ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
หลังจากกล่าวปลอบโยนพวกอาร์ทัส เซียวอวี๋ก็กลับไปยังฐานทัพมนุษย์ และครั้งนี้ฐานทัพก็เลื่อนระดับเสร็จแล้ว
หลังจากมีค่าผลงานถึงระดับนายพัน จำนวนยูนิตที่ควบคุมได้ก็เพิ่มขึ้นเป็นสามหมื่นจากระดับเดิมสองหมื่น นี่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก
แน่นอนว่าที่ว่างเหล่านี้เซียวอวี๋ย่อมเลือกยูนิตประเภทจักรกล
เซียวอวี๋เลือกสร้างรถถังหนึ่งพันคัน แต่ละคันมีค่าเท่ากับห้ายูนิต นี่คือจำนวนที่สร้างได้สุงสุดแล้ว ระบบตั้งจำนวนรถถังสูงสุดที่ครอบครองได้แค่หนึ่งพันยูนิต เพราะรถถังจำนวนเพียงเท่านี้ก็ทรงพลังอย่างยิ่งแล้ว เซียวอวี๋เองก็ไม่ได้เสียใจ รถถังจำนวนหนึ่งพันต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน จากนั้นเซียวอวี่จึงเลือกสร้างปืนครกหนึ่งพันกระบอก แต่ละกระบอกมีค่าเท่ากับสองยูนิต จากนั้นจึงสร้างเครื่องบินหนึ่งพันลำ แต่ละลำใช้สองยูนิต และหลังจากใคร่ครวญอยู่นาน เซียวอวี๋ใช้ยูนิตที่เหลือสร้างปืนครก การปุพรมยิงถล่มอีกฝ่ายก็ฟังดูไม่เลว เมื่อถึงยามนั้น หากอีกฝ่ายไม่มีสนามเพลาะ นั่นก็คงเป็นจุดจบของพวกเขาแล้ว
เจ้าสิ่งนี้อาจจะรุนแรงสู้เวทมนตร์ที่ร่ายจากผู้ใช้มนตราไม่ได้ แต่มันสามารถยิงถล่มอีกฝ่ายจากระยะไกลโพ้น
ลองจินตนาการถึงภาพปืนครกนับหมื่นกระบอกยิงออกพร้อมกันดูสิ แค่คิดเซียวอวี๋ก็ฉีกยิ้มกว้างถึงใบหู
เครื่องบินยังสามารถบรรทุกผู้คน เครื่องบินแต่ละลำจะมีคนแคระเป็นพลขับ พวกเขาสามารถบังคับปืนกลกระหน่ำยิงได้ทั้งจากอากาศสู่อากาศ หรืออากาศสู่พื้นดิน นี่แน่นอนว่าเป็นยูนิตที่น่ากลัวอีกยูนิตหนึ่ง
ทัพบินหนึ่งพันลำยังมีข้อได้เปรียบยูนิตอากาศอื่นๆ เช่น อัศวินกริฟฟ่อน
หลังเริ่มกระบวนการผลิต เซียวอวี๋ก็หันมาจัดการเรื่องสุด การอัญเชิญฮีโร่ เซียวอวี๋เลือกที่จะอัญเชิญฮีโร่คนสุดท้ายของเผ่ามนุษย์ออกมา ราชันย์แห่งขุนเขา เป็นที่ทราบดีว่า ราชันยืแห่งขุนเขาเป็นฮีโร่ที่ถนัดในการรบ เขามักจะถูกใช้ในหลายสนามต่อสู้ สำหรับเซียวอวี๋แล้ว เขาคิดว่าฮีโร่ผู้นี้จะยกระดับพลังต่อสู้ของดินแดนไลอ้อนขึ้นอีกมาก
ครืน……..
รถถังคันแรกเคลื่อนที่ออกมาจากโรงงาน ขนาดของรถถังเทียบได้กับมังกรระดับสี่ รถถังคันนี้มีมีปืนหลักหนึ่งกระบอก ปืนรองสองกระบอก มันสามารถโจมตีได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ตัวรถสร้างขึ้นจากโลหะอย่างประณีตดูสง่างามน่าเกรงขาม
ภายในตัวรถมีระบบที่ครบครัน รถถังส่งเสียงปล่อยไอน้ำออกมาก่อนจะเคลื่อนที่ตามคำสั่งของเซียวอวี๋ เขาสั่งให้มันเดินหน้ามุ่งไปทางต้นไม้ ต้นไม้ที่หนาราวสามคนโอบพลันถูกชนจนล้มโค่นลงก่อนจะถูกเหยียบจนแตกกระจาย
“ช่างทรงพลังจริงๆ เหอเหอ….”
