ตอนที่ 209 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 209 บทสรุปอันยิ่งใหญ่ (1)
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีจึงรีบกลับบ้านของตัวเอง ที่นี่ไม่จืดชืดเหมือนบ้านของลั่วจื่อหาน สถานที่ที่บ้านอี้ตั้งอยู่นั้นให้ความสำคัญกับเทศกาลตรุษจีนเป็นพิเศษ มีโคมไฟหลากสีสันทั่วทุกที่ เมื่อพบเจอเพื่อนบ้านสองสามคนที่รู้จักระหว่างทาง พวกเขายังทักทายทั้งสองอย่างเป็นมิตรและกล่าวสวัสดีปีใหม่
“พาแฟนกลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้านเหรอ”
อี้เป่ยซีพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“ดีจัง คุณหนูบ้านอี้มีคู่แล้ว พ่อหนุ่มนี่ก็ไม่เลวนะ แม่เธอต้องดีใจแย่เลย” เธอพูดกับพวกเขาอีกสองสามคำ จึงกลับไปที่สวนพร้อมรอยยิ้ม
สวนของบ้านอี้อยู่ตรงกลาง ลั่วจื่อหานเปิดประตูอย่างผ่อนคลาย อี้เป่ยเฉินเพิ่งออกมาจากบ้านพอดี เขาเร่งฝีเท้าเพื่อไปเจอพวกเขา
“กลับมาแล้วเหรอ” เขาหยุดอยู่ห่างจากอี้เป่ยซีเล็กน้อย ลั่วจื่อหานส่งกุญแจให้กับพ่อบ้าน โอบไหล่อี้เป่ยซี
“อืม” ลั่วจื่อหานแย่งตอบ “กลับมาแล้ว” อี้เป่ยซีใช้ศอกกระทุ้งเขา
อี้เป่ยซีเฉินรู้สึกไม่พอใจ หัวเราะเย้ยสองสามที หันหลังกลับไป อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหานอย่างตำหนิ “นายยโสเกินไปแล้ว”
“ใช่ กว่าฉันจะสมปรารถนาได้ลำบากแทบแย่ ยโสหน่อยก็ไม่เกินไปหรอก”
“นาย…” อี้เป่ยซีเอานิ้วจิ้มเอวของลั่วจื่อหานสองสามที “เหมือนเด็กน้อยเลย”
อาหารวันรวมตัวเพิ่งถูกจัดลงบนโต๊ะ เมื่อคุณพ่ออี้และคุณแม่อี้เห็นลั่วจื่อหานที่เข้ามาด้วยกันแล้วก็เก็บท่าทียิ้มแย้มแจ่มใสก่อนหน้านี้ทันที จงใจทำหน้าบูดบึ้งพร้อม “ยกที่นั่ง” ให้สองคนที่กลับมาด้วยความเฉยเมยเป็นอย่างมาก บนชั้นวางของถูกจัดวางเสียจนอี้เป่ยซีอยากจะประสานมือคารวะแล้วพูดว่าขอบพระทัยฝ่าบาท
อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหานอย่างเป็นกังวล แต่เขากลับมีท่าทีมั่นใจและเปิดกว้าง ในขณะนั้นอี้เป่ยซีก็สบายใจแล้ว คนที่รู้สึกลำบากใจควรจะเป็นลั่วจื่อหานมากกว่า มันเกี่ยวกับเธอที่ไหนกัน ทำไมต้องไปกังวลใจด้วย ยังมีเรื่องที่ลั่วจื่อหานจัดการไม่ได้ด้วยเหรอ?
