ตอนที่ 252 พาภรรยาและลูกมาวุ่นวาย

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

พระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนกลับจวนอย่างมีความสุข เพิ่งเดินเข้าจวน ก็สั่งพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “สั่งการไปว่า ตั้งแต่วันนี้ จัดเตรียมงานแต่งของซื่อจือ ด้านในและด้านนอกจวนแขวนโคมไฟสีแดงในทั่วก่อน ให้คนทั่วเมืองหลวงรับรู้ว่าจวนอ๋องฉีของเราจะจัดงานมงคลสมรส”

 

 

แม้ว่าไม่ทำเยี่ยงนี้ เกรงว่าคนทั่วเมืองหลวงน่าจะรู้กันทั่วแล้ว แต่เห็นพระชายาฉีดีใจเยี่ยงนี้ พ่อบ้านกลืนคำพูดที่จะเอ่ยลงไป รับคำสั่งอย่างดีใจและสั่งลงไปทันที

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับไปที่เรือนของตน พระชายาฉีไปที่ห้องหนังสือด้านนอก

 

 

ตั้งแต่พระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้คนยกสินสอดไปที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยว ท่านอ๋องฉีก็มีสภาพเดียวกับฮ่องเต้ เงยหน้าขึ้น สายตาเหม่อมองไปที่เพดาน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่หรือไม่คิดอะไรเลย ปล่อยให้สมองของตัวเองว่างเปล่า จนพระชายาฉีเข้ามาในห้องทำงาน ท่านอ๋องฉีจึงจะรู้สึกตัว แสดงรอยยิ้มออกมา “ตระกูลเมิ่งตกลงแล้วหรือ”

 

 

พระชายาฉียิ้มแล้วพยักหน้า เดินไปข้างหน้าโต๊ะทำงาน มองดูโต๊ะทำงานที่ยุ่งเหยิง ดึงแขนเสื้อขึ้น แล้วเริ่มจัดเก็บ

 

 

“เริ่มแรกครอบครัวเมิ่งก็ลังเลใจ แต่ข้าบอกเนื้อหาในพระราชโองการให้พวกเขาฟัง พวกเขาจึงตกลงอย่างไม่มีทางเลือก”

 

 

มองดูนางดึงแขนเสื้อขึ้น เหมือนครอบครัวทั่วไป ช่วยเขาจัดเก็บ ท่านอ๋องฉีรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะเดียวกันภายในใจก็รู้สึกเสียใจ หลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาไม่เคยทำอะไรรุนแรงกับนาง แต่นอกจากให้เกียรติในฐานะพระชายาที่นางควรได้รับแล้ว ก็ไม่เคยใส่ใจอะไรนางมากมาย จนถึงตอนนี้ ก็มีแต่นางที่ไม่เคยไปไหน ไม่เสียใจหรือเกลียดชังและอยู่กับเขามาโดยตลอด ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่พระชายาที่ดี แล้วยังทำหน้าที่ภรรยาที่ดีอีกด้วย นี่คือเรื่องที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน และไม่เคยคาดหวังมาก่อน

 

 

พระชายาฉีจัดเสร็จ ก็ไปล้างมือที่กะละมังข้างๆ เช็ดให้แห้ง ยกเก้าอี้หนึ่งตัวมานั่งข้างหน้าท่านอ๋องฉี “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าเศร้าเรื่องใด มีคำสุภาษิตคำหนึ่งกล่าวได้ดี ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน ท่านอย่าได้กังวลมากไป ถ้าหากสวรรค์เมตตา โยวเอ๋อร์ตั้งท้อง เราก็เป็นท่านปู่ท่านย่าอย่างวางใจ เลี้ยงหลาน ใช้ชีวิตจนแก่เฒ่า ถ้าหากไม่มี งั้นหม่อมฉันก็ออกเดินทางกับท่าน หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก นอกจากเมืองหลวงแล้วยังไม่เคยไปที่ใดเลย บนบ่าของท่านแบกรับหน้าที่ของตน หลายปีมานี้ ก็ไม่เคยใช้ชีวิตในแบบที่ตนต้องการ หม่อมฉันคิดไว้แล้ว เราฉวยโอกาสที่ยังมีแรงอยู่ ออกเดินทางไปรอบๆ ไปดูทะเลภูเขาของรัฐอู่ ไปใช้ชีวิตอิสระและมีความสุขกับท่าน”

 

 

