จางจื่ออันช่วยเด็กสาวมัธยมต้นคนนี้เช็คบิลแล้ว แต่เขาก็แค่จ่ายเงินให้เธอ ไม่ได้บอกว่าเธอไม่ต้องคืนเงิน เพราะนี่เป็นเงินที่เขาให้เธอยืม ไม่ใช่เงินที่เขาให้เธอ
สมัยนี้ที่ยืมเงินคือหลานชาย ที่ติดเงินคือคุณตา สำหรับเขาเงินก้อนนี้จะเป็นสิ่งที่ให้ไปแล้วไม่ได้คืนกลับมาหรือไม่ก็ยังสงสัยอยู่ เพราะการยืมเงินปากเปล่าที่ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรแบบนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย ใกล้เคียงกับการเล่นพนันมากกว่า
ความจริงแล้วเขาเตรียมใจแล้วว่าเธอจะติดเงินไม่ยอมคืน อย่างมากก็ถือเสียว่าเป็นการชดเชยให้การสูญเสียของโรงน้ำชาเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องได้คำขอบคุณสักคำมั้ง?
สุดท้ายเขาหลับตาจ่ายเงิน ยังไม่ทันลืมตา ก็ได้ยินเสียงพูดของเด็กสาวมัธยมต้นและเสียงรองเท้าหน้ากระทบพื้นไม้ดังตึกๆ จากไปอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะ ฉันจะคืนเงินให้คุณทีหลังนะคะ ไปก่อนล่ะ!”
ตอนที่เขาลืมตา ก็เห็นแค่เงาหลังของเธอหายไปตรงข้างหลังฉากกันลมของประตู จากนั้นก็มีเสียงเอี๊ยดดังขึ้น ประตูโรงน้ำชาถูกเปิด แล้วก็ปิดลงทันที
ทั้งสามคนในที่นี้ ซึ่งรวมเขาด้วยต่างก็ตกตะลึง
แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ที่จ้องจับผิดเขาตลอดก็ยังร้องว่าไม่ยุติธรรมแทนเขาเลย “นี่…เด็กคนนี้…ไม่รู้จักมารยาทตั้งแต่เด็กเลยเหรอเนี่ย แม้แต่คำว่าขอบคุณก็ไม่พูดเลยเหรอ”
เถ้าแก่เนี้ยเย่ส่ายหน้าพร้อมยิ้มเจื่อน เธอไม่ได้พูดอะไร แต่สายตากำลังพูดชัดเจนว่า ‘เงินของคุณคงจะไม่ได้คืนแล้ว’
จางจื่ออันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หรือว่าเด็กมัธยมสมัยนี้เป็นแบบนี้ไปแล้ว หรือจะบอกว่าเพราะเด็กรุ่นที่สองของประเทศจีนให้ความสำคัญตัวเองเป็นที่หนึ่งของโลก จึงดูถูกทุกคนทั้งหมด
ที่สำคัญที่สุดคือ เธอประกาศว่าจะคืนเงิน ให้เสี่ยวเอ้อร์แจ้งตำรวจ จากนั้นให้ตำรวจเรียกพ่อแม่เธอมาสั่งสอนเธอสักหน่อยอาจจะดีกว่า แต่เด็กวัยนี้มักจะชอบเอาหน้ามาก อบรมสั่งสอนก็อาจจะไม่ได้ผลอะไร
เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ ดันเหล่าฉาไปด้านหนึ่ง แล้วยืนขึ้นพูดอย่างรีบร้อนว่า “ผมจะออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่ง ผมยังไม่ได้กินเลยนะ อย่าเก็บไปล่ะ!”
อาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่เกิดจากการฝึกแมวและสุนัข เขาจึงขยิบตาให้เหล่าฉาครั้งหนึ่ง ความหมายคือตัวเองจะตามออกไปเรียกเด็กสาวคนนั้น สั่งสอนเธอต่อหน้าสักหน่อย
ลูกแมวและลูกสุนัขไม่เข้าใจภาษาคน กระปรี้กระเปร่าและมักจะเล่นซน เช่น กลิ้งถ้วยแก้ว กัดสายไฟขาด กัดโซฟาทะลุ ฉีกเสื้อผ้าเสียหาย เรื่องประเภทที่ขับถ่ายเรื่อยเปื่อยในบ้านก็พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้คนเลี้ยงสัตว์มือใหม่ต้องปวดหัวมากอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าควรจะสั่งสอนอย่างไร ทำได้แค่ต่อว่าอย่างแรงยกหนึ่ง หรือตีให้จบเรื่องสักครั้ง แต่ก็อาจจะไม่เกิดผล
ความจริงแล้ววิธีการสอนที่ถูกต้องคือจับผิดตรงนั้นเลย จับพวกมันไว้และสั่งสอนพวกมันระหว่างที่กำลังทำความผิด ไม่ใช่รอให้เรื่องจบแล้วค่อยสั่งสอนพวกมัน อย่างนั้นพวกมันไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองถูกทำโทษเพราะอะไร ตัวเองนอนอยู่แท้ๆ เจ้าของกลับตะโกนใส่ตัวเองราวกับเป็นปิศาจ หรือตีตัวเองสักครั้งอย่างน่าประหลาด…
พวกมันไม่เพียงไม่ยอมรับการสั่งสอน อาจจะเกิดการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขว่า ‘เงียบ’ เท่ากับ ‘ถูกตี’ และครั้งหน้าจะก่อความวุ่นวายรุนแรงกว่านี้
มีลูกค้าถามเขา ถ้าทำงานตอนกลางวันหรือออกไปทำธุระข้างนอก กลับมาแล้วถึงเห็นสถานที่เกิดเหตุน่ากลัว แล้วจะทำอย่างไร
ช่วยไม่ได้ รู้ดีอยู่แล้วว่าสัตว์เลี้ยงของตัวเองดื้อแล้วยังไม่ขังพวกมันไว้ในกรง หรือจำกัดพฤติกรรมตอนไม่อยู่บ้าน แบบนั้นก็โทษคนอื่นไม่ได้ จะโมโหตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์
เขาจึงคิดจะเรียกเธอมาชี้แจงความผิดพลาดของเธอต่อหน้า ก็เหมือนสั่งสอนสัตว์เลี้ยงนั่นแหละ แต่เธอไม่ใช่สัตว์เลี้ยง จะฟังเข้าหูหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ เขาทำได้แค่พูดด้วยเหตุผล ต่อว่าหรือตีเธอไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเข้าคุกแล้ว…
ให้การสั่งสอนมอบการสั่งสอนกลับไป เขาต้องกำชับซ้ำๆ ว่าอย่าเก็บชุดน้ำชาของเขา ไม่อย่างนั้นกลับมาแล้วเห็นชุดน้ำที่ยังไม่ได้ดื่มสักคำถูกทิ้งลงขยะไปละก็ เขาคงต้องหลั่งน้ำตาออกมาจริงๆ
เถ้าแก่เนี้ยและเสี่ยวเอ้อร์ก็เข้าใจความตั้งใจของเขา จึงไม่มีใครห้าม พวกเธอก็รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นควรจะได้รับการสั่งสอนจริงๆ
เขารีบเดินไปสองสามก้าว ผ่านฉากบังลม ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป
ไม่เห็นชมรมถ่ายภาพของลั่วชิงอวี่และพวกสาวน้อยนักศึกษาปีหนึ่งในชุดฮั่นแล้ว ถ่ายเสร็จก็น่าจะกลับมหาวิทยาลัยไปแล้ว บนยอดเขาเหลือแค่คนแก่สวมเสื้อและกางเกงสีขาวรำดาบอย่างสบายใจสองสามคน ฟราเทอร์ยังคงถูกล่ามอยู่ที่เสาต้นหนึ่งข้างใต้ระเบียงหน้าประตูบ้าน มองพวกคนแก่รำดาบอยู่เงียบๆ
