ตอนที่ 753 กลศึกครั้งใหญ่ ( 1 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 753 กลศึกครั้งใหญ่ ( 1 )

องค์หญิงใหญ่หยูซูหรงเสด็จออกจากจวนติ้งอันป๋อไปแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงนั่งดื่มชาเพียงลำพังอยู่ที่เดิม

แท้จริงแล้วเขากำลังหยั่งเชิง

หยั่งเชิงท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อเขา

ทว่าท่าทีของฮ่องเต้ที่ได้เห็นในตอนนี้ยังมิเป็นที่น่าพึงพอใจ เยี่ยงนั้นกระดานนี้คงต้องลงหมากไปทั้งเยี่ยงนี้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือการทหาร ก่อนที่เขาจะไปจากราชวงศ์หยู เขามิสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอันใดได้อีกแล้ว

……

ณ ภูเขาโต่วฟางที่อยู่ห่างจากเมืองกวนหยุนแห่งราชวงศ์อู๋ไป 300 ลี้

ไป๋ยู่เหลียนได้รับจดหมายจากฟู่เสี่ยวกวนเรียบร้อยแล้ว

ยามนี้เขากำลังนั่งอยู่ในกระโจมและอ่านจดหมายฉบับนี้อย่างตั้งใจ

เหวินซีรั่วต้มน้ำซุปไก่มาให้เขาหนึ่งชาม เมื่อสังเกตเห็นร่องรอยความเคร่งเครียดบนใบหน้าหล่อเหลาของไป๋ยู่เหลียนจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ท่านปู่กล่าวว่า…อยากพบท่าน”

ไป๋ยู่เหลียนโยนจดหมายในมือลงกองไฟ จากนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกผิด “ตอนนี้ยังมิได้จริง ๆ เอาเป็นปีหน้าได้หรือไม่ ? ”

เหวินซีรั่วแบะปาก พลางทรุดกายนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับไป๋ยู่เหลียน “เพราะเหตุใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ท่านกลัวการพบครอบครัวของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิใช่ ! แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมอบหมายคำสั่งลงมาแล้วต่างหาก”

เหวินซีรั่วชะงักงัน “องค์ชายเยี่ยงนั้นหรือ ? เขากล่าวว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“เขากล่าวว่า… ผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋เล็กจนเกินไป”

เหวินซีรั่วอ้าปากค้างด้วยอารามตกตะลึงงัน “ผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋มิได้เล็กเสียหน่อย มิหนำซ้ำยังกว้างใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสี่แคว้นด้วยซ้ำ”

ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะร่า “เจ้าไปเรียกผู้บัญชาการทั้งสิบมาพบข้าโดยด่วน”

“ไอหยา…”

เหวินซีรั่วเดินออกไป จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋ยู่เหลียนก็พลันเลือนหายตามไปด้วย เขาเดินมายังกำแพงอีกด้านจากนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น จึงปรากฏแผนที่ขนาดใหญ่สู่สายตา

เขาจ้องมองไปยังตำแหน่งชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์อู๋ ที่ตรงนี้มีภูเขาทอดยาวนับพันลี้นามว่าภูเขาฉีหวิน

มีภูเขาฉีหวินเป็นเขตแดนโดยอีกด้านหนึ่งคือจุดยุทธศาสตร์ซานยิงจี๋ของชายแดนแคว้นอี๋ ที่ตรงนั้นมีกองทัพชายแดน 100,000 นายของแคว้นอี๋ประจำการอยู่ !

แทนที่จะเดินไปยังด่านฉีหวิน สู้ใช้วิธีข้ามภูเขาฉีหวินแล้วลอบโจมตีกองทัพชายแดนกลุ่มนั้นเพื่อทำลายให้สิ้นมิดีกว่าหรือ…

สายตาของไป๋ยู่เหลียนทอดยาวไปยังตำแหน่งที่ห่างไกลกว่าเดิม นี่คือหกรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นอี๋ !

จงก่อความโกลาหลในหกรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้นี้ กองทัพจะต้องเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อลัดเลาะไปตามแนวชายแดนของแคว้นอี๋ เพื่อไปให้ถึงเกาเชวียซายที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นอี๋… จากนั้นก็กลืนกินกองทัพทหารชายแดนของแคว้นอี๋ 300,000 นายที่ประจำการอยู่อาณาเขตหลานฉีของชาวฮวงเสีย… จากนั้นก็ทะลวงบุกยึดพระราชวังป๋ายจินฮ่านให้จงได้… หลังจากนั้นก็ให้หยุดรอคำสั่งต่อไป !

