GGS:บทที่ 789 มหาสมบัติ
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าการที่ซูจิ้งโพสภาพแนวนี้ในไมโครบลอกจะเป็นที่สนใจจนเผยแพร่ไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ถึงตอนแรกทุกคนจะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งแพร่ออกไป จนทำให้บางจังหวะถึงกับทำให้เน็ตล่มกันเลยทีเดียว ก็คงจะเหมือนนางงามล่มเมืองที่ร้อยวันพันปีจะเกิดมาซักคน ศาสนาพุทธเองก็เช่นเดียวกัน แต่แรกเริ่มก็เป็นที่นิยม พอนานวันก็เสื่อมถอย แต่เมื่อเห็นศาสนาพุทธที่แท้จริงอีกครั้งก็รับรู้ได้ถึงพุทรานุภาพที่เคยเป็น
“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อนะ แต่หลังจากได้เห็นรูปพระพุทธแต่ได้อ่านพระสูตรนั่นแล้ว ฉันถึงกับตกตะลึงเลย”
“ศาสนาพุทธนี่ช่างครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งนัก”
“พระสูตรนี้อยู่ที่ไหนกันแน่นะ ฉันอยากเห็นของจริงซะแล้วสิ”
“พวกเราลองดูหมดทุกที่แล้วแต่ไม่มีพระสูตรไหนเลยที่เหมือนกับเล่มนี้ หลายๆคนเริ่มคิดขึ้นมาว่าซูจิ้งเป็นคนเขียนขึ้นมาเองเลยล่ะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง นี่คือพระสูตรเลยนะ”
ผู้คนบนโลกอินเตอร์เนตต่างพูดคุยถึงที่มาของภาพพระพุทธและพระสูตรนี้ บ้างก็คิดว่าซูจิ้งเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง บ้างก็แย้งว่าไม่มีทาง
แต่ด้วยการที่พระสูตรนี้ที่มีเนื้อหาครอบคลุมและลึกซึ้ง แม้แต่คนที่ศึกษาลึกซึ้งในพระธรรมคำสอนก็ไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้ นับประสาอะไรกับคนหนุ่มอย่างซูจิ้ง
บนโลกอินเทอร์เน็ตก็ยังคงถกเถียงกันต่อไป ในขณะที่ซูจิ้งกำลังนั่งยิ้มกริ่มรับฟังผลจากการกระทำของเขาอยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ
ฉิงหยุนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสเป็นจังหวะ “ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มหนึ่งหน่วย ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มสองหน่วย ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มสามหน่วย ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่ม…”
ค่าการใช้ประโยชน์ในตอนนี้เพิ่มไปที่ 108 หน่วย และยังคงเพิ่มต่อไป
นี่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าวิธีการของซูจิ้งถือว่าไม่มีปัญหา นี่ขนาดว่าซูจิ้งโพสแค่รูปพระพุทธและพระสูตรเท่านั้น ค่าการใช้ประโยชน์ก็ยังเพิ่มซะขนาดนี้
“เยี่ยม เธอไม่ต้องรายงานฉันทุกครั้งที่ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มหรอก รายงานเฉพาะตอนที่มันแลดูนิ่งๆแล้วก็พอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“ได้ค่ะท่านเจ้าของ” ฉิงหยุนหยุดรายงานตามสั่งในทันที หรือไม่ก็ฉิงหยุนเองก็เริ่มขี้เกียจรายงานถี่ๆแบบนี้แล้วเหมือนกัน
ซูจิ้งไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกอินเตอร์เนตอีกต่อไป เขาจัดการกับขยะของเขาต่อ
เขายังสาละวนอยู่กับกระดาษกองนั้นไม่เสร็จเลย ยังเหลืออีกครึ่งกองที่เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอายังไงกับพวกนี้ดี
