ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ยามเย็นของวันถัดมา สายข่าวทุกคนภายในเมืองไลอ้อนก็ได้ข่าวอันน่าตระหนกเรื่องหนึ่ง พวกอันเดดกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว ทั้งยังเป็นการกลับมาพร้อมกับทำลายกองทัพศาสนจักรเสียจนย่อยยับ

ข่าวนี้ทำให้ผู้คนลอบยินดี พวกอันเดดที่กลบดานอยู่ในเขตเทือกเขาอัลคาเกนไม่เพียงแต่ไม่ทำร้ายชาวไลอ้อน หากแต่ยังผันตัวมาเป็นผู้พิทักษ์เสียอย่างนั้น ทุกคราที่มีศัตรูรุกรานก็เป็นพวกมันที่ออกมาโจมตีเสียจนอีกฝ่ายแตกพ่ายไป

แม้จะมีบ้างบางคนที่สงสัยถึงเรื่องที่พวกอันเดดปรากฏกายออกมาถูกที่ถูกเวลาทุกครั้งไปก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าใด อย่างไรเสียการปรากฏตัวของพวกมันก็เป็นผลดีต่อดินแดนไลอ้อน ยามศึกสงครามเช่นนี้ยิ่งมีพวกมากเท่าใดก็ยิ่งดี ไม่มีผู้ใดจะมาบ่นว่ามีพันธมิตรมากไป เรื่องข้อสงสัยต่างๆจึงเป้นอันตกไป ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงอีก

และด้วยการลอบโจมตีของพวกอันเดดครั้งนี้เองที่ทำให้ศาสนจักรจำต้องเลื่อนแผนการโจมตีที่เดิมเป็นวันนี้ออกไปอย่างฉุกละหุก

ผ่านไปอีกหลายวัน ศาสนจักรเริ่มก่อสร้างค่ายของตนให้แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการลอบโจมตีของทั้งฝ่ายดินแดนไลอ้อนและพวกอันเดด

เดิมที พวกเขาคิดว่าด้วยกองทัพที่มีกำลังพลมากถึงหกล้านนายก็เพียงพอถล่มเมืองไลอ้อนจนราบคาบได้หลายสิบแล้ว หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่ง่ายถึงเพียงนั้น

พวกเขาต้องสูญเสียคนไปมากมายตั้งแต่ยังไม่ทันบุก ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสงครามที่ผ่านๆมา พวกเขาย่อมเคยเผชิญกับขุมกำลังที่กล้าแข็งมาก่อน กระนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้กลับเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพบเคยเจอ เพียงพวกเขาเพิ่งจะหยั่งเท้าตั้งค่ายก็มาถูกเซียวอวี๋ชิงโจมตีก่อนเสียแล้ว

จากศึกที่เกิดขึ้น เหล่าผู้บัญชาการของฝ่ายศาสนจักรต่างก็ทราบแล้วว่าเซียวอวี๋ไม่เหมือนผู้บัญชาการทั่วไป ทั้งยังได้รับทราบความร้ายกาจของพวกอันเดดที่แปลกประหลาดพวกนั้นอีก ทุกครั้งที่ดินแดนไลอ้อนถูกรุกราน เจ้าอันเดดพวกนั้นก็จะปรากฏกายมาโจมตีทุกครั้งไป นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง

บางคนสงสัยว่าเซียวอวี๋จะเป็นผู้ควบคุมให้กองทัพอันเดดบุกมาโจมตี อย่างไรก็ตาม อันเดดพวกนั้นทรงพลังอย่างมาก เซียวอวี๋จะสามารถควบคุมพวกมันได้หรือ?

หรือว่าเซียวอวี๋ยังช่ำชองศาสตร์แห่งความตาย? เขาเป็นเนโครแมนเซอร์ระดับสูง? เรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน อันเดดพวกนั้นแข็งแกร่งกว่าครั้งที่ตระกูลเคเนดี้รุกรานดินแดนไลอ้อนมาก

โดยเฉพาะในกองทัพอันเดดเวลานี้มีตัวตนขั้นที่หกอยู่ด้วย ศาสนจักรต้องสูญเสียพาลาดินขั้นที่หกไปถึงสองคนในศึกนี้

ต้องทราบว่ากว่าจะฝึกให้ถึงขั้นที่หกได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เมื่อผู้บัญชาการของศาสนจักรเออซ่าทราบข่าวนี้ เขาก็ทุบโต๊ะอย่างเดือดดาล พวกเขาต้องเสียพาลาดินขั้นที่หกไปถึงสองคนอย่างเปล่าประโยชน์

