เฉินจงไม่กลัวคนอื่นมาแข่งกับเขา ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่สามารถทำได้คนเดียวอยู่แล้ว ตอนแรกที่ทำโรงงานกระดาษเขาก็มีคิดไว้แล้ว อีกหน่อยต้องมีคนทำโรงงานกระดาษเช่นกัน แต่ลูกพี่สวี๋รับพวกพี่สะใภ้หงอวี้ทั้งสามคนที่พวกเขาไล่ออกโดยไม่พูดอะไร ค่าจ้างก็ให้มากกว่าบ้านเฉินสิบเหรียญ ข้อนี้น่าเอามาคิด
ถ้าลูกพี่สวี๋สร้างโรงงานเสร็จแล้วเปิดรับสมัครคนงาน และมาเรียกคนที่โรงงานเขาไป และให้ค่าจ้างมากกว่าพวกเขาบ้านเฉิน คนงานพวกนี้จะลาออกจากโรงงานบ้านเฉินไปทำโรงงานกระดาษของลูกพี่สวี๋แทนไหมนะ?
คนพวกนี้เริ่มจากไม่เป็นงานอะไรเลย เฉินจงสอนพวกเขา ตอนนี้ชำนาญกันหมดแล้ว ถ้าถูกซื้อตัวไป ย่อมเป็นผลเสียหายกับโรงงาน
เฉินจงคิดว่าเขาไม่ได้วิตกเกินไป เป็นไปได้ว่าลูกพี่สวี๋จะทำแบบนี้จริง
เฉินเยี่ยนก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เธอรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีคนไม่น้อยสร้างโรงงานกระดาษตามกระแส แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ เพราะโรงงานกระดาษอย่างน้อยต้องใช้เงินลงทุนหลายหมื่นเหรียญ คนมีเงินในหมู่บ้านนั้นน้อย คนที่จะควักเงินพวกนี้ออกมายิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ถึงแม้ว่ามี ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะใจกล้าแบบนี้
เธอคิดว่าน่าจะอีกหลายปี ผ่านไปหลายปีค่อยมีคนสร้างโรงงานกระดาษ
เธอจำได้ว่าชาติก่อนพ่อเธอทำงานในโรงงานกระดาษมาก่อน บอกว่าโรงงานกระดาษได้เงินมาก แต่พอได้เงินก็มีคนทำตาม ภายในไม่กี่ปี ในหมู่บ้านมีคนทำโรงงานกระดาษตั้งสิบสองโรงงาน โรงงานพวกนี้แข่งขันกัน จนสุดท้ายไม่เพียงไม่ได้เงิน ยังขาดทุนด้วยซ้ำ
จนตอนที่เธอจำความได้โรงงานกระดาษพวกนั้นก็ปิดตัวลงหมดแล้ว พ่อเธอยังเคยไปทำงานที่โรงงานกระดาษนอกเมืองเลย
เฉินเยี่ยนไม่กลัวการแข่งขัน ตราบใดที่ทุกเรื่องที่โรงงานพวกนี้ทอย่างเปิดเผย เธอไม่กลัวว่าโรงงานจะไม่มีธุรกิจต่อ จะล่มสลาย แต่เธอไม่ชอบการแข่งขันที่มีเจตนาร้าย
ถ้าลูกพี่สวี๋คนนี้แย่งตัวคนงานที่โรงงานกระดาษไปจริง นั่นคือเจตนาร้าย แต่คนงานพวกนั้นไม่ได้เซ็นสัญญาทาสกับพวกเขา โรงงานกระดาษก็ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ พวกเขาไม่สามารถฝืนไม่ให้คนไปได้
ขึ้นค่าจ้าง?
