ตอนที่ 210 โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 210 บทสรุปอันยิ่งใหญ่ (2)
“พวกนายสองคนคุยอะไรกันน่ะ?” ลั่วจื่อหานเพิ่งออกมาจากห้องหนังสือ อี้เป่ยซีก็ลากเขาไปอีกทางด้วยความตื่นเต้น “ไม่ได้ทำให้นายลำบากใจนะ”
“ก่อนที่เธอจะไปก็กำชับให้ดูแลคนไข้อย่างฉันขนาดนั้น คุณลุงรักเธอมาก จะทำให้ฉันลำบากใจได้ยังไงล่ะ”
อี้เป่ยซียังคงไม่วางใจเล็กน้อย จู่ๆ เธอก็รู้สึกไม่ยุติธรรม ทำไมตอนที่เธออยู่ที่บ้านของลั่วจื่อหาน คนที่หวาดระแวงคือเธอ กลับมาที่อาณาเขตของตัวเองแล้วคนที่ไม่สบายใจก็ยังเป็นเธอ เธอเหลือบมองลั่วจื่อหาน ในเมื่อเขาบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นมั้ง อย่างไรก็ตามลูกเขยตัวดีก็ได้เจอกับพ่อตาแม่ยายแล้ว ลูกเขยที่เกือบจะสมบูรณ์แบบอย่างเขา น่าจะผ่านด่านได้อย่างง่ายดายล่ะมั้ง
อี้เป่ยซีจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับลั่วจื่อหานเพียงเพราะความคิดเห็นของพ่อแม่บุญธรรมตัวเอง เธอเพียงแต่หวังว่าคนในครอบครัวของเธอจะยอมรับคนที่เธอชอบได้ ทุกคนจะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ก็พอใจเป็นที่สุดแล้ว
“ในเมื่อไม่มีอะไร งั้นฉันก็กลับห้องก่อนล่ะ ฉันหาข้ออ้างออกมา คุณแม่อี้คงรู้แล้ว”
ลั่วจื่อหานจูงมือของเธอ ดึงเธอเข้าหาตัวเองเล็กน้อยแล้วจูบที่หน้าผาก “โอเค เธอก็อย่าเล่นจนดึกล่ะ นอนเร็วหน่อย” อี้เป่ยซีสบตากับเขาอยู่นาน กุมหน้าแล้ววิ่งกลับไปที่ห้อง ลั่วจื่อหานจึงถอนหายใจโล่งอก เขามองรอบกายอย่างจนใจเล็กน้อย
ในสายตาของคนอื่นมันเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ แต่ในสายตาของครอบครัวนี้เกรงว่ามันกลับเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกลียดครอบครัวของตัวเองขนาดนี้
“พ่อหนุ่ม” อี้เฉิงเปิดประตูออก พบว่าลั่วจื่อหานยังไม่ได้จากไปไหนตามคาด แสดงความชื่นชมออกมาเล็กน้อย “พรุ่งนี้ออกไปกับฉันหน่อย”
ลั่วจื่อหานตอบว่า “ครับ” พร้อมรอยยิ้ม และกลับห้องด้วยความเบิกบานใจมาก
ดึกแล้วแต่อี้เป่ยซีพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ เธออุตส่าห์สงบสติลงมาได้แล้ว แต่เรื่องขี้ประติ๋วในความเป็นจริงทำให้ด้ายเส้นบางๆ นั้นขาดผึ๋ง อี้เป่ยซีจนปัญญา ได้แต่ลืมตาที่ง่วงนอนเต็มที เปิดไฟแล้วส่งข้อความให้ลั่วจื่อหาน ไม่ถึงหนึ่งนาทีลั่วจื่อหานก็โทรกลับมา
“นายก็ยังไม่นอนเหรอ?” อี้เป่ยซีดึงมุมผ้าห่ม ลำคอของเธอเหมือนกับว่าได้พักผ่อนไปแล้ว น้ำเสียงทั้งอ่อนล้าและแหบแห้งมาก อี้เป่ยซีคิดว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเธอเลย ทั้งร่างกายหลับไหลไปแล้วเหลือเพียงสมองเอาไว้ที่ทำให้เธอคิดวุ่นวายและวิตกกังวลไม่หยุด
“อืม”
อี้เป่ยซีพลิกตัว ใช้แขนพยุงตัวเองขึ้นมาจากเตียง “นายคงไม่ได้ทำงานอยู่นะ?”
