น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยไม่ดีนัก บ่งบอกความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วก็ไม่ใส่ใจ มองเยี่ยเม่ยขึ้นมาบนรถม้า
คนทั้งสองนั่งกันคนละฝั่ง ในเวลานี้ชิงเกอตัดสินใจออกไปนั่งร่วมกับคนขับรถ
เยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของชิงเกอ สายตาจับจ้องเป่ยเฉินอี้อยู่ตลอด เอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชาว่า “ข้าล่ะแปลกใจจริงๆ ว่าตัวเองมีเสน่ห์มากแค่ไหน ถึงทำให้อี้อ๋องคิดคะนึงไม่ลืมเลือน ชายแดนห่างจากที่นี่ตั้งมาก ท่านถึงกับหอบสังขารที่ถูกพิษรอนแรมมาเป็นพันลี้!”
คำพูดเสียดสีเอ่ยออกไปอย่างชัดเจน
เป่ยเฉินอี้กลับไม่เย้ยหยันว่านางมีความมั่นใจจนเกินเหตุ น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังเพียงเอ่ยว่า “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยแปลกใจ ไม่สู้คาดเดาจุดประสงค์ของข้าดู!”
“ฮี่ๆ…” เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็น สายตาเย็นชาประเมินเป่ยเฉินอี้ “ในเมื่ออี้อ๋องสามารถรั้งข้าไว้ที่นี่ได้ ไม่ใช่เพราะท่านมีความมั่นใจว่าผู้อื่นไม่มีความสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของท่านได้หรอกหรือ”
เมื่อนางเอ่ยออกมา เป่ยเฉินอี้เปลี่ยนไปนิ่งสงบลง
ภายในรถม้าเข้าสู่ความสงบเงียบ สายตาไม่เป็นมิตรของเยี่ยเม่ยจับจ้องอยู่ที่เป่ยเฉินอี้ สายตาครุ่นคิดของเป่ยเฉินอี้มองมาที่เยี่ยเม่ย…
เขาพยายามตั้งใจสังเกตอารมณ์ของเยี่ยเม่ย ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ น้ำเสียงในการพูดของนาง ล้วนเป็นความเย็นชา ทั้งยังแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง สิ่งเหล่านี้แตกต่างกับคนในใจเขาโดยสิ้นเชิง
หรืออาจบอกว่า ไม่มีจุดใดที่คล้ายเคียงกันเลย
ในเวลานี้ สายตาของเขาพลันเย็นวาบ ใบหน้างดงามคล้ายสลักจากก้อนน้ำแข็งแผ่ไอเย็นเยียบยากปิดบังออกมากระแสหนึ่ง จ้องมองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงเข้มว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่อยากคาดเดาจุดประสงค์ของข้าจริงๆ หรือแกล้งเดาไม่ถูก”
หากนางคืออาซี บางทีในเวลานี้นางสมควรตื่นเต้นบ้างว่าจะพานางไปที่ไหน เป็นกังวลว่าตัวนางจะแกล้งทำต่อไปได้หรือไม่ จนถึงขั้นเผยพิรุธออกมา
จากนั้น…
นับตั้งแต่เขาเสนอจะพาตัวนางไป นางก็สงบนิ่งมาตลอด ถึงกระทั่งรู้สึกว่าเขามีการกระทำแปลกพิกล นี่ทำให้เขารู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง หากไม่ใช่นางจริงๆ อย่างนั้นอาซี…