พอเห็นจางจื่ออันออกมา ฟราเทอร์ก็ยืนขึ้น คิดว่าจะลงเขาแล้ว
เขากวาดสายตามองครั้งหนึ่ง แต่ไม่เห็นเด็กสาวเลย พูดในใจว่าเธอเดินเร็วชะมัด น่าจะเดินลงเขาไปแล้ว จึงโบกมือให้ฟราเทอร์ ไม่ทันได้อธิบายอะไรมากก็เดินลงเขาไปอย่างรวดเร็ว
ทางเดินภูเขามีหมอกจางๆ ตลบอบอวล ยังคงมองไม่เห็นเงาของเด็กสาว
ทางเดินภูเขาล้อมตัวภูเขา เขาคิดว่าเธอคงเดินผ่านจุดเลี้ยวไปแล้ว แต่การมองเห็นของเขาถูกบังเอาไว้ จึงเลียบทางเขาลงไปอย่างรวดเร็ว
ขั้นบันไดค่อนข้างชื้น ลื่นอยู่เล็กน้อย ลงเขายากกว่าตอนขึ้นเขาเสมอ เขาตั้งสติใช้ความเร็วขั้นสูงสุดตามลงไป เลี้ยวสองครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นเธอ กลับเห็นลั่วชิงอวี่ที่รูปร่างเหมือนราวไม้ไผ่เดินโหยกเหยกอยู่ข้างหน้า
ลั่วชิงอวี่เดินลงบันได พลางก้มหน้ามองรูปภาพที่ถ่ายวันนี้ผ่านหน้าจอแอลอีดี เขาจึงเดินช้ามาก และไม่กลัวก้าวพลาดตกเหว…
“รุ่นพี่ลั่ว! เดี๋ยวก่อน!”
เขาเร่งเท้าตามไปขวางลั่วชิงอวี่เอาไว้ “รุ่นพี่ลั่ว เด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นล่ะ”
“ใครเป็นรุ่นพี่ของคุณ?” ลั่วชิงอวี่มองบนใส่เขาครั้งหนึ่ง “เด็กสาวมัธยมต้นอะไร”
“ก็คนที่นายขอเธอถ่ายรูปตอนอยู่บนยอดเขาไง” จางจื่ออันอธิบาย
ลั่วชิงอวี่ตะลึง “เธอไม่ได้เข้าไปในโรงน้ำชาหรอกเหรอ”
“เมื่อกี้เธอออกมาแล้ว นายเห็นเธอไหม” ขณะที่จางจื่ออันถามต่อ เขาก็มองเห็นว่าทางเดินภูเขาข้างล่างว่างเปล่า
ไม่ต้องให้ลั่วชิงอวี่ตอบ จางจื่ออันก็เดาคำตอบได้จากสีหน้าของเขา
ทางเดินภูเขามีเส้นเดียว และยังแคบมากด้วย นอนจากเธอจะบินได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางผ่านตัวลั่วชิงอวี่ไปโดยที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ถือว่าฉันไม่ได้ถามแล้วกัน”
จางจื่ออันส่ายหน้า ก่อนจะหันหลังกลับไปเริ่มขึ้นเขาอีก
“เดี๋ยวก่อน! เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ลั่วชิงอวี่ถามด้วยท่าทางสนใจอย่างมาก เขารู้สึกได้รางว่าๆ อาจจะเกิดเรื่องประหลาดบางอย่าง แม้ปกติเขาจะถ่ายรูปคนและวิวเป็นหลัก แต่ก็ไม่ถือสาที่บางครั้งจะได้ถ่ายรูปสภาพจริงเหมือนในข่าว ขอแค่มีชื่อเสียงและได้เงินก็พอแล้ว
“ไม่มีอะไร ดูสินายเดินโซเซไปหมดแล้ว ฉันแค่พูดเล่นกับนาย” จางจื่ออันหัวเราะ “ตอนลงเขาก็ดูทางด้วยล่ะ อย่าเอาแต่ดูกล้อง ถ้าก้าวพลาดขึ้นมา ใต้เหวไม่ได้ซ่อนพระสูตรเก้าสุริยันไว้นะ”
ลั่วชิงอวี่ยกนิ้วกลางให้เขาด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะทำปากว่า ‘ไปตายซะ’ จากนั้นก็เดินลงบันไดไป พร้อมกับก้มมองกล้องไปด้วย
จางจื่ออันรอให้ลั่วชิงอวี่หายเข้าไปในหมอก แล้วเปลี่ยนเป็นเดินขึ้นเขาด้วยฝีเท้าสบายๆ ก่อนกลับไปบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว