ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ความพ่ายแพ้อย่างราบคาบทำให้กองทัพฝ่ายศาสนจักรตกอยู่ในห้วงชะงักงัน เซียวอวี๋ยกพลออกมาถล่มพวกเขารอบหนึ่งแล้วก็กลับไปนอน ฝ่ายศาสนจักรยังไม่มีโอกาสได้เห็นกำแพงของเมืองไลอ้อนอย่างชัดเจนเสียด้วยซ้ำ และนี่เป็นเพราะว่าเซียวอวี๋ทราบว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เตรียมพร้อมกำสงครามทันที ผลลัพธ์จึงปรากฏดังที่เห็น

ในคืนนั้น เซียวอวี๋ลอบปลีกตัวออกมาเตรียมสั่งการให้กองทัพอันเดดบุกเข้าโจมตีพวกศาสนจักร

ภายใต้การบัญชาการของอาร์ทัส ไพร่พลอันเดดผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้ทำร้ายชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่น้อย สิ่งนี้เป็นการปูทางสำหรับเพิ่มความคิดเห็นของมวลชนในอนาคต ดังนั้นพวกมันจะต้องไม่สร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับผู้คนทั่วไป

ในเมื่อศาสนจักรเดินทางมาถึงที่ ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาอันดีที่จะให้พวกเขาได้สัมผัสพลังของพวกอันเดด ไม่ว่าศาสนจักรมีหน้าที่กำจัดสิ่งชั่วร้ายหรอกหรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาได้เผชิญกับสิ่งชั่วร้ายเสียหน่อย

ในคืนที่ลมพัดโชย เซียวอวี๋นำกองทัพอันเดดคืบคลานเข้าใกล้ค่ายกระโจมของศาสนจักร เนื่องเพราะศาสนจักรมีกำลังพลจำนวนมาก ดังนั้นกระโจมจึงเรียงรายทอดยาวหลายสิบกิโลเมตร ดังนั้นพวกเขาจึงดูแลได้ไม่ทั่วถึงทุกจุด

และด้วยเหตุข้อนี้เอง เซียวอวี๋จึงกล้านำกองทัพอันเดดลอบเข้าโจมตี

เสียงพูดคุยจากภายในค่ายดังให้ได้ยินตั้งแต่ไกล แสดงให้เห็นว่าภายในค่ายแห่งนี้ไม่มีกำลังหลักของศาสนจักรอยู่ ไพร่พลที่ถูกรวบรวมมาจึงไม่มีระเบียบนัก

บางทีอาจเป็นเพราะศาสนจักรมั่นใจเกินไป หรือบางทีอาจเพราะด้วยความเร่งรีบ ค่ายกระโจมของพวกเขาจึงสร้างขึ้นจากเสาไม้ธรรมดา ไม่ได้มีการเสริมแกร่งแต่อย่างใด

นี่เปิดโอกาสให้เซียวอวี๋และกองทัพของเขาลอบเข้าโจมตีได้ง่ายขึ้น

ปึง ปึง ปึง

เสียงรถบดเนื้อชนปะทะกำแพง ก่อนที่กำแพงไม้จะพังลงไปทั้งแถบ อันเดดจำนวนมากกรูกันเข้าไปตามช่องว่างและแยกย้ายเปิดฉากโจมตีอย่างรวดเร็ว

“อ๊า…นั่นมันตัวอะไร?”

แม้ทหารศาสนจักรบางส่วนจะถูกปลูกฝังแนวคิดให้กำจัดสิ่งชั่วร้าย แต่อันที่จริงก็ใช่ว่าพวกเขาจะพบเห็นสิ่งชั่วร้ายอย่างอันเดดได้บ่อยๆ บางคนกระทั่งไม่เคยพบเคยเห็น พวกอันเดดนั้นแทบจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่ภายในเรื่องเล่าสำหรับพวกเขา

วันนี้ จู่ๆก็ปรากฏอันเดดจำนวนมากขึ้นตรงหน้า สถานการณ์จึงกลายเป็นปั่นป่วนวุ่นวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังอาร์ทัสได้เปลี่ยนซากศพให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้มีขนาดใหญ่โต ซ้ำร้ายสภาพภายนอกของมันยังดูสยดสยอง

หนึ่งในสัตว์ประหลาดยักษ์มีรูปร่างคล้ายแรดตัวหนึ่งซึ่งมีความสูงราวเจ็ดถึงแปดเมตร ยาวนับสิบเมตร ขนาดของมันไ่ได้ต่างไปจากรถไฟที่วิ่งหลุดราง เมื่อเจ้ารถไฟตัวนี้เริ่มออกวิ่ง ทั่วทั้งค่ายก็เริ่มพังทลาย เหล่าอัศวินที่พยายามจะเข้าหยุดยั้งต่างก็ถูกชนและเหยียบซ้ำกลายเป็นกองเนื้อไป

อาวุธที่พุ่งเข้าใส่ร่างของเจ้าแรดตัวนี้ส่วนใหญ่แทบไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับมัน นั่นก็เพราะว่าเจ้าแรดตัวนี้นั้นเป็นอันเดด การโจมตีทางกายภาพนั้นแทบไม่ส่งผลกับอันเดด และพวกอัศวินของศาสนจักรส่วนใหญ่ที่ประจำการภายในค่ายตอนนี้ก็ล้วนแต่เป็นอัศวินหน้าใหม่ พวกเขายังใช้เวทแสงได้ไม่คล่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากเอาคนธรรมดามาต่อกรกับพวกอันเดด

ศาสนจักรบาดเจ็บล้มตายด้วยอัตราที่น่าขนลุก พวกเขาแตกพ่ายภายในชั่วอึดใจ แม้ไพร่พลส่วนใหญ่จะถูกล้างสมองจากศาสนจักร กระนั้นก็ยังไม่อาจเทียบกับสัญชาตญาณความกลัว พวกเขาอาจจะไม่กลัวความตาย แต่ยามที่เผชิญกับอันเดดที่ฆ่าไม่ตายและสหายร่วมรบยังล้มตายดุจใบไม้ร่วงที่ตรงหน้า ความกลัวก็กลายเป็นที่สิ่งผลักดันให้พวกเขาหันหลังวิ่งหนี

“ผู้ใดกล้าล่าถอย?” หัวหน้านายกองต่างๆรีบเข้าควบคุมสถานการณ์ พวกเขาชักดาบหรือปลดค้อนจากแผ่นหลังลงมากำมั่น แสงสีขาวเริ่มเปล่งจากภายในร่างจนเกิดเป็นรัศมีสีทองลางๆ

ทว่าแม้พวกเขาจะดูแข็งแกร่ง แต่พลังจริงๆของพวกเขาแข็งแกร่งนักหรือ? คำตอบคือไม่ พลังของพวกเขามีข้อจำกัด กล่าวคือ หากพลังของสองมีใกล้เคียงกัน พลังของพวกเขาก็อาจจะดูแข็งแกร่ง แต่หากว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า เช่นนั้นพลังของพวกเขาก็แทบจะไม่ส่งผลคุกคามใดๆ

ยามที่เหล่าหัวหน้านายกองและกลุ่มอัศวินที่ใช้เวทธาตุแสงได้รุดมาถึง อาร์ทัสก็ชักดาบฟรอสต์มัวร์ก่อนจะกระตุ้นม้าคู่ใจโถมเข้าหา

เนื่องด้วยอิทธิพลพลังจากแน็กแรมที่ปรากฏขึ้น ความแข็งแกร่งของอาร์ทัสในเวลานี้จนบรรลุถึงขีดขั้นสุดของขั้นที่หกแล้ว เขาควบม้าพลางสะบัดดาบฟรอสต์มัวร์ในมือไม่กี่ครั้งก็ปลิดปลงศีรษะของเหล่านายกองได้หลายหัวโดยแทบไม่ลำบากกินแรง

“ให้ตายสิ อาร์ทัสกลายเป็นแข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว” มองดูอาร์ทัสกวัดแกว่งดาบฟรอสต์มัวร์ เซียวอวี๋ก็ได้แต่พึมพำกับตนเอง นั่นก็เพราะว่าเวลานี้ จากที่ได้เห็นอาร์ทัสแสดงฝีมือ เขาสามารถบอกได้เลยว่าในหมู่ฮีโร่ของเขาไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะอาร์ทัสได้แล้ว

อาร์ทัสในเวลานี้แข็งแกร่งจนน่าพรั่นพรึง ยิ่งเมื่อรวมกับความสามารถในการบัญชากองทัพซากศพของเขาที่จำนวนยิ่งมายิ่งมาก กองทัพศาสนจักรจึงกลายเป็นถูกเข่นฆ่าแต่เพียงฝ่ายเดียว แทบจะไร้หนทางโต้กลับ