ในวันที่หนึ่ง เดือนสาม ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งต้องรวมพลเสร็จสิ้นในทิศเหนือของภูเขาผิงหลิง ส่วนทหารดาบเทวะกองที่สองจะต้องบรรลุเป้าหมายที่พระราชวังป๋ายจินฮ่านก่อนวันที่สิบเดือนสาม…

เอ่ยได้ว่าทหารดาบเทวะกองทัพที่สองจำนวน 100,000 นายจะต้องทะลวงแคว้นอี๋ให้ได้ภายใน 50 วัน และใช้เวลาอีก 20 วันในการสังหารชาวฮวงในเมืองหลวงเพื่อยึดครองสถานที่แห่งนั้น… การเดินทางครานี้ยาวไกลถึง 6,300 ลี้ !

แต่กลับมีเวลาเพียงหกสิบกว่าวันเท่านั้น ยังมิต้องคำนึงถึงเรื่องเสบียงเพราะสามารถปล้นเสบียงที่ต้องการระหว่างทางได้…

ด้วยความเร็วในการเดินทัพของทหารดาบเทวะกองที่สองเวลาหกสิบกว่าวันมิใช่ปัญหาใหญ่โตอันใด เช่นนั้นแล้วปัญหาจึงตกไปอยู่ที่ช่วงเวลาออกรบ เพราะจะต้องเปิดศึกให้เร็วและจะต้องจบศึกให้เร็วที่สุดด้วยเช่นกัน !

ทหารทั้งหนึ่งแสนนายของกองทัพที่สองนี้มีฝีมือระดับต่ำสุดคือผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสอง หลังจากผ่านการฝึกฝนมาแล้วครึ่งปี ไป๋ยู่เหลียนจึงมิได้กังวลต่อกำลังรบของกองทัพนี้อีกต่อไป

นี่คือกองทัพบกที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า นี่คือนิยามคำว่ากองทัพบกของฟู่เสี่ยวกวน เพราะจดหมายที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนถึงเขายังระบุว่าในปีหน้าเขาต้องฝึกกองทัพเรืออีก 1 ชุด !

กองทัพนี้แข็งแกร่งกว่ากองทัพที่หนึ่งของซีซานมากนัก ร่างกายของพวกเขาคล่องตัวกว่า มีความแม่นยำในการยิงปืน อีกทั้งทุกคนสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้… ไป๋ยู่เหลียนตั้งตารอศึกแรกของกองทัพนี้ แต่คาดมิถึงว่าสนามรบแรกของพวกเขาจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ จนตนเองก็ยังคาดมิถึง

ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนมีจุดประสงค์อันใดในกลศึกครานี้กันแน่ ?

……

……

ในเวลาเดียวกัน กองกำลังของซูม่อที่ประจำการอยู่ในส่วนลึกของภูเขาหมินก็ได้รับคำสั่งจากฟู่เสี่ยวกวนแล้วเช่นกัน

ดาบเทวะกองที่สามได้เปลี่ยนนามเป็น ‘กองพลอิสระ’ อย่างเป็นทางการแล้ว เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่ง

ในตอนนี้กองพลอิสระภายใต้การประกาศของฟู่เสี่ยวกวน จึงทำให้คนจากยุทธภพที่มาขอพึ่งพาอาศัยมีจำนวนมากกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนได้คาดการณ์เอาไว้มาก ไปไปมามาก็มีมากถึงสามพันกว่าคน ส่วนกองพลอิสระที่เคยเหลือเพียงแค่สองพันห้าร้อยกว่าคนก็ได้กลับมามีถึง 6,000 คนอีกครา มากกว่าแต่ก่อนถึงครึ่ง

เหล่าชาวยุทธที่อยู่ภายใต้การฝึกฝนของซูม่อมีความเป็นระเบียบมากกว่าในอดีต บัดนี้จึงค่อย ๆ มีท่าทางเหมือนทหารในกองทัพขึ้นมาแล้ว

แต่เวลาเพิ่งผ่านไปได้มินาน พวกเขาจึงยังมีท่าทางของชาวยุทธ์ให้เห็นอยู่บ้าง

แต่ทว่าตอนนี้มิมีเวลาแล้ว

แม้แต่เหมืองทองคำนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็ให้เหลือคนเฝ้าเอาไว้เพียงแค่ 1,000 คนเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือให้รีบเคลื่อนพลโดยด่วน

ตามคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวนคือให้ไปรวมตัวกันที่สำนักเต๋า ส่วนฟู่เสี่ยวกวนจะมารวมตัวกับพวกเขาที่สำนักเต๋าในวันที่สิบสองเดือนหนึ่ง

หลังจากรวมตัวแล้วให้ไปที่ใดต่อนั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวเอาไว้ แต่ซูม่อเข้าใจได้ว่าจะต้องเป็นการเคลื่อนไหวคราใหญ่อย่างแน่นอน

เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นก็จะถึงวันที่สิบสองเดือนหนึ่งแล้ว เร่งรีบถึงเพียงนี้…หรือว่าศิษย์น้องเล็กจะพบปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ?