“อืม” ทางนั้นหยุดไปครู่หนึ่ง “มีบางเรื่องยังจัดการไม่เสร็จ แต่เกือบแล้ว”
“อ๋อ งั้นฉันไม่รบกวนนายแล้ว”
“ไม่เป็นไร ฉันอยากฟังเสียงของเธอ”
อี้เป่ยซีครุ่นคิด ไม่มีความจำเป็นต้องเล่าเรื่องวุ่นวายที่เธอคิดก่อนหน้านี้ให้ลั่วจื่อหานฟัง กลางดึกแบบนี้ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าคุย เธอหันไปมองผ้าม่านสีอ่อน พื้นหิมะด้านนอกส่องสว่างภายใต้แสงไฟ ผ้าม่านก็เผยให้เห็นแสงรัศมีจางๆ สมองของเธอรู้สึกร้อน
“พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
เธอได้ยินลั่วจื่อหานถอนหายใจ ไม่ช้าเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นที่ห้องของเธอ อี้เป่ยซีห่อตัวเองลวกๆ ด้วยเสื้อผ้าสามสองชิ้นวิ่งเท้าเปล่าไปเปิดประตู ลั่วจื่อหานดีดหน้าผากเธออย่างไม่เกรงใจ
“รองเท้า”
“อ่อ” อี้เป่ยซีรีบไปใส่รองเท้า ลากลั่วจื่อหานเข้าไปในสวน ดึกแล้วแต่หิมะยังคงโปรยปรายบางเบา เกล็ดหิมะส่องแสงอยู่ภายใต้แสงไฟที่อบอุ่นของลานบ้าน ดาวดวงน้อยที่หนาแน่นตกลงบนพื้นหิมะสีขาวบริสุทธิ์ทีละดวงๆ รวมตัวกันเป็นกองปุกปุย พอลมเอื่อยพัดโชยมา ดาวดวงน้อยบนพื้นผิวเหล่านั้นก็กระโดดโลดเต้นไปยังสถานที่อื่นอย่างมีความสุข
เมื่อก่อนอี้เป่ยซีอยากจะท่องเที่ยวในคืนหิมะตกมาโดยตลอด แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าวันนี้หนาวเกินไปหรือไม่ก็รู้สึกเบื่อหน่าย เธอแอบมองลั่วจื่อหาน ทันใดนั้นก็รู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนและทิวทิศน์ในช่วงเวลานี้ยอดเยี่ยมที่สุด คุ้มค่าแก่การเก็บไว้ในหน่วยความจำที่สุด
บางครั้งอี้เป่ยซีก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนแก่ เมื่อจิตใจสงบเธอก็มักจะคิดถึงอดีต ราวกับเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ และความรู้สึกในอดีตเหล่านั้นก็จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วย เธอเหมือนกำลังเล่าเรื่องราวให้ตัวเองในปัจจุบันฟังในฐานะคนที่ผ่านประสบการณ์มาก่อน คนเล่ามีความระลึกถึง คนฟังก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน เธอรู้สึกว่าสถานที่ที่เธอสำรวจนั้นห่างไกลเหลือเกินแต่เมื่อคิดดูอีกทีมันกลับเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง
เรื่องที่ควรค่าแก่การจดจำไม่ใช่เป็นเพราะการเร่งรัดของเวลา หากแต่มันคุ้มค่าจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงอยู่เสมอ
“กำลังคิดอะไรอยู่?” ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยพอใจที่อี้เป่ยซีตัดสินใจออกมาดูหิมะกลางดึกแบบนี้ แต่ไม่อยากขัดใจเธอ เขาห่อเธอหลายชั้นกลัวว่าเธอจะหนาว เป็นไปตามคาดว่ามือที่ยากจะอบอุ่นตอนอยู่ในห้องกลับเย็นเฉียบขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันกำลังคิดว่า…การที่ได้อยู่กับนายมันเหมือนกับความฝันเลย แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นจริงๆ บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในเทพนิยาย แต่ว่าบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นนางเอกในเทพนิยายจริงๆ”