เมื่อได้เห็นสหายตกตายไปต่อหน้าก่อนจะลุกขึ้นมาจับดาบโถมเข้าใส่พวกเขา พวกอัศวินของศาสนจักรก็แทบจะหมดแรงสู้

อาร์ทัสนำกองทัพอันเดดเข่นฆ่าไปตลอดทาง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ค่ายของศาสนจักรก็ราบพณาสูร

“กองทัพศาสนจักรนี้อ่อนแอเกินไปแล้ว พวกเขาทำไม่ได้แม้แต่ซื้อเวลา…หรือศาสนจักรจะพ่ายแพ้ไปในลักษณะนี้?” เซียวอวี๋กวาดตามองดูฉากโดยรอบ ทั่วทั้งค่ายเวลานี้กลายเป็นซาก ไพร่พลของศาสนจักรทำได้เพียงวิ่งหนีเอาตัวรอด เซียวอวี๋ดูแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

เดิมทีเขาคิดนำกองทัพอันเดดมาสร้างความปั่นป่วนและตัดทอนกำลังของฝ่ายศาสนจักร แต่เขาคาดไม่ถึงว่ากองทัพอันเดดจะน่าพรั่นพรึงอย่างถึงที่สุด ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นชัยชนะถล่มทลายอย่างที่ปรากฏ

แม้เซียวอวี๋จะยังตะลึงกับความแข็งแกร่งของกองทัพอันเดดไม่หาย แต่เขาก็ยังเลือกจะนำกองทัพอันเดดบุกโจมตีต่อ

เพราะสุดท้ายแล้ว ไพร่พลศาสนจักรล้มตายลงหนึ่งคนก็เท่ากับว่าศัตรูที่เขาต้องเผชิญในสนามรบหายไปหนึ่งคน

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาได้สั่งการกองทัพอันเดด เซียวอวี๋ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นในใจ มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งมายิ่งรู้สึกเสพติด สิ่งนี้อาจจะมอบความสุขล้นได้ช่วงสั้นๆ แต่ผลที่ต้องจ่ายในอนาคตจะยิ่งมายิ่งมาก

แต่เซียวอวี๋ไม่มีทางเลือก เขาจะต้องตัดทอนกำลังฝ่ายศัตรูให้ได้มากที่สุด

หลังจากอัญเชิญกองทัพชุดใหม่จากฐานทัพมนุษย์ออกมา เซียวอวี๋ก็ยังเหลือโควต้าอีกหนึ่งพันยูนิต เซียวอวี๋จึงเลือกอัญเชิญอสูรซากศพออกมาห้าร้อยตัว

อสูรกายพวกนี้มีร่างกายใหญ่โต พร้อมกับตะขอขนาดใหญ่ในมือ พวกมันยังสามารถปลดปล่อยหมอกพิษซึ่งส่งผลอย่างมากในสนามรบ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงเลือกที่จะเพิ่มจำนวนของพวกมัน

นี่จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของกองทัพอันเดด

ในส่วนของพวกอันเดดระดับทั่วไป กองทัพอันเดดเวลานี้ไม่ขาดแคลนแม้แต่น้อย เพราะพวกอันเดดชุดเก่ายิ่งมายิ่งมีระดับสูงขึ้นจนเกิดเป็นเนโครแมนเซอร์ขึ้นมา และเมื่อมีเนโครแมนเซอร์มากขึ้น นักรบโครงกระดูกก็จะมากขึ้นตาม เมื่อรวมเข้ากับพวกอันเดดที่อาร์ทัสปลุกขึ้นมาด้วยตนเองในระยะหลังด้วยแล้ว จำนวนของพวกอันเดดในกองทัพก็มีอยู่หลายหมื่น

ในจำนวนกองทัพหลายหมื่นนี้ ของเพียงพวกมันไม่ตายจนหมดสิ้นในคราเดียว จำนวนของพวกมันก็จะยิ่งมายิ่งเพิ่มมากขึ้น

นี่ก็คือความน่าสะพรึงของกองทัพอันเดด ทหารที่เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นทะเลซากศพ

เซียวอวี๋ยังคงนำพวกอันเดดบุกตีต่อไป เขาสวมผ้าคลุมดำจนมิดชิด แฝงตัวคอยสั่งการอยู่ภายในกองทัพอันเดด หากว่าพบเจออัศวินที่แข็งแกร่ง เขาก็จะออกไปจัดการด้วยตนเองก่อนจะกลืนหายไปกับพวกอันเดดอย่างไร้ร่องรอย