ตั้งแต่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีบุตรยาก แม้ว่าท่านอ๋องฉีจะส่งคนออกตามหาหมอดังทั่วรัฐอู่ แต่ก็ก้าวผ่านด่านในใจนั้นไปไม่ได้ ตอนนี้ฟังคำพูดของพระชายาฉีแล้ว รู้สึกสมองปลอดโปร่งขึ้นมาทันที ในใจก็โล่งอกทันที แสดงความดีใจออกมา ร่างกายก็มีชีวิตชีวาขึ้นทันที จับมือของพระชายาฉีขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันว่า “ข้าโง่เขลาเอง พระชายาพูดถูก ถ้าหากพวกเขาไม่มีลูก ข้ากับเจ้าเราจับมือกันไปดูทะเลภูเขากันอย่างไม่ต้องกังวลใจ”

 

 

พระชายาฉียิ้มแล้วพยักหน้า “หลายปีมานี้หม่อมฉันอยู่แต่ในเมืองหลวง ที่อยากไปที่สุดคือออกไปดูข้างนอก ถ้าหากมีท่านไปด้วย ทั้งชีวิตนี้ไม่หวังอะไรอีก”

 

 

ในใจของท่านอ๋องฉียิ่งซาบซึ้งใจมากขึ้นไปอีก จับมือของนางไว้แน่น ใช้แรงเล็กน้อย ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดของตนภายใต้เสียงร้องตกใจของพระชายาฉี เพ่งมองนางอย่างใกล้ชิด

 

 

พระชายาฉีถูกมองจนหน้าแดง “ท่านอ๋อง ท่าน…”

 

 

อ๋องฉีแนบริมฝีปากลงไป

 

 

แต่งงานมานานหลายปี เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องฉีกล้าทำเรื่องเยี่ยงนี้ที่นี่ ร่างกายของพระชายาฉีสั่นเล็กน้อย อยากผลักตัวเขาออก

 

 

มือของอ๋องฉียิ่งแรงขึ้น อุ้มนางขึ้นมา แล้วเดินไปทางเตียงด้านในที่เอาไว้พักผ่อนในห้องหนังสือ

 

 

พระชายาฉีรู้สึกถึงการกระทำของเขา ยิ่งดิ้นมากขึ้น ออกเสียงอย่างสุดชีวิตออกมาเป็นระยะๆ ว่า “ท่านอ๋อง ข้า…”

 

 

อ๋องฉีจะฟังคำพูดของนางได้อย่างไร ลากริมฝีปากลงมา ข่มขู่ข้างๆ หูของนางว่า “ถ้าหากเจ้าไม่อยากให้ทุกคนในจวนรู้ว่าเราทำอะไรกันในห้องหนังสือ ก็ยอมข้าแต่โดยดี ถ้าหากไม่ วันนี้ทั้งวันเจ้าอย่าคิดว่าจะได้ออกจากห้องนี้อีกเลย”

 

 

ถ้าหากรู้ว่านี่คือผลที่ตนมาปลอบเขา ให้ตายพระชายาฉีก็ไม่เข้ามาในห้องหนังสือแน่นอน แต่ตอนนี้นางเหมือนดั่งลูกแกะที่รอให้ถูกฆ่าอยู่บนแท่น ปล่อยให้ท่านอ๋องฉีทำตามใจตนทุกอย่าง

 

 

หลิงหลงและทุกคนที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกได้ยินเสียงที่ดังเล็ดลอดออกมา ต่างหน้าแดงแล้วถอยออกไปนอกเรือนห้องหนังสือทันที

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน อ๋องฉีมีชีวิตชีวา ใบหน้ามีความสุข แต่งกายเรียบร้อยจึงอุ้มพระชายาฉีที่ไร้เรี่ยวแรงออกมาจากห้องทำงาน สั่งหลิงหลงว่า “เตรียมน้ำร้อน ข้าจะล้างตัวให้พระชายาเอง”

 

 

รู้ว่าตนร่างกายอ่อนแอ ท่านอ๋องฉีไม่เคยรุนแรงเช่นนี้กับตนเลย ตอนนี้พระชายาฉีไม่มีแม้แต่แรงอ้าปาก ทำได้แต่มุดศรีษะเข้าไปในอ้อมกอดของท่านอ๋องฉี ตัวแดงไปหมดแล้วปล่อยให้เขาอุ้มตัวเองเข้าไปในเรือนของตัวเอง

 

 

เรื่องนี้ไม่นานก็เข้าหูหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินก็ยิ้มออกมาจากใจจริง มีเสด็จแม่เปลี่ยนอารมณ์ของเสด็จพ่อ ต่อไปความกดดันของโยวเอ๋อร์จะได้น้อยลง

 

 

ถ้าหากพระชายาฉีรู้ว่าเขามีความคิดเช่นนี้ จะต้องชี้จมูกแล้วด่าเขาว่า ‘เจ้าลูกอกตัญญู’ อย่างแน่นอน เสียดาย ตอนนี้นางไม่มีแม้แต่แรงจะลืมตา

 

 

หลังจากพระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนกลับไป สั่งคนให้เฝ้าสินสอดด้านนอกประตู ครอบครัวเมิ่งทุกคนกลับเข้าไปปรึกษาหารือกันเรื่องแต่งงานของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

 

 

สินเดิมของฝ่ายหญิงได้จัดเตรียมไว้นานแล้ว แต่ครอบครัวเมิ่งรีบมาเมืองหลวง จึงไม่ได้เอาอะไรมาเลย ในเมืองหลวง ซุนเชี่ยนได้เตรียมไว้แล้วบางส่วน แต่ถ้าเทียบกับหนึ่งร้อยแปด**บแล้ว ก็ยังห่างไกลกันมาก

 

 

เมิ่งจงจวี่กล่าวว่า “ในเมื่อเราแต่งกับจวนอ๋องฉีที่สูงส่งกว่า เรื่องสินเดิมเราจะปล่อยผ่านไม่ได้ พวกเขาให้สินสอดทั้งหมดหนึ่งร้อยแปด**บ พวกเราต้องมากกว่าห้ามน้อยกว่า ดังนั้น พวกเราเตรียมหนึ่งร้อยห้าสิบหก**บ เดี๋ยวสั่งคนไปยกของที่บ้านมา ดูว่ายังอีกเท่าไหร่ ใช้เวลาที่คนในครอบครัวยังอยู่เมืองหลวง รีบไปจัดการให้เรียบร้อย”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยา เมิ่งเสียนสองสามีภรรยา และเมิ่งฉีสองสามีภรรยาไม่คัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ยอม “ท่านปู่ พวกเขาเป็นคนจวนอ๋องฉี แน่นอนว่าเงินทองของพวกเขานั้นหนาแน่นมากกว่าเราอยู่แล้ว สินสอดหนึ่งร้อยแปด**บนี้เล็กน้อยมาก แต่ครอบครัวเราไม่เหมือนกัน หนึ่งร้อยห้าสิบหก**บเยอะเกินไป ข้าคิดว่า เราให้ครึ่งหนึ่ง ให้ห้าหกสิบ**บเป็นพอเจ้าค่ะ”

 

 

“เจ้าเด็กโง่” เมิ่งซื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ลูกสาวบ้านอื่นแต่งออกเรือน แทบจะขนสมบัติทั้งหมดของครอบครัวไป ใครจะเหมือนเจ้า กังวลมากเกินไป เจ้าไม่รู้หรือว่าอยู่ในเมืองหลวงมีสินเดิมติดตัวไว้เยอะๆ ดีแค่ไหน เมื่อใดที่เจ้าต้องการ อยากใช้เท่าไหร่ก็ใช้ ไม่มีใครว่าอะไรเจ้าได้”

 

 

“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวคลอเคลียอยู่ข้างๆ เมิ่งซื่อ กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ครอบครัวเราเป็นครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ถ้าหากยกสินเดิมให้ข้าไปหนึ่งร้อยห้าสิบหก**บจริงๆ ครอบครัวเราก็ไม่เหลืออะไรแล้วแน่ๆ ต่อไปท่านปู่ ท่านย่า แล้วก็ท่านทั้งสอง ยังมีพี่ชายกับพี่สะใภ้ทุกคน ต้องกินลมแทนแล้วนะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งซื่อหัวเราะออกมา “ครอบครัวเรามีโรงงาน จะกินลมได้เยี่ยงไร เรื่องสินเดิมเจ้าไม่ต้องยุ่งอีก ข้ากับพ่อเจ้าจัดการเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าไม่มีใครฟัง ก็รู้สึกร้อนใจ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ต้องให้สินเดิมข้ามากมายขนาดนั้นจริงๆ ข้ามีกิจการของตัวเอง กิจการในมือของอี้เซวียนก็มีไม่น้อย แม้ว่าไม่ใช้ของในจวนอ๋องฉี พวกข้าก็ใช้ไม่หมด”

 

 

เหล่าเมิ่งซื่อโบกมือเรียกนาง เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไป คลอเคลียอยู่ข้างๆ นาง เรียกด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ท่านย่าเจ้าขา”

 

 

