ตอนที่ 752 กลับบ้าน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 752 กลับบ้าน

ดอกหล้า1เหมยในอุทยานดอกไม้ด้านหลังวังเตี๋ยอี๋กำลังผลิบาน

ลำต้นสูงตระหง่าน ดอกบานสะพรั่งดุจดวงไฟอันเจิดจรัส พวกมันเบ่งบานท่ามกลางหิมะขาวโพลน มองดูแล้วงดงามมากยิ่งนัก

ในยามพลบค่ำ ฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งดำเนินไปในอุทยานพร้อมชื่นชมต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้ด้วยกัน

ฮองเฮาซั่งรู้สึกเหมือนได้ย้อนไปในวัยแรกแย้มอีกครา นางมักจะเอื้อมพระหัตถ์ไปโน้มกิ่งของดอกไม้มาสูดดม

แต่ทว่าดูเหมือนฮ่องเต้จะมิได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศนี้สักเท่าใดนัก สีพระพักตร์แสนมืดมนดุจหิมะที่ร่วงหล่นลงจากท้องนภาในยามพลบค่ำนี้

“ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาจากว่อเฟิงเต้า แต่เขากลับมุ่งหน้าไปยังภูเขาเฟิ่งหลินทันที เขาได้สร้างธงประจำกองกำลังทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งอีกทั้งยังประพันธ์เพลงประจำกองทัพให้แก่พวกเขาด้วย จากนั้นก็ได้แต่งตั้งตำแหน่งให้ทหารบางส่วนและจัดการประชุมขึ้น…”

ฝ่าบาทหยุดดำเนินแล้วทอดพระเนตรขึ้นไปยังหมู่เมฆาที่ลอยต่ำลงมา “เขามิได้รอรับพระบรมราชานุญาตจากข้า แต่ทว่าเขากลับเตรียมตัวสู้รบกับชาวฮวงขึ้นมาเอง ! ”

“ทหารดาบเทวะจำนวน 30,000 นาย บัดนี้ได้เดินทางออกจากภูเขาเฟิ่งหลินและมุ่งหน้าไปทางผิงหลิงแล้ว…”

ฮองเฮาซั่งปล่อยกิ่งดอกหล้าเหมยในพระหัตถ์ จากนั้นก็หันพระพักตร์ไปทางฝ่าบาท

“ทว่าไป๋ยู่เหลียนมิได้อยู่ในกองทัพนั้นด้วย ! …ข้าได้กำชับแล้วว่าในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าให้ไป๋ยู่เหลียนมาฝึกฝนทหารจำนวน 100,000 นายให้แก่ข้า แต่ไป๋ยู่เหลียนมิได้อยู่ในกองทัพนั่นแล้ว ! ”

ประโยคนี้พระองค์ได้ตรัสซ้ำถึงสองครั้งสองครา กอปรกับสุรเสียงอันหนักอึ้งจึงทำให้จิตใจของฮองเฮาซั่งห่อเหี่ยวขึ้นมาทันพลัน

แต่อยู่ ๆ ฮ่องเต้ก็ได้แย้มพระสรวลขึ้นมา จากนั้นก็หันพระพักตร์มามองฮองเฮาซั่ง “เจ้าว่าบัดนี้ไป๋ยู่เหลียนอยู่ที่ใดกัน ? ”

“ฝ่าบาท เต้าเอ๋อร์กลับมาด้วยมิใช่หรือเพคะ ? เต้าเอ๋อร์น่าจะได้เรียนรู้วิธีการฝึกฝนทหารดาบเทวะมามิน้อย ดังนั้นเขาย่อมสามารถฝึกฝนทหารเช่นนั้นออกมาได้เพคะ”

ฝ่าบาทมิได้ปฏิเสธ “นับตั้งแต่เข้าสู่ฤดูหนาว ที่แคว้นฮวงก็มีหิมะตกหนักมิขาดสาย คาดว่าคงเป็นอีกปีที่จะประสบภัยจากธรรมชาติและในเวลาเช่นนี้เขายังไปกระตุ้นให้ชาวฮวงเดือดร้อนอีก แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเดินทางลงสู่ทางใต้ ดังนั้นทหารชายแดนเหนือของพวกเราย่อมมิอาจนิ่งดูดายได้ เขากำลังบีบบังคับให้ข้าส่งเสบียงจำนวนมากไปให้ชายแดนเหนือ…เขาต้องการทำอันใดกันแน่ ? ”

ฮ่องเต้ขมวดพระขนงแน่น สีพระพักตร์ก็เคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง “เขาเป็นราชบุตรเขยของข้า แต่ทว่าเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้เหตุใดถึงมิปรึกษาหารือกับข้าให้ดีเสียก่อนเล่า ? ”

เมื่อคราที่ฮองเฮาซั่งทราบข่าวเรื่องทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งมุ่งหน้าไปทางผิงหลิง นางก็รับรู้ได้ทันทีว่าแย่แล้ว

เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนมิได้ทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ไว้ล่วงหน้า !

เจ้าหมอนี่กระทำการใดค่อนข้างรอบคอบเสมอ เหตุใดครานี้จึงผิดพลาดใหญ่หลวงได้เล่า ?