เซียวอวี๋รู้สึกลิงโลด หลังจากนั้นไม่นาน หน่วยพลปืนครกก็ปรากฏตัวขึ้น หน่วยปืนครกหนึ่งหน่วยประกอบด้วยคนแคระสามคน หนึ่งคนรับผิดชอบการยิง หนึ่งคนเติมกระสุน ขณะที่อีกคนทำหน้าที่ลำเลียง
ปืนครกส่งเสียงดัง ปั้ง ขณะที่ยิงออกไปตามคำสั่งของเซียวอวี๋ ควันสีขาวมากมายพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนจนตลบอบอวล วินาทีถัดมา กระสุนก็ตกลงที่เบื้องหน้าจนเกิดเป็นหลุมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวสี่ห้าเมตร อานุภาพของมันรุนแรงมาก
“ให้ตายสิ หากยิงออกไปพร้อมกันทั้งพันกระบอกคงจะสะท้านสะเทือนน่าดูชม เจ้านี่ยังเจ๋งกว่าเครื่องยิงบาริสต้าเวทเสียอีก” เซียวอวี๋ดีใจจนเนื้อเต้น
และสุดท้าย เครื่องบินก็ปรากฏโฉม เครื่องบินที่บินออกมามีรูปทรงคล้ายกับเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินพุ่งออกตัวก่อนจะเริ่มสาดมิสไซส์โชว์แสนยานุภาพจนระเบิดผืนป่าไปเป็นแถบ
เครื่องจักรสังหารทั้งสามนี้ได้พิสูจน์แสนยานุภาพของมันแล้ว ตอนนี้ เซียวอวี๋กระหายใคร่อยากทดสอบสนามจริงกับศาสนจักรใจจะขาด เพียงแค่คิดว่ากำลังบัญชาการกำลังพลกลุ่มนี้บุกเข้าไปในสนามรบก็รู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว
“นายท่าน!” ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้น ขณะที่คนแคระที่ดูทรงพลังผู้หนึ่งกระโดลงมาจากแท่นอัญเชิญ ในมือของเขาข้างหนึ่งกำขวาน ข้างหนึ่งกำค้อน รูปลักษณ์ที่ดุดันยิ่งเสริมความน่าเกรงขามให้ดูโดดเด่นขึ้นไปอีก
ราชันย์แห่งขุนเขา
“อา ต้องขอโทษด้วยที่เพิ่งจะเรียกเจ้าออกมาในเวลานี้ แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง” เซียวอวี๋อมยิ้มกล่าวพลางตบศีรษะราชันย์แห่งขุนเขาเบาๆ
“ไม่เป็นไรขอรับนายท่าน เมื่อมีตัวข้า มูราดิน อยู่ที่นี่ จะไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายท่าน!” ราชันย์แห่งขุนเขากล่าวอย่างดุดันราวจะคำราม
ดูเหมือนว่าการที่เขาเพิ่งถูกอัญเชิญออกมาจะทำให้เขามีสติปัญญาไม่สูงนัก แต่หลังจากปล่อยให้ปรับตัวไปพักหนึ่งก็น่าจะเพิ่มพูนขึ้นเอง
นอกจากราชันย์แห่งขุนเขาแล้ว ระบบยังส่งเสียงแจ้งเตือนว่าเซียวอวี๋สามารถอัญเชิญฮีโร่ออกมาได้อีกหนึ่งคน นั่นทำให้ให้เซียวอวี๋ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น เมื่อเป็นแบบนี้ก้เท่ากับว่าเขาสามารถอัญเชิญฮีโร่ออกมาสองคนในคราวเดียว
เซียวอวี๋มีฮีโร่ที่จะอัญเชิญอยู่ในใจแล้ว เขาคิดจะอัญเชิญจ้าวอัคคีออกมา ในอดีตตอนที่เซียวอวี๋เล่นเกมวอคราฟ เขานั้นมีความประทับใจในตัวจ้าวอัคคีอย่างลึกล้ำ หากเป็นฮีโร่ผู้นี้ล่ะก็ การส่งเขาลงไปในสนามรบจะสามารถดึงศักยภาพของเขาออกมาได้ดีที่สุด
เซียวอวี๋รีบวิ่งไปยังแท่นอัญเชิญก่อนจะเลือกอัญเชิญจ้าวอัคคีออกมา
ย่าห์…….
พร้อมกับเสียงคำราม เพลิงกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งลงสู่พื้น เงาร่างสูงใหญ่ที่มีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ทั่วร่างพลันยืนหยัดเบื้องหน้าของเซียวอวี๋ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันดัง
“แร็กนารอสอยู่ที่นี่แล้วขอรับ!”