ก็คงจะตายไปแล้ว
เยี่ยเม่ยถอนหายใจอีกครั้ง ราวกับว่ามองเขาด้วยความยากลำบาก เอ่ยปากเสียงนิ่ง “อี้อ๋อง ท่านมีอะไรจะเอ่ยก็บอกมาเถิด ไม่ต้องเล่นทายปริศนาตลอดเวลา ข้าฟังไม่เข้าใจ ข้ารู้ว่าปราชญ์อย่างพวกท่านชอบพิรี้พิไร แต่คนอย่างข้าค่อนข้างชอบการสื่อสารแบบง่ายๆ ไม่อยากเหนื่อยเพียงเพราะพูดคุยกับท่านเพียงไม่กี่คำ”
ตามความจริงแล้ว นิสัยเดิมของเยี่ยเม่ยค่อนข้างเย็นชา หาได้ชอบพูดคุยกับคนอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ชอบเล่นทายคำปริศนาพูดจาไม่ชัดเจน
นางรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า เป่ยเฉินอี้น่าจะเห็นนางเป็นใครสักคนหนึ่ง ทว่าก็ยังไม่อาจตัดข้อสงสัยว่านางคือคนในดวงใจของเขาผู้นั้น อย่างไรเสียนางก็สูญเสียความทรงจำจริงๆ แต่ว่า จากจุดยืนของพวกนาง นางไม่อาจเอาความคิดในใจและสถานการณ์ในเวลานี้เอ่ยออกไปตามตรง
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยจบ
เป่ยเฉินอี้กลับยิ้มออกมา หากบอกว่ามีส่วนไหนของอาซีที่เหมือนกับเยี่ยเม่ยบ้าง ก็น่าจะมีแค่เรื่องนี้ ในปีนั้นอาซีใสซื่อราวกับกระดาษขาวสะอาด มักฟังความนัยที่เขาลอบบอกไม่ออก นางจึงบอกเขาว่า การพิจารณาคำพูดของเขาเหนื่อยเกินไป บอกให้เขาเอ่ยวาจาตรงไปตรงมา
ส่วนเยี่ยเม่ย…เขาคิดว่าส่วนใหญ่นางล้วนฟังคำพูดของเขาเข้าใจ แต่นางก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่ยินยอมตอบรับวิธีการพูดคุยของเขา มีความเกียจคร้านเช่นเดียวกันอาซี
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหาจุดที่เหมือนกันจากพวกนางได้หรือไม่ เป่ยเฉินอี้ถึงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง บรรยากาศกดดันในตอนแรกบนรถม้า ก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา
แต่เยี่ยเม่ยยังคงไม่คลายความระวัง สองมือกอดอก หลับตาพิงผนังรถม้าด้านหลัง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้าพักผ่อนสักประเดี๋ยว เมื่อถึงที่หมายแล้วท่านเรียกข้าก็พอ! หวังว่าสิ่งที่อี้อ๋องจงใจทำอย่างลับๆ ล่อๆ อย่างน้อยสุดท้ายก็จะทำให้ท่านพอใจได้!”
“แม่นางเยี่ยเม่ยไม่รู้สึกเฝ้ารอเลยสักนิดหรือ” เป่ยเฉินอี้ถามออกไปประโยคหนึ่ง
เยี่ยเม่ยไม่ลืมตาขึ้น เพียงแค่ตอบกลับไปเสียงนิ่งว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เรื่องในอดีตที่ข้าแสนจะคุ้นเคย อี้อ๋องจะต้องพาข้าไปค้นหาอะไรอีก หวังว่าภายหน้าอี้อ๋องจะทำเรื่องรั้งคนไว้กลางทางให้น้อยลง อย่ามัวแต่สร้างปัญหาให้ผู้อื่น!”
