หลังจากกลับถึงยอดเขา จางจื่ออันพลิกยอดเขาที่มีพื้นที่ไม่มาก ตามหาทุกซอก ทุกมุม รวมถึงข้างหลังและข้างๆ โรงน้ำชา เพราะเด็กสาวคนนั้นอาจจะออกจากโรงน้ำชาแล้วยังไม่ได้ลงเขาทันที และอ้อมไปด้านหลังโรงน้ำชาด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เขากลับคิดมุมเดียวว่าเธอลงเขาไปแล้ว
เขาหาทั้งยอดเขารอบหนึ่งแล้วแต่ก็ไม่เห็นเงาของเธอ
ฟราเทอร์สังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของเขาสักพักแล้ว หลังจากเข้ามาใกล้เขาแล้ว มันก็ถามว่า “กระเป๋าเงินหายหรอกหรือ”
“ไม่ใช่หรอก…แต่ก็คล้ายๆ” จางจื่ออันสูดอากาศเย็นๆ ครั้งหนึ่ง “เกิดเรื่องแปลกๆ น่ะ”
“เรื่องแปลกอะไร” ฟราเทอร์สนอกสนใจขึ้นมาทันที
“เด็กสาวมัธยมต้นคนเมื่อกี้ หายไปในพริบตาเดียวได้ยังไงนะ มีปีกเหรอ” เขาพูดด้วยความสงสัย
ฟราเทอร์ตะลึงเล็กน้อย “เด็กสาวคนไหน คนตรงตีนเขาหรือ”
จางจื่ออัน “…” ทำไมรู้สึกว่ากำลังใช้ภาษาเป็ดพูดกับไก่เนี่ย
“เป็นอะไรไป” ฟราเทอร์ยิ่งตะลึง
“เอ่อ…เมื่อกี้ไม่ได้มีเด็กสาวมัธยมต้นคนหนึ่งออกจากโรงน้ำชาหรอกเหรอ เธอไปที่ไหน นายเห็นหรือเปล่า” เขาทำมือขนานกับหน้าอกตรงตำแหน่งใต้คาง บ่งบอกความสูงของเด็กผู้หญิงคนนั้น
ฟราเทอร์จ้องมองเขา ดูเหมือนเขาไม่ได้ล้อเล่น แต่คำพูดของเขาทำให้มันไม่เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จึงยิ้มด้วยท่าทางงุนงง “เมื่อครู่ มีเพียงเจ้าที่ออกจากโรงน้ำชานะ”
เชี่ย?
จางจื่ออันงงเป็นไก่ตาแตก นานทีเดียวถึงจะได้สติกลับมา
“ตั้งแต่ฉันกับท่านผู้เฒ่าฉาเข้าไปในโรงน้ำชา จนฉันออกมาเมื่อกี้ ระหว่างนี้ไม่มีใครเดินออกมาจากโรงน้ำชาเลยเหรอ นายดูรำดาบจนเคลิ้มไปหรือเปล่า เลยไม่สังเกตเห็นน่ะ” เขาพยายามถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อฟราเทอร์ แต่เป็นเพราะเรื่องนี้ประหลาดเกินไปจริงๆ คนตัวใหญ่หายไปกลางวันแสกๆ บนยอดเขานี้มีการแสดงซีรีย์ ‘เอ็กซ์ไฟล์’ หรืออย่างไร
“ข้าไม่ได้เคลิ้มจนถึงขั้นนั้น หากมีคนออกมาจากโรงน้ำชา ข้าต้องรู้แน่” ฟราเทอร์ตอบคำถามของเขาอยู่ข้างๆ
ก็จริง เทียบประสาทสัมผัสของสัตว์ป่าอย่างหมาป่ากับคนแล้ว นี่นับเป็นการสบประมาทหมาป่า ทั้งการดมกลิ่น การได้ยิน และเนื้อบนอุ้งเท้าของพวกมันรู้สึกได้ถึงกลิ่น เสียง และการสั่นสะเทือนที่เกิดจากการเดินได้ ไม่มีทางปล่อยให้คนตัวใหญ่เดินรอดพ้นสายตาไปได้โดยไม่รู้ตัวหรอก
เรื่องนี้ชักจะแหม่งๆ เขาได้ยินเสียงเธอเปิดและปิดประตูชัดเจน ฟราเทอร์กลับบอกว่าเธอไม่ได้ออกจากโรงน้ำชา ความขัดแย้งในนั้น…
เขาเปลี่ยนวิธีถามอีกครั้ง “งั้นก่อนที่ฉันจะออกจากโรงน้ำชา นายได้ยินเสียงเปิดปิดประตูหรือเปล่า”
ถ้าฟราเทอร์ตอบปฏิเสธ อย่างนั้นก็คงทำได้แค่สมมติว่าทั้งโรงน้ำชาตั้งอยู่ระหว่างมิติพิศวงบางอย่างแล้ว
“ได้ยิน”
ฟราเทอร์พยักหน้า “มีคนเปิดและปิดประตู แต่ไม่มีคนเดินออกมา ทีแรกข้าคิดว่ามีใครกำลังจะออกมา แต่ก็เปลี่ยนใจกลับเข้าไปใหม่เสียอีก”