“เรียกย่าก็ไม่มีประโยชน์” เหล่าเมิ่งซื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ครอบครัวเรามีวันนี้ได้ เป็นเพราะเจ้าหามาทั้งนั้น อย่าว่าแต่แค่นี้ แม้ว่าจะเอาทุกสิ่งในบ้านไป พวกข้าก็ไม่เสียใจ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตาโต “ครอบครัวคนอื่นแทบไม่อยากให้สินเดิมกับลูกสาว ทำไมครอบครัวเราไม่เหมือนคนอื่น ข้าไม่อยากได้ก็ยัดเยียดให้ข้า ข้าจะไปฟ้องเรื่องนี้กับใครได้บ้างเจ้าคะ”

 

 

เป็นครั้งแรกที่เมิ่งฉียิ้มออกมาในรอบหลายเดือนนี้ กล่าวล้อเล่นออกมาว่า “พูดถูกแล้ว ในครอบครัวเราลูกสาวเนื้อหอมกว่าลูกชาย ตอนนี้ข้าเสียดายจริงๆ เพราะเหตุใดทำไมข้าไม่เกิดเป็นลูกสาว”

 

 

ทุกคนหัวเราะออกมา หวังเยียนยิ้มแล้วผลักเขาหนึ่งที “ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะแล้ว อย่างเจ้า แม้ว่าจะเกิดเป็นผู้หญิง ท่านแม่ก็ไม่รักเจ้าหรอก”

 

 

 

 

คนในห้องหัวเราะออกมาอีกครั้ง

 

 

ช่วงนี้เซิ่งเอ๋อร์สนิทสนมกับเมิ่งเชี่ยนโยว ก้าวขาเล็กๆ มาอยู่ข้างหน้านาง เลียนแบบนางด้วยการคลอเคลียในอ้อมกอดนาง เงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วกล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “ท่านอา ข้าไม่ใช่เด็กผู้หญิง ข้าไม่กินหอม ข้าจะกินของอร่อย”

 

 

ทุกคนหัวเราะออกมาเสียงดังจนหลังคาบ้านแทบปลิว

 

 

 

 

พระชายาฉีเหนื่อยมากเกินไป วันที่สองลุกขึ้นมายังปวดเมื่อยไปทั้งตัว ในใจเตือนตัวเองว่า ต่อไปต้องห่างจากท่านอ๋อง อย่าไปวุ่นวายกับเขาอีก

 

 

ท่านอ๋องฉีเห็นสีหน้าของนางแน่นอน ใบหน้าแสดงรอยยิ้มที่มีความสุขออกมา แต่ก็คิดได้ว่าอีกไม่กี่วันก็เป็นวันแต่งงานของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว มีเรื่องมากมายต้องให้นางจัดการ ตนก็ไม่สามารถรุนแรงกับนางอีก ถ้าหากทำนางเหนื่อยเกินไป คนที่ลำบากก็จะเป็นตน

 

 

แม้ว่าจะพักผ่อนไม่เพียงพอ พระชายาฉีก็ยังคงบังคับตัวเองให้ตื่นขึ้นมาตรวจสอบทั้งในและนอกจวนอีกครั้ง ดูว่ายังมีที่ใดที่ต้องจัดเก็บเพิ่มเติม ส่วนเรือนแต่งงานของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว เตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เป็นเรือนที่เขาพักอยู่ตอนนี้ ตอนนี้พ่อบ้านก็ได้สั่งคนปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดทั้งข้างในและข้างนอกใหม่อีกครั้ง ทุกที่ติดโคมไฟไว้ เป็นบรรยากาศของงานเฉลิมฉลองจริงๆ

 

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังยุ่ง เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงวันที่หกเดือนแปด

 

 

ในจวนของครอบครัวเมิ่งวุ่นวายกันมาก ซุนเหลียงไฉเจ้าโง่นี้ได้พาทั้งครอบครัวไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มากันหมด ไม่ยอมไปพักที่จวนในเมืองหลวงของตัวเอง จะอยู่ในจวนกับครอบครัวเมิ่งไม่ยอมไปไหน ตั้งใจมาวุ่นวายจริงๆ

 

 

ครอบครัวของจูหลานก็มาทั้งครอบครัว ที่มาพร้อมกันยังมีเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวน ทั้งสองตั้งใจว่าต่างคนต่างไปพักร้านของตน แต่เมิ่งซื่อบอกว่าคนเยอะสนุกดี ก็เลยให้พวกเขาพักอยู่ในจวนด้วย

 

 