แม้จะปลอบใจตัวเองแบบนี้ แต่ก็ยังมีชั้นเหงื่อบางๆ ซึมอยู่ที่ฝ่ามือของอี้เป่ยซี มือที่แห้งและอบอุ่นกุมฝ่ามือของเธอ เช็ดเหงื่อจากฝ่ามือของเธอเบาๆ
“แค่ก พอได้แล้ว แค่กินข้าวทำอะไรยุกยิกอยู่ได้ ให้คนอื่นกินข้าวดีๆ หน่อยได้ไหม” อี้เฉิงขัดจังหวะสองคนที่สบตากันไปมา อี้เป่ยซีแอบแลบลิ้น นั่งตัวตรง แสดงท่าทีเยือกเย็น กินข้าวไม่พูดจา เหมือนกับสามคนที่เหลือของบ้านอี้
คุณพ่ออี้เปิดฉากจู่โม “ขอโทษนะประธานลั่ว อาหารวันรวมตัวของบ้านเราก็มีแค่นี้ วันนี้ทำให้คุณลำบากใจแล้ว”
ลั่วจื่อหานเพิ่งจะคีบชิ้นปลาที่แกะก้างปลาออกแล้วลงบนจานของอี้เป่ยซี อี้เฉิงไอ อี้เป่ยซีจึงวางเนื้อปลาลงอย่างอึดอัดใจ หันไปคีบผักใบเล็กมากัดแทน
ลั่วจื่อหานหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ฝีมือของคุณน้าเยี่ยมมากครับ ตอนที่ผมสองสามขวบก็ไปที่เมืองจีนแล้ว ก็นับได้ว่าเคยกินมาหลายที่ แต่ยังไม่เคยเห็นที่ไหนเทียบฝีมือของคุณน้าได้เลย”
ใครๆ ก็ต่างชอบการถูกชื่นชม คุณแม่อี้ที่ชอบการทำอาหารมากเป็นพิเศษอยู่แล้วแทบจะคงสีหน้าที่แข็งทื่อก่อนหน้านี้ไว้ไม่อยู่ เธอเหลือบมองลั่วจื่อหาน เบือนสายตาของตัวเองอย่างเย็นชาอีกครั้ง ลั่วจื่อหานพยายามอย่างต่อเนื่อง “เมื่อก่อนผมก็เคยทำกับข้าวให้เสี่ยวซี ผมก็หาสูตรปลาหลายอย่าง บางทีก็คิดค้นเองบ้าง แต่มันไม่อร่อยเท่าของคุณน้าเลย? คุณน้าสอนผมหน่อยได้ไหมครับ?”
อี้เป่ยซีเกือบจะสำลักข้าว เธอมองลั่วจื่อหาน เขาผลักๆ น้ำแก้วหนึ่งให้เธอโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ก็ไม่ได้มีอะไรมาก ก็แค่นี้เอง…” เมื่อคุณแม่อี้เห็นว่ามีคนที่คุยเรื่องในครัวกับตัวเองได้ก็เริ่มร่ายยาวทันที อดใจรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันประสบการณ์ทั้งหมดของการเป็นแม่บ้านเป็นเวลาหลายปีอย่างหมดเปลือก อีกทั้งนักเรียนของเธอก็ตั้งใจฟังและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยในสายตาเธอก็เป็นอย่างนั้น
พูดไปพูดมา คำพูดของคุณแม่อี้ก็เริ่มเปลี่ยนรสชาติ “เธอก็พอจะเข้าใจได้ เธอดูบ้านพวกเราไม่กี่คนสิ…อี้เป่ยซีวันๆ เอาแต่กิน…”
อี้เฉิงไอสองครั้ง คุณแม่อี้จึงรู้สึกตัวว่าเธอทำหน้ากากของตัวเองหล่นพื้นซะแล้ว และไม่สามารถก้มลงไปเก็บได้อีก เธอพิงเก้าอี้เงียบๆ รู้สึกชื่นชมลั่วจื่อหานอย่างสุดบรรยาย
ทันทีที่ได้ฟังก็รู้ว่าเป็นผู้ชายที่ผ่านชีวิตมาด้วยจิตใจที่มั่นคง คุณแม่อี้คิดในใจ ในเมื่ออี้เป่ยซีชอบ เขาก็ดีกับลูกสาวของเธอ รูปลักษณ์หน้าตาก็หาที่ติไม่ได้ เป็นลูกเขยในอุดมคติอย่างไม่ต้องสงสัย…แต่ว่านะ คุณแม่อี้ถอนหายใจ ครอบครัวนี้ พวกเขาจ่ายไม่ไหวจริงๆ
อี้เฉิงพ่ายแพ้ในการแข่งขันรอบแรกแล้ว เขากัดฟันกราม สายตายิงไปที่ลั่วจื่อหานราวกับลูกธนู เขาก้มหน้า ช่วยอี้เป่ยซีคีบผักตลอดเวลา ส่วนตัวเองก็ไม่ได้กินอะไรมาก อี้เป่ยซีก็สังเกตเห็นเช่นกัน ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันอีกครั้ง อี้เฉิงเห็นอี้เป่ยซีก้มหน้าด้วยความหดหู่ ก็เลือกอาหารที่คิดว่าลั่วจื่อหานน่าจะชอบให้เขาเป็นจำนวนมาก
กินข้าวเสร็จคุณแม่อี้ก็ลากอี้เป่ยซีไปคุยด้วย อี้เป่ยซีมุ่ยปากลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ แล้วเดินเข้าไปหาอี้เฉิงอย่างไม่วางใจ “คุณพ่ออี้ ร่างกายเขายังไม่หายดีนะคะ”
เธอหมายความให้เขาออมมือหน่อย อี้เฉิงยิ้มพยักหน้า ลูบเคราที่ไม่มีอยู่จริง ส่งภรรยาและลูกสาวของเขาออกไป ในห้องรับแขกเหลือเพียงพ่อตาและลูกเขยสองคน
“เล่นหมากรุกเป็นไหม?”