เฉินเยี่ยนส่ายหน้า แบบนี้จะยิ่งทำให้ค่าจ้างยิ่งสูงขึ้น เสียราคา ค่าแรงที่บ้านเฉินให้นั้นไม่ต่ำเลย เทียบกับคนงานในเมืองแล้วยังสูงกว่า ให้เพิ่มอีกก็ไม่ใช่เรื่อง
“อยากจะซื้อตัวก็ให้เขาซื้อไป จะได้ดูเลยว่าใครที่มีใจจะทำงานกับพวกเราจริงๆ ใครที่คิดแปรเปลี่ยน ยอมโดนซื้อไปเพื่อเงินสิบเหรียญ สิบสองเหรียญ พวกเราก็ไม่ต้องเอาไว้ ไม่ต้องกลัวไม่มีคนชำนาญ ยอมลำบากสอนคนอีกหน่อยก็ได้ พ่อไม่เชื่อว่าเขาจะเอาคนไปทั้งหมดได้ ถึงเขาอยากจะซื้อตัวไป ก็ต้องยอมจ่ายถึงจะได้”
สีหน้าเฉินเยี่ยนดูเย็นชา ถ้ามีคนลาออกเพื่อค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นมาหน่อยเดียว เธอก็จะไม่รั้งไว้เลย คนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้อยู่ต่อ บ้านเฉินนั้นนอกจากค่าจ้างแล้ว ยังมีให้ของด้วย สวัสดิการแบบนี้ยังมีคนจะไป ก็ไม่ควรค่าให้เธอต้องรั้งไว้
เฉินจงพยักหน้า เขาก็คิดแบบนี้ เขาคิดว่าเขาปฏิบัติกับคนงานดีพอ ถ้าอยู่ไม่ได้ ก็จะไม่รั้งไว้
มีคำพูดของเฉินเยี่ยน เฉินจงก็มีความมั่นใจ
ต่อมามีคนมาหาเฉินจงบอกว่าโรงงานของลูกพี่สวี๋ต้องการหาคนงาน ทุกเดือนจะให้ค่าจ้างคนงานในสายผลิตมากกว่าบ้านเฉินยี่สิบเหรียญ ถ้าพวกเขายอมไปทำงานที่โรงงานกระดาษของลูกพี่สวี๋
ตอนแรกยังแอบมาบอก ต่อมาทุกคนต่างมาหาเฉินจง ลูกพี่สวี๋นั่นถึงกับเรียกคนงานไปทุกคนเลย
เฉินจงรู้สึกโกรธ ลูกพี่สวี๋คนนี้ไม่รู้จักขอบเขตเลย ถ้าคิดอยากจะทำดีๆ ก็ไปหาอาจารย์มา หาคนงานดีๆ ไม่แน่เขาอาจจะช่วยเหลือได้ แต่นี่มาถึงก็ซื้อตัวไปแบบนี้ ทำเกินไปจริงๆ
เฉินจงประกาศ คนที่อยากไปเขาจะไม่รั้งให้อยู่ สรุปค่าจ้างแล้วไปได้เลย ไม่อยากไป ก็อยู่ทำงานที่โรงงานต่อ เขาเฉินจงจะปฏิบัติกับทุกคนอย่างยุติธรรม
ตอนที่ซินห้าวโทรมาบอกว่าเขานั่งรถกำลังจะกลับแล้ว คนงานที่โรงงานกระดาษบ้านเฉินลาออกทั้งหมดสี่คน ไปทำงานที่โรงงานกระดาษของลูกพี่สวี๋
ตอนแรกไปกันแค่สองคน พวกเขาคิดว่าได้ยี่สิบเหรียญเพิ่มขึ้นทุกเดือน หนึ่งปีก็สองร้อยกว่าเหรียญแล้ว ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเงิน ทุกคนอยากจะได้เงินเยอะ ถึงแม้บ้านเฉินสอนงานพวกเขา แต่พวกเขาก็ทำงานให้บ้านเฉินเหมือนกัน พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าทำอะไรผิด
พวกเขาไม่เพียงแต่ไปเท่านั้น ยังชักจูงคนที่เหลือด้วย บอกให้ไปทำที่โรงงานกระดาษของลูกพี่สวี๋ด้วยกัน คนที่ไม่เอาเงินมากคือคนโง่
พวกเขาไป เฉินเยี่ยนไม่มีความเห็นอะไร คนเราใฝ่สูง อยากจะได้เงินมากก็ไป แต่คุณไม่เพียงแต่ไปอย่างเดียว ยังชักจูงคนอื่นให้ไปด้วย นี่ทำเกินไป
ถ้าไม่มีบ้านเฉินสอนพวกเขา พวกเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ใครจะยอมเสียเงินมากขนาดนี้เรียกพวกเขาไป? พวกเขาไม่เพียงแต่ลืมข้อดีของบ้านเฉิน ยังขุดหลุมบ้านเฉินด้วยซ้ำ คนแบบนี้น่ารังเกียจ
ตอนแรกพ่อเฉินไปเรียนเทคนิคมา เถ้าแก่ที่นั่นสนับสนุนช่วยเหลือพ่อเฉิน ต่อมาพ่อเฉินให้ออเดอร์กับฝั่งนั้นไม่น้อยเลย เถ้าแก่ฝั่งนั้นก็พูดตลอดว่าพ่อเฉินเป็นคนมีคุณธรรม