ในที่สุดจางจื่ออันก็หาสาเหตุพบแล้ว
หลังจากเข้าไปในโรงน้ำชาแล้วก็มีฉากบังลมบานหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ย เสี่ยวเอ้อร์ และเขาเห็นแค่เงาร่างของเด็กสาวหายไปข้างหลังฉากบังลม จากนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู ทำให้คิดไปว่าเธอออกจากโรงน้ำชาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเห็นด้วยตาตัวเอง
ฉากบังลมทำหน้าที่บังเท่านั้น ซ่อนคนไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นคำตอบก็คือ เธอเดินไปข้างหลังฉากบังลม เปิดประตู ปิดประตู ทำท่าทางเหมือนตัวเองออกไปแล้ว จากนั้น…ก็หายไประหว่างฉากบังลมและประตู
หรือว่าเธอเป็นแม่มดที่กลายร่างเป็นคนได้?
หรือเธอเป็นคนที่มีวิชาอำพรางตัว? เป็นเผ่ามังกรในตำนานจีนเหรอ
เรื่องลี้ลับเหรอ ดีที่ตอนนี้เป็นตอนกลางวัน แต่เจอผีตอนกลางวันเนี่ยนะ? ถึงวลาดิเมียร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องปิศาจไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย แต่พลังกำจัดปิศาจของฟราเทอร์ก็ไม่ใช่สิ่งที่เทพให้มาเฉยๆ
“เกิดเรื่องแปลกอะไรขึ้นกันแน่” ฟราเทอร์ยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่แล้ว
จางจื่ออันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มันฟังอย่างละเอียด ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่มีเวลาจิ๊บจ๊อยแค่สองสามนาที ถ้ามันหาจุดบอดในความคิดของเขาเจอได้ และอธิบายคำตอบที่สมเหตุสมผลได้ก็คงจะดีมาก
แต่ฟราเทอร์ได้ยินแล้วก็ตกตะลึงเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเป็นไปได้อย่างอื่นเลย
“นี่เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง ตกหล่นที่ตรงไหนหรือไม่ คนตัวใหญ่จะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไรกัน”
มันนึกถึงภูตหมาป่าอินเดียแดงในป่าเรดวูด นั่นก็ไปมาอย่างลึกลับเช่นกัน แต่ภูตหมาเป็นภูตสัตว์เลี้ยงที่ยังไม่สมบูรณ์ ลักษณะพิเศษจึงเป็นอย่างนั้น
“แต่ไม่มีคำอธิบายอื่นที่น่าเชื่อถือกว่านี้อีก” จางจื่ออันเกาหัว ถึงขนาดรู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่ได้ตามออกมาก็คงดี ไม่เห็นก็ไม่ว้าวุ่นใจ จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องแปลกแบบนี้
หนึ่งคน หนึ่งหมาป่ามองหน้ากัน จำลองเหตุการณ์ทั้งหมดอีกรอบ แต่ยังดูไม่ออกว่าเธอหายไปได้อย่างไร
พวกผู้อาวุโสรำดาบเสร็จแล้ว พวกเขาพักผ่อนอยู่บนก้อนหินครู่หนึ่ง พูดจาหัวเราะเฮฮาลงจากเขากันเป็นกลุ่ม
บนยอดเขาเงียบสงัดลงโดยพลัน
จางจื่ออันคิดไม่ตก แต่คิดต่อไปอย่างนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดี จึงพูดกับฟราเทอร์คำหนึ่ง แล้วตัวเองก็กลับเข้าไปในโรงน้ำชาอีกครั้ง