คิ้วของลั่วจื่อหานขยับ พยักหน้า “ก็พอได้ครับ”
“ไปห้องอ่านหนังสือฉัน พวกเราเล่นกันสักตา”
“ครับ”
กระดานหมากรุกถูกวางไว้บนโต๊ะของอี้เฉิงอย่างดีแล้ว ลั่วจื่อหานเห็นว่ามันเป็นเกมส์จบที่ค่อนข้างสมดุลสำหรับทั้งสองฝ่าย แต่ว่าหมากสีดำเริ่มสูญเสียความได้เปรียบไปทีละน้อยแล้ว เขารอให้อี้เฉิงนั่งฝั่งหมากสีดำ ตัวเองจึงนั่งลงฝั่งสีขาว
“ได้ยินว่าเธอวาดรูปเป็นด้วยเหรอ? ช่างเข้าใจตอบสนองความต้องการของคนอื่นจริงๆ”
ลั่วจื่อหานพูดกับเขาอย่างไม่ถ่อมตัว “ตอนเด็กๆ ที่ได้เจอกับเสี่ยวซีก็คิดอยากเรียนวาดภาพหมึกแล้วครับ คิดไม่ถึงว่าต่อมาก็ได้ชื่อเสียงจอมปลอมโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เสี่ยวซีชอบ ก็นับว่าเป็นโชคดีของผมอยู่”
อี้เฉิงก็เคยได้ยินเรื่องราวการวาดรูปของลั่วจื่อหานมาเหมือนกัน เขาพ่นลมหายใจเย็นชา หมากสีดำเดินไปยังตำแหน่งที่แสนจะเขี้ยวลากดิน แม้แต่ตัวหมากที่กระจัดกระจายอยู่ข้างหลังก็ชี้ตรงไปยังตัวหมากสีขาว
“จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ยังบอกไม่ได้หรอกนะ”
ลั่วจื่อหานวางหมากบนกระดานของตัวเองอย่างผ่อนคลาย “คุณลุงพูดถูก ถ้าประสบความสำเร็จ มันก็เป็นโชคดีสำหรับผม ถ้าไม่สำเร็จ งั้นก็คงเป็นโชคร้ายจริงๆ แล้ว”
อี้เฉิงกำหมาก “ข้างกายเสี่ยวซีไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว คนที่สง่างามกว่าเธอ เข้ากับคนได้ง่ายกว่า รูปงามกว่าก็มีเยอะ เธอจะแน่ใจได้ยังไง ว่าเธอจะต้องเป็นคนที่เสี่ยวซีเลือก?”
“ทำไมคุณลุงถึงเลือกคุณน้าล่ะครั้บ?”
อี้เฉิงตอบไม่ได้
ลั่วจื่อหานเดินหมากอย่างใจเย็นอีกครั้ง “ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่เหมือนทำธุรกิจที่ต้องมาชั่งน้ำหนักว่าคุ้มหรือเปล่า ชอบเขาแล้วก็คือชอบ เรื่องอื่นต่อให้เลอค่าสวยงามแค่ไหนก็ไม่อยู่ในสายตาแล้ว”
“คุณลุงพูดถูก คนที่สง่างามกว่าผมมีเยอะ เป็นไปได้ว่าในบรรดาคนที่คุณลุงรู้จัก ผมอาจไม่ใช่คนที่เหมาะกับเสี่ยวซีที่สุด แต่ว่าคนที่เป็นเนื้อคู่กันก็ไม่ใช่คนที่เหมาะสมกัน การที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันก็คือการยอมรับซึ่งกันและกันและปรับตัวเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง” เขาเงยหน้ามองอี้เฉิง “คุณลุงกับคุณน้าก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ?”
อี้เฉิงตัดเส้นทางของลั่วจื่อหาน “เธอเข้าใจอะไรเยอะเหมือนกัน”
“ก็แค่ฟังเขามา ผมโชว์โง่ต่อหน้าคุณลุงซะแล้ว”
อี้เฉิงส่งหมากสีดำอย่างแรง “แต่ว่า พวกเราสองคนไม่เหมือนกัน”
“เหมือนครับ” ลั่วจื่อหานหัวเราะ “คุณลุงอาจจะแค่เข้าใจครอบครัวผมแต่ไม่เข้าใจผม ตอนเด็กๆ ผมโตมากับคุณปู่กับคุณย่า รากฐานผมไม่ได้อยู่ที่นี่แต่อยู่ที่ประเทศ…ผมยังมีน้องชายอีกคน เขาโตมากับพ่อกับแม่”
อี้เฉิงเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย “เธอมั่นใจ เพียงแต่ว่า เพื่อผู้หญิงคนนึง มันคุ้มเหรอ?”
“ความรักไม่มีคำว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม” ลั่วจื่อหานเอาหมากในมือวางกลับลงไปในกล่อง “ผมแพ้แล้ว”
————