ตอนนี้คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาจะรับมือกับพวกอันเดดอย่างไร อันเดดพวกนั้นทรงพลังมาก หากว่าพวกมันบุกมาทุกคืน เช่นนั้นพวกเขาคงมีแต่ต้องถอนทัพกลับอย่างอับอายแล้ว

ด้วยเหตุนี้ เออซ่าจึงสั่งการให้เสริมสร้างป้อมค่ายให้มั่นคงเพื่อป้องกันการลอบโจมตีของพวกอันเดด

และเมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการบุกโจมตีของกองทัพที่หนึ่งของศาสนจักรจึงต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก หลายวันผ่านไปกลับไม่มีการบุกแม้สักครั้ง และฝ่ายเซียวอวี๋เองก็ไม่ได้ส่งพวกอันเดดออกมาก่อกวนอีก อย่างไรเสีย ที่การโจมตีครั้งก่อนประสบผลก็เนื่องเพราะอีกฝ่ายไม่ทันระวัง หากส่งออกไปอีกคงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีสักเท่าใด

ผ่านไปสองสามวัน เออซ่าก็ยังไม่มีคำสั่งให้โจมตี นี่ทำให้ไพร่พลระดับล่างเริ่มเกิดข้อสงสัยขึ้นมา

“ท่านแม่ทัพเออซ่า ท่านเป็นผู้บัญชาการอัศวินสีชาดของศาสนจักร ใยท่านจึงไม่ยอมส่งไพร่พลออกรบ ท่านเพียงนั่งเฝ้าอยู่ทีนี่ ท่านมีเป้าหมายอะไรกันแน่? หรือท่านคิดก่อกบฏต่อสมเด็จพระสันตะปาปา? หรือท่านไม่เชื่อมั่นในพระองค์แล้ว?”

การมาบัญชาการกองทัพครั้งนี้ของเออซ่าได้นำพาลาดินระดับสูงมาด้วยหลายคน ส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ในขั้นที่หกเช่นเดียวกับคริส พาลาดินคนที่กล่าววาจานี้ต่อเออซ่าก็มีศักดิ์เป็นเซนต์ซึ่งมีฐานะสูงมากในศาสนจักร พาลาดินผู้นี้มีชื่อว่า ดัม

เมื่อพระสันตะปาปามอบหมายให้เออซ่าเป็นผู้บัญชาการครั้งนี้ ดัมเองก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งตอนนี้ได้เห็นเออซ่าเอาแต่นั่งจับเจ่าอยู่ในกระโจม ไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนพลโจมตี ดัมก็ใช้ข้ออ้างนี้กล่าวโจมตีเออซ่าทันที

ศาสนจักรเวลานี้ได้กลายเป็นกลุ่มคนบ้าคลั่งไปแล้ว หากมีบางคนสงสัยในคำสั่งของพระสันตะปาปา นั่นจะถือเป็นบาปอย่างมหันต์ และคนผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก

เมื่อได้ยินดัมตั้งคำถามกับตน เออซ่าก็เริ่มเกิดความกังวลอยู่บ้าง ตัวเขาเข้าใจสถานการณ์ภายในศาสนจักรเวลานี้ดี หากกล่าวผิดพลาดไป ทั้งตระกูลของเขาคงถูกจับไปเผาทั้งเป็น

เออซ่าสงบใจลงก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าไม่เคยมีข้อสงสัยต่อคำสั่งขององค์สมเด็จพระสันตะปาปา ข้าเพียงแค่กำลังเตรียมการให้สมบูรณ์พร้อมเพื่อที่ข้าจะได้สามารถกวาดล้างพวกชั่วช้าให้สิ้นซากในคราเดียว ข้าวางแผนจะบุกโจมตีในวันพรุ่ง และข้าหวังว่าท่านดัมจะรับหน้าที่เป็นทัพหน้าไปกำจัดเซียวอวี๋”

เออซ่าไม่ใช่คนเขลา มิเช่นนั้นเขาคงไม่ได้มายืนอยู่ในจุดนี้ ในเมื่อดัมต้องการจะใช้ลูกไม้มาเล่นงานเขา เขาย่อมต้องโต้ตอบกลับไป

ต้องการสู้นักหรือ? ตกลง งั้นเจ้าไปเองเถอะ เวลานี้ฝ่ายเราเสียพาลาดินขั้นที่หกไปแล้วสองคน บางทีเจ้าอาจจะเป็นรายที่สาม