“แม่งมันเถอะ โครตเจ๋งเลย!” เซียวอวี๋ปาดน้ำตาด้วยความยินดี คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะถูกเรียกออกมาแล้วจริงๆ ฮีโร่ผู้นี้เรียกได้ว่าเก่งจนเข้าขั้นโกง ตอนนี้เขามาอยู่ต่อหน้าเซียวอวี๋ เซียวอวี่หมายมั่นในใจว่าจะปลุกปั้นอีกฝ่ายให้ดี
เซียวอวี๋สั่งให้ทั้งสองออกไปเพิ่มระดับ จากนั้นตัวเขาจึงเดินทางกลับเมืองไลอ้อน
และเมื่อเขากลับไปถึงเมือง เขาก็พลันได้รับข่าวร้าย กองทัพศาสนจักรได้เริ่มบุกตีแค้วนที่อยู่ติดกับอาณาเขตของเซียวอวี๋แล้ว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง อีกไม่นานศาสนจักรก็จะจ่อประชิดพื้นที่ส่วนรัฐเว่ยเดิม
“น่าตายจริงๆ พวกมันมาได้เร็วนัก แต่คิดว่าลูกพี่จะกลัวหรือ? ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้อพยพคนทั้งหมด ปล่อยพื้นที่ส่วนรัฐเว่ยเดิมให้ว่างเปล่า และสร้างแนวกำแพงขึ้นที่อาณาเขตดินแดนไลอ้อน!” เซียวอวี๋ขบคิดก่อนจะตัดสินใจเช่นนี้
เนื่องเพราะอาณาเขตของรัฐเว่ยเดิมนั้นกว้างใหญ่เกินไปจนยากที่จะเฝ้าระวัง กองทัพศาสนจักรสามารถตีฝ่ามาได้โดยง่าย แต่หากเลือกที่จะป้องกันเพียงส่วนของเมืองไลอ้อน นั่นก็จะง่ายขึ้นมาก
ด้วยแนวรบที่ไม่ยาวเท่าใด ฝ่ายเซียวอวี๋เพียงต้องรักษาเมืองไลอ้อนเอาไว้ พวกเขาสามารถระดมไพร่พลทั้งหมดมาไว้ที่นี่ เพราะอย่างไรเสีย ศาสนจักรก็มีเปรียบด้านกำลังพลมาก
ศาสนจักรขยายขนาดกองทัพอย่างว่องไว ทุกที่ที่พวกเขาบุกโจมตี พวกเขาก็จะบังคับเกณฑ์ไพร่พล หากขัดขืนไม่เข้าร่วมก็จะถูกส่งตัวไปรับโทษทัณฑ์ ภายใต้วิธีการอันรุนแรงนี้เอง จำนวนไพร่พลของฝ่ายศาสนจักรจึงเพิ่มไปเกินสิบล้านคนแล้ว
การต้องสู้กับทหารศัตรูเป็นสิบล้านคน หากเซียวอวี่ยังเลือกแบ่งกำลังออกเป็นส่วนย่อยอีก นั่นก็ไม่ตายอะไรจากรอคอยความตาย
ดังนั้นเซียวอวี๋จึงให้คนทั้งหมดมารวมพลที่เมืองไลอ้อน จากนั้นจึงจัดสร้างกำแพงเป็นวงกลมล้อมตัวเมืองไลอ้อนเอาไว้เพื่อเตรียมรับมือกับกองทัพของศาสนจักร
การก่อสร้างกำแพงเมืองนี้ยังคงใช้วิธีการก่อสร้างแบบเดียวกับที่ใช้ในจักรวรรดิเมฆา แม้วัสดุที่นำมาใช้จะเป็นอิฐที่ไม่แข็งแรงเท่าหิน กระนั้นมันสามารถจัดสร้างและเพิ่มความหนาได้รวดเร็วกว่า
กำแพงหินสามารถสร้างได้หนาที่สุดเพียงไม่กี่เมตร แต่กำแพงอิฐสามารถก่อให้หนาได้เกินสิบเมตรหรือกระทั่งหลายสิบเมตร และเมื่อชั้นหนึ่งพังลง พวกเขาก็สามารถเสริมชั้นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
เซียวอวี๋ยังส่งยูนิตชาวบ้านและดรูอิดไปสร้างหอสังเกตการณ์ขึ้นตามกำแพง
การจัดสร้างหอสังเกตการณ์ไว้บนกำแพงหินนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่กำแพงอิฐนั้นทำได้ เนื่องจากกำแพงที่ก่อขึ้นจากอิฐจะมีลักษณ์คล้ายกับเนินเขาขนาดย่อม
ระบบไม่ได้จำกัดการสร้างป้อมสังเกตการณ์ไว้บนเนินเขาเสียหน่อย
ด้วยเหตุนั้น ทางฝั่งดินแดนไลอ้อนจึงสาละวนอยู่กับการเตรียมการป้องกัน ก่อนที่พวกศาสนจักรจะมาถึง แนวป้องกันของพวกเขาจะต้องเรียบร้อยและสมบูรณ์ที่สุด
เซียวอวี๋ยังได้เตรียมกลยุทธ์พิเศษบางอย่างไว้เพื่อรับมือกับการโหมบุกของศาสนจักร ครั้งนี้ เซียวอวี๋ตั้งมั่นจะขุดรากถอนโคนศาสนจักรให้ได้ มิเช่นนั้นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่นี้จะก่อเภทภัยไม่จบสิ้น…..