พวกเขามากันหมด เปาอีฝานก็ไม่ยอมแน่ๆ จับมือภรรยาและลูก ชวนเปาชิงเหอสองสามีภรรยามาด้วยกัน ทันทีที่เข้าประตูมา ไม่รอให้เมิ่งฉีเอ่ยอะไร กล่าวกับเขาว่า “วันนี้พวกข้าทั้งครอบครัวพักที่นี่ เจ้าไปจัดเตรียมที่พักให้พวกข้าด้วย”

 

 

มุมปากของเมิ่งฉีกระตุกเบาๆ หลายครั้ง แล้วนำครอบครัวนี้ที่มาวุ่นวายไปห้องพักที่จัดเตรียมไว้แล้วอย่างไม่มีทางเลือก

 

 

เหวินซื่อก็เป็นคนที่ไม่มีเรื่องก็จะคอยหาเรื่องคนหนึ่ง อุ้มลูกแล้วพาเฝิงจิ้งเหวินมาด้วย พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็แบมือออกมาทันที “งานครบเดือนของลูกข้าเจ้าไม่ได้มา ของขวัญก็ไม่ได้เตรียม ชดเชยมาเลยตอนนี้”

 

 

ใบหน้าของเฝิงจิ้งเหวินแดงขึ้นทันที ผลักเขาด้วยความเกรงใจ กล่าวว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปฟังเขา”

 

 

แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มแล้วหยิบกล่องเล็กออกมาจากกล่องใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ยื่นแล้ววางไว้บนมือของเหวินซื่อ “ตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ข้าก็ได้เตรียมไว้แล้ว”

 

 

“ต้องอย่างนี้สิ” เหวินซื่อรับมา เปิดออก ข้างในเป็นแม่กุญแจทองและกำไลทองเล็ก

 

 

“สวยเหลือเกิน” เฝิงจิ้งเหวินออกเสียงอย่างตกใจ เหวินซื่อก็ตาค้างเช่นกัน

 

 

“อันนี้ข้าออกแบบเอง แล้วให้ช่างทำออกมา ให้เด็กๆ คนละชุด ทุกคนไม่เหมือนกัน”

 

 

“ขอบคุณโยวเอ๋อร์” เฝิงจิ้งเหวินกล่าวออกมาอย่างมีความสุข

 

 

เฝิงจิ้งซูก็อุ้มลูกมาวุ่นวาย ฉู่เหวินเจี๋ยไม่วางใจ ต้องตามมา เมิ่งจงจวี่เห็น ก็เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง อยากจะคุกเข่าทำความเคารพ ฉู่เหวินเจี๋ยห้ามไว้ “วันนี้ไม่มีท่านแม่ทัพ มีแค่เพื่อน”

 

 

แต่ว่า เขาเป็นน้าแท้ๆ ของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่สามารถไม่ไปร่วมงานแต่งของหลานชายได้ หลังจากอยู่ที่นี่สองชั่วโมง ก็พาเฝิงจิ้งซูและลูกไปที่จวนอ๋องฉี

 

 

หลังจากซุนเหลียงไฉเจ้าคนทึ่มนี้พาครอบครัวไปพักแล้ว มุมปากแสดงรอยยิ้มแปลกๆ ออกมาแล้วเตรียมออกไปหาเปาอีฝานพวกเขาทั้งสี่ แต่พอเดินออกมาจากเรือน ก็พบเหวินซื่อคนทึ่มอีกคน

 

 

คนทึ่มสองคนสบตากัน แล้วเอ่ยออกมาพร้อมกันว่า “มา เข้ามาในห้องข้า เรามาปรึกษากันหน่อย เรื่องขัดขวางงานแต่งในวันพรุ่งนี้”

 

 

หลายปีมานี้ถูกหวงฝู่อี้เซวียนข่มมาตลอด กว่าจะรอเขาแต่งงานจริงๆ ในฐานะครอบครัวฝั่งหญิงเราจะปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปได้อย่างไร วันรับตัวเจ้าสาวพรุ่งนี้ จะให้เขารับตัวเจ้าสาวไปง่ายๆ ไม่ได้ ซุนเหลียงไฉคิดเช่นนี้

 

 

กล้าทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวโกรธจนหนีออกจากบ้านไปแปดเดือน ทำให้ตอนที่ภรรยาของข้าคลอดลูก ไม่มีนางอยู่ข้างๆ ทำให้ข้าตกใจจนเกือบเป็นลม แค้นนี้พรุ่งนี้ต้องชำระให้ได้ นี่คือความคิดของเหวินซื่อ