ชุดน้ำชาที่เขาสั่งไว้ยังอยู่บนโต๊ะอย่างดี
“ไปนานขนาดนี้ ถ้าไม่ได้จ่ายเงินแล้ว ฉันคงคิดว่าคุณถือโอกาสชิ่งหนีไปแล้ว…” เสี่ยวเอ้อร์บ่น
หลังจากเขาออกไป เถ้าแก่เนี้ยเย่ยังไม่ได้ชงชาเถี่ยกวนยิน เพราะไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาตอนไหน ชงชาเสร็จแล้วรอเขากลับมาก็อาจจะเย็นชืดหมด ตอนนี้เขากลับมาแล้ว เธอจึงเริ่มชงชา
จางจื่ออันกลับมานั่งก้มหน้าบนเก้าอี้ ชามะลิเย็นชืดไปบ้างแล้ว แต่อุณหภูมินี้เหมาะกับลิ้นแมวที่ประสาทสัมผัสว่องไวพอดี เขาจึงเทน้ำชาสองถ้วย ดันถ้วยหนึ่งให้เหล่าฉา และขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยที่เสนออุ่นน้ำชาให้เขาอีกครั้ง
“คุณสั่งสอนเด็กคนนั้นหรือยัง” เสี่ยวเอ้อร์เห็นสีหน้าเขาไม่ค่อยดี จึงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขากระแอมครั้งหนึ่ง “แน่นอน ผมสั่งสอนเธอไปอย่างหนักแล้ว เธอคงรู้ความผิดแล้วแหละ เธอสำนึกผิดอย่างลึกซึ้งเลย และรับประกันว่าหลังจากนี้จะไม่ทำผิดอีก เธอเม็มช่องทางการติดต่อของผมเอาไว้แล้ว บอกว่ากลับไปจะเอาเงินแต๊ะเอียมาคืนให้ผม…”
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ถึงแพ้ยับเยินขนาดไหนก็ต้องพยายามต่อไป หากต่อยหน้าตัวเองจนบวมให้คนอื่นคิดว่าอ้วนก็ต้องทำ
เถ้าแก่เนี้ยและเสี่ยวเอ้อร์เชื่อครึ่ง สงสัยครึ่ง เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนคนที่ยอมรับการสั่งสอนง่ายๆ แต่พวกเธอไม่ได้อยู่ด้วย ถึงไม่เชื่อก็ไม่มีหลักฐานอะไร
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ยก็ชงชาเถี่ยกวนยินเสร็จแล้ว เสี่ยวเอ้อร์จึงยกมาเสิร์ฟเขา จากนั้นพวกเธอสองคนก็กลับไปคุยกันเสียงเบาข้างหลังเคาน์เตอร์ เป็นเรื่องจิปาถะในชีวิตจำนวนหนึ่ง บางครั้งก็พูดถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วย
ส่วนเรื่องจางจื่ออันมาคนเดียวแต่กลับสั่งชาสองถ้วย พวกเธอเคยเห็นเรื่องแปลกแบบนี้ตั้งแต่หนึ่งปีก่อนแล้ว
คำพูดของเขาหลอกได้แค่พวกเธอ แต่หลอกเหล่าฉาไม่ได้ มันสังเกตสีหน้าและน้ำเสียงของเขา เดาว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เขาพูด จึงถือโอกาสกระโดดจากหน้าต่างออกไปข้างนอกตอนชงชา แล้วถามฟราเทอร์อย่างละเอียด หลังจากกลับมาก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
เหล่าฉาดมกลิ่นแล้ว กลิ่นของเด็กผู้หญิงคนนั้นหยุดอยู่ระหว่างประตูและฉากบังลมจริงๆ ส่วนกลิ่นที่เธอทิ้งไว้ข้างนอกก่อนหน้านี้ก็ถูกลมพัดกระจายไปแล้ว
เหล่าฉากลับมาแล้วก็ส่ายหน้าเล็กน้อย บ่งบอกว่ามันก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
จางจื่ออันก็เดาไว้อย่างนั้น หนึ่งคน หนึ่งแมวจิบชากันเงียบเชียบไม่พูดจา บนใบหน้ามีรอยยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ
วันนี้พวกเขาสามคนนับว่าเจอกับความล้มเหลวที่ไม่ได้คาดคิดแล้ว