เยี่ยงไรเสียก็นับว่ายังอยู่ในราชวงศ์หยู !

มิว่าเยี่ยงไรก็ควรไว้หน้าฝ่าบาทบ้าง

เขาทำเช่นนี้ย่อมนำพาความมิพอพระทัยมาสู่องค์ฮ่องเต้

“หม่อมฉันคาดว่าเขากลัวฝ่าบาทจะมิยินยอมให้ทำสงครามกับชาวฮวงเพคะ”

“…อืม อาจจะเป็นเยี่ยงนั้น”

ฮ่องเต้มิได้โต้เถียงกับฮองเฮาซั่ง ซึ่งประโยคที่ว่าอาจจะเป็นเยี่ยงนั้นก็ได้ทำให้ฮองเฮาซั่งตกตะลึงงันขึ้นมาทันใด

“ฝ่าบาททรงกังวลว่าเขาจะมิประสงค์ดีต่อราชวงศ์หยูหรือเพคะ ? ” ฮองเฮาซั่งทูลถามอย่างระมัดระวัง

“เจ้าดูสิ ดอกหล้าเหมยที่เบ่งบานในฤดูหนาวท่ามกลางหิมะ มองดูแล้วมันช่างสูงส่งงดงามมากยิ่งนัก… แท้จริงแล้วเป็นเพราะในฤดูหนาวเยี่ยงนี้ผู้คนไร้ซึ่งดอกไม้จะเชยชมต่างหากเล่า แม้จะขุดย้ายดอกหล้าเหมยเหล่านี้ออกไปจนเหลือไว้เพียงพื้นหิมะสีขาวก็ยังคงเป็นภาพที่สวยงามดังเดิม ! ”

ฮองเฮาซั่งมิได้ตรัสอันใดออกมาเป็นเวลาเนิ่นนานเลยทีเดียว ฝ่าบาทจึงแย้มพระโอษฐ์ขึ้นแล้วตรัสว่า “วันพรุ่งนี้ข้ามิอยากเห็นดอกหล้าเหมยเหล่านี้อีก ! มิอยากเห็นอีกแม้แต่ดอกเดียว ! ”

พระองค์ทรงหันพระวรกายจากไปทันที ฮองเฮาซั่งได้แต่ทอดพระเนตรตามแผ่นหลังนั้น นางยังคงประทับอยู่ท่ามกลางหิมะเนิ่นนานเลยทีเดียว !

……

……

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ เดือนสิบสอง วันที่ยี่สิบแปด

ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมาถึงเมืองจินหลิง

ฟู่เสี่ยวกวน หยูเวิ่นเต้า เยี่ยนซีเหวิน และจัวหลิวหวินได้โบกมืออำลากัน จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาหนิงซือเหยียนและคนอื่น ๆ กลับไปยังจวนติ้งอันป๋อ

ณ จวนติ้งอันป๋อ ได้บังเกิดความครึกครื้นมากกว่าเดิม เขาหยอกล้อกับบุตรทั้งสาม ส่วนฮูหยินและคู่หมั้นทั้งหลายต่างก็นั่งอยู่หน้าเตาผิงอันอบอุ่น แต่ทว่าเพิ่งสนทนากันได้มิเท่าใดเจี่ยหนานซิงก็เดินตรงเข้ามา

“ทูลองค์ชาย องค์หญิงใหญ่เสด็จมาเยี่ยมเยียนพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงงัน แต่ก็จำต้องเดินออกไปจากจวนหลักแล้วตรงมายังหลีเฉินซวน

“ข้าคิดว่าเจ้าจะมิมาพบหน้ากันแล้วเสียอีก”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงัน “เหตุใดท่านป้าถึงตรัสเช่นนี้เล่า ? ”

สีหน้าของหยูซูหรงเยือกเย็นขึ้นมาทันใด “บัดนี้แม้แต่ฮ่องเต้เจ้าก็ยังมิเห็นเขาอยู่ในสายตา แล้วข้าที่เป็นเพียงป้าจะยังมีความสำคัญอยู่อีกหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองพิจารณาหยูซูหรง จึงได้เข้าใจความหมายของนางขึ้นมา

เขาจึงยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวเชิญว่า “ท่านป้า… เชิญนั่งก่อนเถิด”

หยูซูหรงนั่งลงพลางเอ่ยออกมาว่า “สวนดอกหล้าเหมยของฮองเฮา บัดนี้มิเหลือแม้แต่ดอกเดียว ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าก้มตาต้มน้ำชาแล้วเอ่ยถามโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทมิทรงโปรดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เจ้าย่อมรู้ดีว่าพระองค์มิทรงโปรดมันแล้ว ! ”

“เมื่อนานมาแล้ว ข้าเคยเอ่ยไว้ว่าจะมิทำสิ่งใดที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อราชวงศ์หยูอย่างเเน่นอน”

“ป้าเชื่อ ป้าเชื่อใจเจ้า แต่เจ้าก็ควรทำให้องค์ฮ่องเต้เชื่อใจเจ้าด้วย… ! ”