ครั้นเยี่ยเม่ยเอ่ยออกไป
ปฏิกิริยาของเป่ยเฉินอี้ก็คือจ้องมองนาง แล้วถามขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าเรื่องราวในอดีตที่แม่นางเยี่ยเม่ยแสนจะคุ้นเคยนั้นเป็นอย่างไร ข้าเคยสืบประวัติของแม่นาง พบแต่ความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย”
เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขา ถามว่า “นับตั้งแต่ตอนที่ข้ายินยอมปกป้องจิ่วหุน ท่านก็สมควรดูออกแล้วว่าข้าเป็นพวกเดียวกับจิ่วหุน ข้าเองก็เป็นนักฆ่า เพียงแต่ข้าค่อนข้างถ่อมตน ดังนั้นไม่มีชื่อเสียงเช่นเขา”
นักฆ่าผู้หนึ่ง ไม่อาจสืบหาฐานะชัดเจนได้ นักฆ่าส่วนมากเป็นเด็กกำพร้า บ้างก็เป็นเด็กกำพร้าจริงๆ บ้างก็เป็นองค์กรนักฆ่าต้องการให้พวกเขาภักดี จึงจงใจสังหารญาติของพวกเขาทิ้ง
นักฆ่าในยุคสมัยนี้มีจำนวนไม่น้อย หากคิดจะสืบเบื้องหลังของนักฆ่าคนหนึ่ง เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมีคนพยายามตามหาเบื้องหลังของจิ่วหุน แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ
ดังนั้นบอกว่านางเป็นนักฆ่า เขาก็ไม่ต้องไปสืบอะไรอีกแล้ว ทำให้รู้สึกว่าคนผู้นี้จู่ๆ ก็โผล่ออกจากพื้นดิน เป็นความจริงที่พอจะตอบออกไปได้
เพียงแต่หากนางยอมรับว่าเป็นนักฆ่า นั่นก็หมายความว่านางยอมรับว่าตัวไม่เกี่ยวข้องกับจงเจิ้งซีเลย
คิดถึงจุดนี้
เป่ยเฉินอี้สายตาเย็นวาบ ลงมือกับเยี่ยเม่ยในทันที ฝ่ามือฟาดใส่เยี่ยเม่ย หญิงสาวเบี่ยงกายเล็กน้อยหลบฝ่ามือนั้นได้
หลังจากหลบแล้ว นางก็ไม่ขยับอีก
เป่ยเฉินอี้จ้องลงไปในสายตาของเยี่ยเม่ย น้ำเสียงทุ้มต่ำเสนาะหูดังขึ้นว่า “ไฉนแม่นางถึงไม่ตอบโต้”
“เพราะท่านไม่มีจิตสังหารเลย!” เยี่ยเม่ยหาวหวอด หลับตาลงอีกครั้งราวกับว่าง่วงแล้ว “เห็นได้ชัดว่าท่านคิดจะทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองของข้าเท่านั้น อยากรู้ว่าข้าเป็นนักฆ่าจริงๆ หรือไม่ คาดว่าท่านคงได้คำตอบแล้วนะ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนข้าต้องเสียเวลาประมือกับท่านด้วย”
อย่างไรก็ตามจุดประสงค์อันดับหนึ่งของนางในยามนี้ก็คือ ทำให้เป่ยเฉินอี้เชื่อว่านางเป็นเพียงแค่นักฆ่าคนหนึ่ง หาได้มีฐานะอื่น หากประมือกับเขาขึ้นมาจริงๆ พานจะทำให้บรรยากาศดีๆ หายไป เป่ยเฉินอี้จะตัดสินนางอย่างไร ก็ไม่แน่นอนแล้ว
“เอาล่ะ ข้าพักผ่อนก่อน!”
เยี่ยเม่ยรีบจบบทสนทนา แสดงออกว่าไม่คิดจะเอ่ยต่อ
เป่ยเฉินอี้ก็เงียบสงบลง จ้องมองใบหน้าตรงข้ามเขา ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด ปฏิกิริยาตอบสนองของนาง กอปรกับที่เขาอยู่ในห้องวันนั้น พวกเขาเคยประมือกันชั่วครู่ แทบจะบอกได้เลยว่า…
นางคือนักฆ่าจริงๆ คนมีวรยุทธ์ทั่วไปยากจะมีการตอบสนองเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในร่างของนางมีกลิ่นอายกำลังภายในเพียงน้อยนิดเท่านั้น