใจสีเลือดในการจัดการพวกสัตว์อสูรครั้งนี้
ด้วยมันเป็นจักรพรรดิอสูรกาย จึงสังหารไม่ง่าย
ซูเฉินเอ่ย “อาจไม่ใช่นะขอรับ ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมสัตว์อสูรถึงได้เริ่มสงครามแม้จะรู้ว่าตนจะเป็นฝ่ายแพ้ ?”
“เพราะไอ้มนุษย์ประสบพวกนั้นมันปล้นคลังสมบัติมันไปไงเล่า ใจสีเลือดโจมตีคนเถื่อนก็เพื่อหาของกลับคืน ไอ้พวกเวรนั่น !” อานู๋ปี่ก่นด่า
“เช่นนั้นก็ถูก ใจสีเลือดอยากชิงของที่เสียไปกลับคืน แต่จะไปชิงที่แดนมนุษย์ก็ไม่ได้ จึงได้แต่โจมตีแดนคนเถื่อน ทว่าถึงตอนนี้เขาได้กลับคืนไปเท่าไหร่กัน ? ถึงตอนนี้ถ้ารู้มาว่ามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น” ซูเฉินชูหนึ่งนิ้ว “ดวงวิญญาณต้นกำเนิดที่กลั่นมาจากท่านซ่าเค่อเอ่อร์และแม่ทัพทรงพลังอีกกว่า 10 นาย ที่เหลือก็แค่ขยะทั้งนั้น อาจเก็บเต็มคลังสมบัติได้ แต่มูลค่าด้อยกว่ามาก คิดหรือว่ามันจะพอใจ ?”
อานู๋ปี่ส่ายหน้า “หากเป็นข้าคงไม่พอใจ”
“เป็นเช่นนั้น” ซูเฉินยิ่งเอ่ยคำน่าฟังขึ้น “ดังนั้นการสังหารใจสีเลือดจึงไม่ใช่เรื่องยาก ก็แค่นำของที่มันชอบออกมา ใจสีเลือดก็กระโจนใส่อย่างหิวกระหายโดยไม่สนใจอะไรแล้ว… จังหวะนั้นจะเป็นตอนที่เราจัดการใจสีเลือด เผยให้เห็นพละกำลังอำนาจและเกียรติยศของฝ่าบาทไปชั่วนาน”
อานู๋ปี่ตาเป็นประกาย “ใช้สมบัติอะไรเป็นเหยื่อล่อดี ?”
ซูเฉินยักไหล่ “สามารถใช้ได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น โทเทมทั้งสาม หรือไม่ก็ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ยิ่งมากอาจจะยิ่งดี”
ว่าแล้วซูเฉินก็เริ่มเผยหางจิ้งจอก
แต่ก็นับว่าคำแนะนำนี้ถูกใจอานู๋ปี่ไม่ใช่น้อย
ไม่ว่าซูเฉินจะมีจุดประสงค์แอบแฝงอะไร เขาก็ทำสำเร็จแล้ว
อานู๋ปี่ตัดสินใจเดินทางออกไปในคืนนั้น
เขาจะเป็นคนออกไปคุมกองทัพเอง นำกองทัพชนเผ่าเพลิงกว่าสองแสนเข้าโรมรันกับสัตว์อสูร
“ประวัติศาสตร์จะต้องจดจำเรื่องนี้ไปชั่วกาล !” อานู๋ปี่ประกาศ