หยูซูหรงสูดหายใจเข้าลึก นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เยี่ยงไรเสียเขาก็คือฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู ! และเจ้าก็เป็นราชบุตรเขยของเขา ! ”

“ข้าคิดว่าที่ตนเองเป็นราชบุตรเขยของฝ่าบาท สิ่งนี้จะทำให้พระองค์ทรงเชื่อใจข้าเสียอีก”

“เช่นนั้น เจ้าหมายความว่ากำลังทดสอบเขาอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้ม “ท่านป้าเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว”

หยูซูหรงรู้สึกตกตะลึงมากยิ่งนักเพราะคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะยอมรับง่าย ๆ เช่นนี้ “เจ้าจำเป็นต้องใช้วิธีนี้มาทดสอบเลยหรือ ? เจ้ามิเกรงว่าฝ่าบาทจะมิคำนึงถึงผลที่ตามมาแล้วตัดศีรษะเจ้าหรือเยี่ยงไร ? ”

หยูซูหรงยืดตัวตรง หน้าอกของนางกระเพื่อมตามแรงอารมณ์ “หากเจ้าตกตายไป ต่อให้ราชวงศ์หยูถูกฝังกลบไปพร้อมกับร่างของเจ้า แต่ถึงเยี่ยงไรเจ้าก็มิอาจฟื้นคืนมาได้แล้ว ! อีกอย่าง…เจ้าคิดว่าราชวงศ์อู๋จะยินยอมทำสงครามเพื่อเจ้าจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก เนื่องจากกำลังตั้งอกตั้งใจต้มชาอยู่ บัดนี้บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความเงียบงัน เขารินน้ำชาให้องค์หญิงใหญ่จากนั้นจึงกล่าวออกมาว่า

“ข้าเพิ่งกลับมาถึง ในระหว่างทางมีฝุ่นผงมากมายและยังมิทันได้อาบน้ำชำระล้างร่างกาย อีกทั้งยังมิทันได้สนทนากับภรรยาทั้งหลาย…”

เขาเงยหน้าขึ้นมองหยูซูหรงแล้วเอ่ยออกมาอย่างจริงจังว่า “ข้ายุ่ง ข้ายุ่งมากยิ่งนัก ! รบกวนท่านป้าช่วยทูลฝ่าบาทให้หน่อยได้หรือไม่ ช่วยทูลว่าสุดท้ายแล้วข้าจะมอบอาณาเขตอันกว้างขวางให้แก่เขา จะเอาหรือไม่ ? ”

หยูซูหรงตกตะลึงงันอ้าปากค้างพร้อมกับจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน “เจ้า…เจ้าจะทำลายล้างชาวฮวงจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? อาศัยกำลังทหารดาบเทวะเพียง 30,000 นายเท่านั้นน่ะหรือ ? ”

“แน่นอนว่าข้าต้องการกำลังเสริมจากทหารชายแดนเหนือจึงได้เขียนจดหมายส่งให้ท่านแม่ทัพเผิงแล้ว ดังนั้นหากว่าฝ่าบาททรงต้องการก็สามารถออกพระราชโองการไปให้แม่ทัพเผิงได้ทันที เพียงแค่มีแม่ทัพเผิงคอยสนับสนุน พื้นที่กว้างใหญ่ของชาวฮวงก็จะกลายเป็นของฝ่าบาทอย่างแน่นอน ! ”

“เหตุใดถึงมิอธิบายกับฝ่าบาทด้วยตนเองเล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นมาลูบปลายจมูกแล้วยิ้มออกมาอย่างสดใส “ข้ากำลังทดสอบเขาอยู่ และบัดนี้ข้าพอเข้าใจได้แล้ว ขอบคุณท่านป้ามากยิ่งนัก ! ”

หยูซูหรงชะงักงันแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้เดาสุ่มสี่สุ่มห้า ! เยี่ยงไรเสียเขาก็คือพ่อตาของเจ้า ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก “ท่านป้ารู้หรือไม่ว่าข้าเดินทางมาไกลมาถึงเพียงนี้ ยังมิทันได้ดื่มน้ำสักอึกหนึ่งเลยด้วยซ้ำ…น่าเสียดายดอกหล้าเหมยเหล่านั้นจริง ๆ ”

อืม…ความสัมพันธ์ที่เกิดรอยร้าวระหว่างพ่อตาและลูกเขยคู่นี้มิอาจซ่อมแซมได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

หยูซูหรงหลับตาลง จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา “…หยูเวิ่นเต้าจะกลายเป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป ! ”

“ข้ารู้ เขาเป็นพี่เขยของข้านี่”

“ข้าเองก็เป็นป้าของเจ้า ! ”

“หลานจะจดจำท่านป้าไว้เสมอ…สิ่งที่หลานทำไปทั้งสิ้นก็ล้วนทำเพื่อราชวงศ์หยู…และแน่นอนว่าก็ทำเพื่อตนเองด้วยเช่นกัน”

1หล้า คือ ในภาษาจีนคำว่า ‘หล้า’ หมายถึงเดือนสุดท้ายตามปฏิทินจันทรคติของจีนซึ่งเป็นช่วงหนาวจัด