เมื่อซูม่อคิดได้ดังนั้น จึงรีบลงมือจัดการอย่างรวดเร็ว

กองพลอิสระดาบเทวะจำนวน 5,000 นายจึงได้หายตัวไปจากภูเขาหมินในคืนนั้น พวกเขามิมีเวลาแม้กระทั่งจะไปบอกกล่าวกับแม่ทัพใหญ่เฟ่ยอันที่ยังประจำการอยู่ ณ ซีหรงเลยด้วยซ้ำ

……

……

ณ เมืองกวนหยุน จักรพรรดิอู๋ก็ได้รับจดหมายจากฟู่เสี่ยวกวน 1 ฉบับเช่นกัน

ภายในจดหมายนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หยอกล้อกับพระองค์เฉกเช่นในอดีต น้ำเสียงที่แฝงอยู่ในจดหมายค่อนข้างเคร่งขรึม

‘ท่านพ่อ !

ข้าได้จัดระเบียบองค์รักษ์ชุดแดงใหม่ และได้เปลี่ยนให้พวกเขาเป็นทหารดาบเทวะกองทัพที่สอง ข้าได้มีคำสั่งส่งถึงแม่ทัพไป๋ยู่เหลียนแห่งกองทัพที่สองแล้ว ข้าแจ้งว่าให้ผู้บัญชาการของเขาทั้งหมดออกเดินทัพทันที

ยุทธวิธีรบในครานี้คือกองทัพที่สองจะทะลวงแคว้นอี๋ แต่ทว่าเป้าหมายของกลศึกครานี้ยังคงเป็นแคว้นฮวง

คาดว่ายุทธการรบในครานี้จะใช้เวลา 1 ปีและสิ้นสุดลงในสิ้นปีหน้า

กำลังทหารของชาวฮวงจะถูกกำจัดหมดสิ้น ราชวงศ์หยูจะได้ครอบครองดินแดนของชาวฮวงเกือบทั้งหมด ส่วนราชวงศ์อู๋จะได้ครอบครองผืนปฐพีของแคว้นอี๋อยู่ครึ่งหนึ่ง

นี่มิใช่เพื่อเจรจาทว่าเพื่อพิชิต !

ดังนั้นปลายเดือนหนึ่งของปีหน้า ราชวงศ์อู๋จะต้องส่งกองทัพจำนวนสองแสนกว่านายไปยังด่านฉีหวิน เป้าหมายหลักมิใช่การสู้รบแต่เป็นการกวาดล้างกำลังทหารที่เหลืออยู่ของแคว้นอี๋และยึดครองเมืองไปตลอดทาง

นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัยของบุตรชายท่านคนนี้ ท่านต้องส่งกองทัพจำนวน 100,000 นายเข้าไปยังเมืองจิ่นกวนและออกจากภูเขาฉีซานในต้นเดือนสอง เพื่อยึดเมืองชายแดน และรอให้แม่ทัพใหญ่หยูชุนชิวแห่งกองทัพชายแดนใต้ของราชวงศ์หยูมาเจรจา

มิจำเป็นต้องปะทะกับหยูชุนชิว ขอเพียงยืดเวลาออกไป 1 เดือนก็พอ !

คำสั่งเคลื่อนทัพทั้งหมดได้ถูกส่งออกไปแล้ว นี่มิใช่การหารือกับท่านแต่กำลังดำเนินการอยู่

โปรดให้หอเทียนจีตั้งใจสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของกองทัพชายแดนของราชวงศ์หยูด้วย ! ’

ใบหน้าอวบอ้วนของฟู่ต้ากวนเต็มไปด้วยความตกตะลึงงัน “รีบไปเรียกหนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงมาเร็วเข้า… ให้พวกเขารีบมายังห้องทรงพระอักษรโดยด่วน ! ”

“อยู่ ๆ เจ้าเด็กนี่ก็คิดลงมือทำการใหญ่ เขาต้องการทำอันใดกันแน่ ? ”

ฟู่ต้ากวนสวมชุดผ้าป่านและเดินวนอยู่ในห้องทรงพระอักษรอย่างเป็นกังวล เมื่อหนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงเร่งรุดเดินทางมาถึง เขาก็ได้ยื่นจดหมายฉบับนี้ให้กับทั้งสองคนได้ดู

“พวกเจ้าลองดูเถิด นี่มิใช่การหารือ แต่ต้องตัดสินใจในทันทีทันใด ! ”

หนานกงอี้หยู่เงยหน้าขึ้นมองจัวอี้สิง… สวรรค์ !

องค์ชายช่างยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก !

หนานกงอี้หยู่ปรี่ไปยังด้านหน้าแผนที่บนกำแพง ผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ทูลฝ่าบาท เป็นการลงมือคราใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ข้าทราบว่านี่คือการลงมือคราใหญ่ แต่พวกเราในตอนนี้ควรทำเยี่ยงไรดี ? ”

“ฝ่าบาทต้องจัดการตามที่องค์ชายสั่งพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เจ้าเฒ่านี่ เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าเขามิได้ก่อเรื่องอันใดขึ้น ? ”

“ก่อเรื่องกับผีสิ ! ท่านรีบมาดู…”