คิดว่าการจะเอาชนะเซียวอวี๋นั้นง่ายนักหรือ? หากยังเอาแต่พึ่งพากลยุทธ์แบบเดิมๆเช่นการใช้จำนวนที่มากกว่าเข้าเล่นงานแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว

ดัมแค่นเสียงก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อท่านต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะถล่มเมืองไลอ้อนให้ราบคาบ หวังว่าถึงตอนนั้นท่านคงจะไม่แย่งชิงผลงานกับข้า”

เออซ่าเงยหน้าหัวเราะ “ท่านดัม ท่านก็รู้จักข้าดี เรื่องการแย่งผลงานผู้อื่นนั้นข้าชิงชังเป็นที่สุด”

“ฮึ่ม พรุ่งนี้ข้าจะนำทัพนักรบศักดิ์สิทธิ์ถล่มเมืองไลอ้อนจนราบคาบเอง” ดัมแค่นเสียงก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากกระโจมไปโดยไม่มีทีท่าให้ความเคารพผู้บัญชาการทัพอย่างเออซ่าแม้แต่น้อย

เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิดัม เพราะดัมกับเออซ่านั้นอุทิศตัวเข้าเป็นพาลาดินให้ศาสนจักรในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งความแข็งแกร่งของทั้งสองยังคู่คี่ก้ำกึ่ง และหากว่าวัดในด้านฝีมือต่อสู้กันจริงๆ เออซ่ายังด้อยกว่าดัมอยู่ครึ่งขั้น ดังนั้นการที่พระสันตะปาปามอบหน้าที่บัญชาการทัพแก่เออซ่านั้นทำให้ดัมไม่พอใจอย่างมาก

มองดูเงาหลังของดัมที่เดินจากไปแล้วเออซ่าก็ได้แต่ส่ายศีรษะ การมีความกล้าเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่คุณสมบัติของพาลาดินที่ดี บางครั้งความกล้าไม่กลัวตายก็อาจนำพาไปสู่หายนะได้เช่นกัน

ครั้งนี้เขาไม่อาจห้ามปรามดัม เพราะหากว่าเขาทำพลาดแล้วดัมรายงานว่าเขาสงสัยต่อคำสั่งของพระสันตะปาปาแล้วล่ะก็ ตัวเขาคงไม่พ้นถูกจับเผาทั้งเป็น

แม้ว่าตัวเขาจะเป็นพาลาดินที่รับใช้ศาสนจักรมาเป็นเวลานาน หากแต่เขาก้ไม่ได้คลั่งศาสนาไม่ลืมหูลืมตาเช่นคนอื่นๆ

เขายังทราบถึงความจริงเกี่ยวกับอูเธอร์ที่ศาสนจักรชูธงขึ้นมา ทั้งยังทราบดีถึงความทะเยอทะยานของพระสันตะปาปา อย่างไรก็ตาม ตัวเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อฟังคำสั่ง ชะตากรรมของเขาถูกผูกเอาไว้กับพระสันตะปาปาเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ล้วนอยู่ในเรือลำเดียวกัน มีแต่ต้องช่วยเหลือกันจะผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้

ความเชื่ออันบิดเบี้ยวที่ทำให้สาวกคลั่งศาสนานั้นถูกนำมาใช้แต่เพียงกับสาวกระดับล่าง มีเพียงสาวกระดับบนเท่านั้นที่ทราบความจริงว่าทุกอย่างนั้นเป็นเพียงกุศโลบาย

และด้วยเหตุนี้เอง พระสันตะปาปาจึงมอบหมายให้เขาทำหน้าที่ผู้บัญชาการทัพ เพราะมีแต่ผู้ที่เยือกเย็นและมีสติเท่านั้นที่จะมีชัยในสงคราม

ในวันต่อมา เรื่องราวได้เป้นไปดังคาด ดัมตื่นตั้งแต่รุ่งสางมาเพื่อเตรียมจัดทัพ ในวันนี้เขาจะทำศึกบุกตีเมืองที่จะกลายเป็นตำนาน

เซียวอวี๋ย่อมทราบข่าวที่ศาสนจักรจะบุกโจมตีอยู่ก่อนแล้ว เขาทราบว่าครั้งนี้จะเป็นการบุกโจมตีอย่างจริงจัง ดังนัน้เขาจึงสั่งการให้ทุกแนวป้องกันเตรียมพร้อมรับมือ