เพราะถึงแม้มันจะดูไม่มีอะไรสำคัญซักเท่าไหร่แต่ความรู้สึกของซูจิ้งบอกเขาว่าพวกมันยังมีประโยชน์อยู่แต่คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงกับพวกมันดี
เพราะของที่เหลือนี่มันคือเถ้ากระดาษแถมยังจำนวนมากเลยด้วย บางอันก็ยังมองเห็นเป็นกระดาษ บางอันก็ไหม้แต่ก็ยังเห็นเนื้อหา บางอันก็ยังไม่ไหม้ดี ไหม้เพียงขอบๆ
ซูจิ้งได้ลองหยิบเถ้ากระดาษที่ยังไม่ไหม้ดีขึ้นมาอ่านดู มันเป็นกระดาษที่หลงเหลือตัวอักษรไว้หนึ่งตัวครึ่ง เขาลองมาดูเล่นแต่ทันใดนั้นสายตาของเขาเปลี่ยนไปพลางพูดออกมาว่า “คำที่ดี”
คำที่ซูจิ้งเห็นนั้นคือคำว่า เมตตา ส่วนคำที่สมควรจะต่อจากนี้น่าจะมีอีกสองคำ ซึ่งเป็นคำที่สมควรจะมาจากพระสูตรเช่นเดียวกัน
คนที่คัดลอกพระสูตรนี้สมควรจะมีความรู้ที่ค่อนข้างลึกซึ้งถึงขั้นแค่เพียงเขียนสองสามคำแต่สื่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างลึกซึ้งได้ขนาดนี้
ถึงแม้จะมีความหนักแน่นน้อยกว่าตัวอักษรที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีเซียน แต่อย่างน้อยๆก็ยังทรงพลังกว่าตัวอักษรกระบี่ที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารกระบี่สามภพ
อย่างไรก็ตามถึงแม้คำว่า “เมตตา” นี้ให้ความรู้สึกที่ทรงพลังมากกว่าตัวอักษรกระบี่ที่ได้มาจากห้วงเวลาฯDesolate Eraแต่ก็ไม่ได้นำมาตัดสินอะไรได้เพราะว่าถือว่าเป็นตัวอักษรของศาสตร์คนละแขนงกัน
นั่นหมายความว่าความเข้าใจของแต่ละคนต่างกัน การได้รับประโยชน์จากตัวอักษรย่อมต่างกันไปด้วย
บางคนเมื่อมองเห็นอักษรกระบี่อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่คนๆนั้นเมื่อเห็นตัวอักษรเมตตานี้ อาจบรรลุแก่นแท้แห่งธรรมเลยก็ได้
“ตัวอักษรที่ดีขนาดนี้เอามาเผาทิ้งกันได้ยังไง ช่างบ้าบอสิ้นดี คนที่เขียนคำที่ดีแบบนี้ได้คิดอะไรอยู่เนี่ย” ซูจิ้งรู้เสียใจและเสียดายออกมา
เขาได้ลองปล่อยกระแสจิตออกมาแล้วทำการจัดเรียงขี้เถ้ากระดาษนั่นดู เขาทำอย่างระมัดระวังจนพบกับตัวอักษรที่เขียนด้วยมือจำนวนหนึ่ง บนนั้นได้เขียนคำอื่นๆเอาไว้ด้วย มีเถ้ากระดาษอีกหลายชื้นที่เขาไม่สามารถนำไปต่อกันได้แต่ก็มีคำหลายๆคำปรากฎอยู่บนนั้น เว่ย จัน ปีศาจ บาป บุญ คุณ โทษ ความดี และ ความชั่ว
ดูๆไปแล้วคำพวกนี้ไม่น่ามาจากกระดาษแผ่นเดียวกัน ดีไม่ดีอาจจะมาจากหนังสือคนละเล่มกันเลยก็ได้
เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น
“เดี๋ยวนะ ฉันลืมไปได้ยังไงกัน” ซูจิ้งนึกอะไรได้บางอย่างจนทำให้หัวใจเขาเต้นแรง ซูจิ้งได้เรียกหนูตัวหนี่งออกมาจากถุงกักอสูร
หนูตัวนั้นคือหนูที่ปลุกสแตนด์ขึ้นมา ในตอนนี้มีดูมีสภาพที่ดูดี น่ารัก น่าฟัด เพราะซูจิ้งดูแลมันอย่างดี
แถมยังจับฝึกฝนพลังวิญญาณจนมันค่อนข้างที่จะมีสภาพพร้อมต่อการใช้สแตนด์ของเจ้าหนูเพื่อช่วยซูจิ้งได้ทุกเมื่อ
แต่สำหรับซูจิ้งนั้นเอาจริงๆเขาก็ไม่ได้อยากจะชุบเลี้ยงเท่าไหร่แต่ก็อีกนั่นหล่ะ สัตว์ที่ปลุกพลังสแตนด์ได้นั้นถือได้ว่าหายากมากจนซูจิ้งต้องยอมชุบเลี้ยงอย่างดี
เพราะไม่อยากจะทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อีกต่อไป แถมเจ้าหนูนี่เองก็มีพลังที่มีประโยชน์ต่อเขามากๆอีกด้วย