ขณะที่บุกรุกคืบลึกเข้าไปในค่าย อาร์ทัสที่นำกำลังอันเดดล่าสังหารอยู่ด้าหน้าก็เผชิญพบกับพาลาดินขั้นที่หกสองคนโจมตีเข้าใส่ หากทว่าขณะที่ทั้งสองกำลังลอยตัวโจมตีเข้ามา อาร์ทัสเพียงสะบัดดาบครั้งหนึ่งก็ผ่าร่างทั้งสองตายในดาบเดียว

อาร์ทัสนำกลังเข่นฆ่า เซียวอวี๋คอยลอบสั่งการอยู่ใกล้ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้การโจมตีจึงเป็นไปอย่างราบรื่น

ฮีโร่อีกตัวในกองทัพอันเดดก็คือเคลธูซาด ในฐานะฮีโร่ที่ราวกับเป็นช่องโหว่ของระบบ พลังแห่งการปลุกซากซพของเขาแทบจะไร้เทียมทาน ทั้งยังสามารถปลดปล่อยพลังซากศพและดีบัพแห่งความตายใส่ศัตรูจนอัศวินของฝ่ายกลายเป็นอ่อนแอไร้ทางสู้

สถานการณืดำเนินต่อไป ค่ายกระโจมที่ปลูกติดกันค่อยๆถูกบุกโจมตีหลายสิบค่าย มีอัศวินล้มตายนับไม่ถ้วน อย่างน้อยที่สุดในการต่อสู้คืนนี้ก็มีทหารระดับอัศวินตายไปแล้วเรือนแสน

เซียวอวี๋กวาดมองสนามรบและพบว่าอาร์ทัสกับต่อกรกับใครบางคนอยู่ อย่างไรเสีย ที่ศาสนจักรอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก้ย่อมต้องมีดีอยู่บ้าง และหากว่าครั้งนี้ศาสนจักรเคลื่อนกองกำลังระดับสูงออกมา เซียวอวี๋เกรงว่ากองทัพอันเดดของเขาย่อมต้องเกิดการสูญเสียอย่างหนักหน่วงเช่นกัน

ซึ่งอันที่จริง ครั้งนี้ฝ่ายกองทัพอันเดดเองก็เกิดการสูญเสียจำนวนมาก พวกทหารที่เรียกออกมาจากระบบล้มตายไปราวหนึ่งในสี่

ในค่ายศาสนจักรเองก็มีนักรบระดับสูงอยู่เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความสูญเสียที่ศาสนจักรได้รับในครั้งนี้แล้ว จำนวนก็แตกต่างกันอย่างเทียบกันไม่ได้เลย เพราะหลังจากจบศึกนี้ เซียวอวี๋ยังสามารถกลับไปสั่งสร้างอันเดดออกมาทดแทนที่สูญเสียไป แต่ไม่ใช่กับฝ่ายศาสนจักร

และด้วยการเข่นฆ่าในคืนนี้ อันเดดจำนวนมากต่างก็เลื่อนระดับขึ้นหลายระดับ

ทหารจากระบบหลายตัวสามารถเลื่อนระดับไปถึงระดับสิบ และนั่นหมายความว่าพวกมันกลายเป็นเหล่าฮีโร่หน้าใหม่ ซึ่งการเลื่อนระดับฮีโร่หน้าใหม่เหล่านี้ต่างก็เกิดขึ้นในทุกกองกำลังจากระบบ

ในหมู่เผ่าพันธุ์อันเดด จำนวนที่ปรากฏมีค่อนข้างมาก พวกมันมีด้วยกันหลายร้อยตัว พวกมันมีทั้งแมงมุม อสูรกาย การ์กอย และพวกเนโครแมนเซอร์

และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป กองทัพอันเดดก็จะยิ่งมายิ่งไร้เทียมทาน และสุดท้ายก็จะกลายเป็นภัยที่ไม่อาจหยุดยั้ง

เซียวอวี๋กำลังขบคิดถึงวิธีที่จัดการดูแลกองทัพอันเดดหลังสงครามนี้สิ้นสุด

“พักไว้ก่อนก็แล้วกัน อย่างไรเสียก็ต้องมีวิธีสักวิธี” เซียวอวี๋คิดขึ้นในใจ ก่อนจะปลีกตัวกลับไปพักผ่อน