สงครามเมื่อครั้งในจักรวรรดิเมฆา เซียวอวี่ไม่ได้นำกองกำลังจากระบบไปรบทั้งหมด ส่วนใหญ่ที่นำไปก็คือไพร่พลทหารที่รับสมัครมาใหม่ของดินแดนไลอ้อนโดยมีจุดมุ่งหมายคือสั่งสมประสบการณ์

ประสบการณ์จากการผ่านศึกสงครามนั้นมีประโยชน์มาก ที่ส่งผลอย่างเด่นชัดที่สุดก็คือ แม้จะเผชิญหน้ากับกองทัพจำนวนหลายล้านของศาสนจักร พวกทหารฝ่ายดินแดนไลอ้อนก็ไม่มีผู้ใดแสดงท่าทางตื่นสนามออกมา

ไม่ว่าเจ้านำทหารมามากมายเท่าใด หรือยังจะมากกว่าที่พวกเซิกและกองทัพทมิฬเข็นออกมา?

เซียวอวี๋เคยนำทัพชนะศึกมาแล้วหลายครั้งในจักรวรรดิเมฆา มีศึกใดที่เขาเอาชนะมาไม่ได้? และยิ่งพวกทหารได้เห็นเซียวอวี๋นำกองกำลังใหม่ๆมาใช้ออกอย่างเช่น หน่วยคนแคระปืนระเบิด กองพลอสูรเหล็ก และพวกคนแคระขี่นกเหล็กด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้พวกเขามั่นใจในผู้บัญชาการของพวกเขายิ่งขึ้นไปอีก

เซียวอวี๋ออกคำสั่งให้ทุกคนตื่นมารับประทานมื้อเช้าตั้งแต่รุ่งสาง ก่อนจะนำทุกคนทำกายบริหารเป็นการยืดเส้นยืดสายเพื่อเตรียมพร้อมรับมือศึกที่กำลังจะมา

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของศาสนจักรก็กำลังเคลื่อนพลออกจากค่าย เมื่อพวกทหารฝ่ายศาสนจักรได้เห็นทหารฝ่ายดินแดนไลอ้อนทำท่าประหลาดๆอยู่ตามแนวกำแพงก็ได้แต่แปลกใจ เจ้าพวกนั้นกำลังทำอะไรน่ะ? พิธีกรรมมนต์ดำหรือ?

หลังจากทำกายบริหารเสร็จสิ้น พวกเขาก็รู้สึกกระฉับกระเฉงพร้อมสู้ศึก

ตอนนี้ อาวุธโจมตีระยะไกลต่างๆเช่น เครื่องยิงหิน บาริสต้า และเครื่องยิงใบมีดนั้นถูกเตรียมพร้อมแล้วเรียบร้อย ที่เหลือก็เพียงแค่รอให้กองทัพศาสนจักรเข้ามาในระยะยิง

เช้านี้ เออซ่าได้กล่าวให้กำลังใจดัมอยู่หลายคำ เข้าพูดถึงเรื่องเกียรติยศความรุ่งโรจน์ของศาสนจักรที่จะได้หลังกวาดล้างพวกนอกรีตด้านหน้ากรอกหูดัมนับสิบรอบ

ดัมที่ได้ยินได้ฟังก็ยิ่งฮึมเหิม เขายืดอกก่อนจะเดินออกจากกระโจมบัญชาการไปอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม

หลังจากดัมออกไปแล้ว เออซ่าก็แค่นเสียงเย็น

“ไปมารดาเจ้า เจ้าคิดว่าตนเองเป็นพาลาดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนจักรหรือไร? เช่นนั้นก็ไปเถอะ จงไปกลายเป็นตำนานที่ลาลับของศาสนจักรเถอะ”

อันที่จริง ตัวเออซ่าเองก็มีความสงสัยเกี่ยวกับตัวตนในตำนานอย่างอูเธอร์อยู่ ทั้งยังอยากทราบว่าเหตุใด พาลาดินผู้มีฐานะสูงส่งอย่างคริสจึงเลือกที่จะแปรพักต์ต่อศาสนจักรไปเข้าร่วมกับอีกฝ่าย

บางที ถ้าโชคดีเขาอาจจะได้ทราบคำตอบของทั้งสองคำถามในวันนี้

ตึง ตึง ตึง…..

เสียงย่ำกลองรบดังกึกก้อง กองทัพศาสนจักรที่แผ่รังสีน่าเกรงขามกำลังย่ำเท้าเคลื่อนพลไปทางเมืองไลอ้อน……