“เสี่ยวไป๋ ซ่อมเถ้ากระดาษนี่ให้ฉันหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ฮอว์” หนูขาวตัวน้อยร้องออกมาด้วยเสียงดังลั่น หากแปลก็จะได้ประมาณว่า “ปล่อยเป็นหน้าที่ผมเถอะครับเจ้านาย” มันรีบปีนลงไปยังหน้ากองกระดาษก่อนจะเรียกสแตนด์ของมันออกมา
เสี่ยวไป๋หยิบกระดาษขึ้นมาขิ้นหนึ่ง ไม่นานนัก ขี้เถ้าที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มขยับแล้วค่อยลอยมาประกอบยังกระดาษที่เสี่ยวไป๋กำลังถืออยู่
หลังจากที่ลอยกลับมาแล้วพวกมันก็ค่อยๆเปลี่ยนสี ฟื้นคืนสู่สภาพก่อนที่มันจะโดนเผา เสี่ยวไป๋ส่งกระดาษใบนั้นให้แก่ซูจิ้งด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
“เยี่ยม” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความรู้สึกยินดีนิ่ง ตอนแรกเขาเองก็ได้สบประมาทความสามารถของเจ้าหนูไว้ไม่น้อย
เอาจริงๆนั้นความสามารถนี้สมควรจะซ่อมแซมได้แม้ต่องานแกะสลักหิน ของโบราณ และของอื่นๆอีก
แต่ในที่สุดเขาก็พบที่ๆจะทำให้สามารถใช้ความสามารถของสแตนด์นี่ได้เต็มที่ซักทีนั่นก็คือที่นี่ ลานทิ้งขยะห้วงเวลาฯ แห่งนี้
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าซูจิ้งจะดีใจเร็วไป
นั่นก็เพราะว่าหลังจากที่กระดาษนับร้อยต่อกันคืนสภาพเสร็จสิ้น
ใบหน้าของเสี่ยวไป๋ในตอนนี้อยู่ในสภาพเหงื่อโทรมกาย ใกล้ตาย นอนพะงาบๆอยู่ที่พื้น
มันทำปากขมุบขมิบเหมือนพยายามจะบอกออกมาว่า เจ้านายจ๋า ข้าน้อยไม่ไหวแหล่ว
“ไอ้นี่ ทำมาเป็นพูดดี อ่อนอ่ะ” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออก แต่เขาเองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเสี่ยวไป๋แต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่ายังไงซะมันก็ยังเป็นหนู พลังจิตไม่ได้เข้มแข็งอะไรมาก ที่รอดมาได้แต่ละครั้งนี่ก็ปฏิหารย์แล้ว
ซูจิ้งนำกระดาษทั้ง 1200 ชิ้นมาอ่านดูอย่างตั้งใจและละเอียดลออ
แน่นอนว่ากระดาษชุดนี้ไม่ได้ถูกต้องอย่างสมบูรณ์เนื่องจากมีบางชิ้นส่วนที่สูญหายไปพวกมันอาจจะยังอยู่ที่มิติที่พวกมันจากมา หรืออาจถูกทำงานมากเกินกว่าจะฟื้นคืนสภาพได้
ถึงแม้ความสามารถนี้จะดีขนาดไหนแต่ข้อเสียของมันก็คือจำเป็นต้องชิ้นส่วนที่เสียหายอยู่ครบไม่งั้นการซ่อมแซมจะไม่สมบูรณ์
“พระเจ้า นี่มันหนังสือ….” ซูจิ้จ้องมองกระดาษ 1,200 แผ่นที่อยู่ตรงหน้าด้วยตาลุกวาว เขาอ่านพวกมันอย่างรวดเร็วและยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ สายตาของเขาก็ยิ่งเป็นประกาย ยิ่งอ่านเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทุกขณะ คำหลายคำในหนังสือช่างคุ้นเคย จนทำให้วิถีแห่งใต้หล้าที่อยู่ในจิตสำนึกของเขาเริ่มประมวลผลออกมา
“หมัดราชาปีศาจวัว”
“เพลงหมัดพยัคฆ์คำรณ”
“พระสูตรมังกรแท้คืนกลับ”
“พระโพธิสัตว์มังกรฟ้าผันแปร”
“พระสูตรพระเจ้าแปดพระองค์”
เพียงซูจิ้งมองแค่เนื้อหาบางส่วน พบเจอคำที่คุ้นเคยประมาณสองสามคำ ต่อให้ไม่ต้องอ่านทั้งเล่มก็ตาม
แต่ซูจิ้งก็พอบอกได้แล้วว่าขยะพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯใดกันแน่
ทันทีที่เขานึกออกใจของเขาเต้นเร็วอีกครั้ง
เอาจริงๆนี่เขาไม่ต้องหาอะไรมายืนยันเพิ่มเติมก็ฟันธงได้แล้ว
เพราะตอนนี้แค่ดูจากชื่อเพลงหมัดที่ปรากฎอยู่ในตำราเล่มนี้ก็บอกได้แล้วว่ามาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่