ลั่วจื่อหานกุมมือของเธอแน่น “คนที่อ่านนิยายก็ไม่รู้สึกมากมายขนาดนี้”
อี้เป่ยซีซบอยู่ในอ้อมอกของเขาพร้อมรอยยิ้ม “ใช่สิ คนที่อ่านนิยายก็ทำแบบนี้ไม่ได้”
ลั่วจื่อหานกอดเธอ “บางทีฉันก็รู้สึกเหมือนกำลังฝัน” อี้เป่ยซีที่อยู่ในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นมองเขา “เมื่อก่อน ตอนที่หาเธอไม่เจอ…แล้วก็ตอนนี้ที่กอดเธอไว้”
เมื่อความฝันอันหอมหวานของทุกคนกลายเป็นความจริงก็มักจะมีความรู้สึกที่เกินจริงเสมอ นี่ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีความเชื่อใจในอีกฝ่ายหรือในตัวคุณเอง หรือในอนาคต โลกแห่งความฝันมักจะถูกสลักครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในชีวิตแห่งความเป็นจริงเสมอ ทุกรายละเอียดแห่งการขีดเขียนจะถูกจารึกลงอย่างพิถีพิถัน จนกระทั่งการลงสีครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น ภาพวาดนี้จะแตกต่างจากสิ่งที่คุณฝันเห็นและจากที่คุณคาดหวังอย่างแน่นอน แต่ความแตกต่างเหล่านี้เมื่อบวกกับความฝันดั้งเดิมแล้ว มันจะกลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่คุณเองก็จะแทบไม่อยากจะเชื่อ
แต่นี่คือสิ่งที่คุณวาดขึ้นมาเอง
อี้เป่ยซีหัวเราะคิกคัก เขย่งเท้าแล้วจูบริมฝีปากของลั่วจื่อหานแผ่วเบา “แบบนี้ล่ะ สมจริงหน่อยไหม”
ลั่วจื่อหานส่ายหัว อี้เป่ยซีจูบอีกครั้ง “ตอนนี้ล่ะ” ยังคงส่ายหัว มือของลั่วจื่อหานลูบๆ คางของอี้เป่ยซี เอนตัวเข้าไปช้าๆ บรรจบจูบอี้เป่ยซีอย่างล้ำลึก งัดเปิดฟันออกอย่างละมุนละม่อม…
อี้เป่ยซีผลักลั่วจื่อหาน เขาจึงปล่อยเธออย่างเสียไม่ได้ “ยังไม่พอ”
“โอเคๆๆ ไม่พอช่างมันปะไร งั้นก็ปล่อยมันไปเถอะ”
ทั้งสองคนเดินเล่นอยู่ในสวนสองสามรอบ ลั่วจื่อหานเห็นว่าจมูกของเธอเย็นจนเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว จึงพาเธอกลับไป จับยัดเข้าไปในผ้าห่มโดยไม่สนใจคำปฏิเสธของเธอแล้ว
เธอไม่ได้นอนหลับสนิทดีในรถเมื่อตอนกลางวัน ตกกลางคืนก็ออกไปเที่ยวเล่นหลายรอบ ร่างกายที่มีท่าทีต่อต้านอยู่แล้วก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนโดยสมบูรณ์ อี้เป่ยซีซุกตัวอยู่ในผ้าห่มที่อบอุ่น เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็ค่อยๆ รู้สึกอ่อนล้า ไม่ต้องการคิดอะไรทั้งนั้นและความรู้สึกตัวก็เริ่มเลือนลาง
ลั่วจื่อหานช่วยเธอห่มผ้า เก็บเสื้อผ้าที่เธอทิ้งเรี่ยราด จัดเรียงเอกสารในมือให้เรียบร้อย แล้วนอนลงกอดเธอไว้ในอ้อมแขนตัวเอง
เขายกตัวขึ้นจูบขมับของอี้เป่ยซี “เพียงพอแล้ว” แล้วหลับสนิทตลอดคืน
————