แต่เฉินเยี่ยนไม่ได้ห้าม ก็มองทั้งอย่างนั้น
พอสองคนนั้นพูดอย่างนี้ ก็มีคนหวั่นไหว ถามเฉินจงและเฉินเยี่ยนว่าขึ้นค่าจ้างได้ไหม ขึ้นยี่สิบเหมือนกัน แบบนี้พวกเขาก็จะไม่ไปโรงงานลูกพี่สวี๋แล้ว จะอยู่ทำที่โรงงานกระดาษบ้านเฉิน
เฉินจงบอกขึ้นไม่ได้ ถ้าอยากไปก็ไป แต่โรงงานพวกเขาไม่รับคนที่ออกไปแล้วจะกลับมา
แบบนี้เลยมีคนออกอีกสองคน
ส่วนคนที่เหลือสุดท้ายเลือกทำงานที่โรงงานกระดาษบ้านเฉินต่อ เพราะพวกเขารู้สึกว่าทำงานที่นี่ดีมาก คนบ้านเฉินใจกว้าง ปฏิบัติต่อพวกเขาดี ไม่สามารถลาออกเพราะคนอื่นให้เงินมากกว่าได้ นั่นดูไม่มีสัจจะเกินไป
เฉินจงและเฉินเยี่ยนมองดูคนที่อยู่ต่อพยักหน้า คนพวกนี้ถือว่าไม่แย่เลย
พี่สะใภ้เจิ้งอวี่ก็ไม่ไป ถึงแม้ฝั่งนั้นจะซื้อตัวเธอ แต่เธอบอกว่าเธอหัดเก็บขอบกระดาษมาจากโรงงานบ้านเฉิน จะไม่ลาออกเพราะมีคนให้เงินเยอะกว่า อีกทั้งเธอทำงานที่โรงงานกระดาษบ้านเฉินก็ดีมาก ไม่อยากไปที่นั่นเจอพวกพี่สะใภ้หงอวี้หลายคนนั้นอีก
เถี่ยจู้ก็ไม่ไป เขาไม่เคยมาคุยเรื่องนี้กับเฉินจงเลย เฉินจงเป็นคนถามเขา สุดท้ายเขาถึงยอมเล่า เขาบอกว่าลูกพี่สวี๋มาหาเขาด้วยตัวเอง สัญญาว่าเดือนหนึ่งจะให้เงินมากกว่าบ้านเฉินหนึ่งร้อยเหรียญ
แน่นอนเงินหนึ่งร้อยเหรียญไม่ใช่ได้มาเฉยๆ เขาต้องพาลูกพี่สวี๋ไปร้านที่เฉิงจงขายกระดาษให้ก่อนหน้านี้ ลูกพี่สวี๋คิดจะแย่งลูกค้าไป
หนึ่งร้อยเหรียญนับว่ามากจริง แต่เถี่ยจู้ไม่หวั่นไหว
อย่าว่าแต่ฝ่ายตรงข้ามเสนอเงื่อนไขให้เขาทรยศโรงงานกระดาษบ้านเฉินเลย ถึงแม้จะไม่ทรยศ เขาก็ไม่ไปอยู่ดี
เขาไม่มีวันลืมตอนนั้นทุกคนต่างกลัวเขา เขามาทำงานที่โรงงานกระดาษบ้านเฉินได้ยังไง
บ้านเฉินให้ค่าจ้างเขาสูง เฉินจงไม่ได้พูดอะไรกับเขา
ไม่ว่าเมื่อไรที่เขาไปบ้านเฉิน บ้านเฉินจะต้อนรับเขาทั้งกินทั้งดื่มอย่างดี
เขาขับรถทางไกลไปบ้านเฉิน บ้านเฉินก็ให้เขาอยู่ที่บ้านพักผ่อน เอาน้ำ เอาข้าวให้เขา หวางนิวยังทำเสื้อผ้า ทำรองเท่าใหม่ให้เขาด้วย
ฉือหลิวก็ไม่กลัวเขา ยังให้เขาอุ้มขึ้นบินด้วย
เขาชอบบ้านเฉินจริงๆ เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากบ้านเฉิน ดังนั้นไม่ว่าที่อื่นจะให้เงื่อนไขอะไรมา เขาก็จะไม่ไป
หลังเฉินจงรู้ก็ตบไหล่เขา เถี่ยจู้เป็นคนที่มีคุณธรรมสูงจริงๆ เขาดูไม่ผิด
“คนที่เหลือ หนูคิดว่าน่าจะอยู่ทำงานต่อได้อย่างสบายใจแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่ไป พวกเราก็ทำให้พวกเขาลำบากไม่ได้ หนูเชื่อว่าโรงงานกระดาษนั่นทำได้ไม่เท่าเราแน่นอน”
เฉินเยี่ยนพูดอย่างเยือกเย็น ลูกพี่สวี๋อยากได้เงินก้อนใหญ่ไม่ใช่หรือ? งั้นเธอจะทำให้โรงงานกระดาษของลูกพี่สวี๋เฉาไปเลย ดูว่าถึงตอนนั้นเขาจะยังทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมแบบนี้อีกไหม!
เฉินเยี่ยนพูดจบอยู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา แล้วพูดอีก “พ่อคะ เดือนนี้นอกจากกระดาษแล้ว เราให้เนื้อคนงานเพิ่มอีกคนละหนึ่งกิโลกรัม เต้าหู้สองก้อน น้ำมันห้าร้อยมิลลิลิตร เค้กไข่ไก่อีกคนละห่อ อาหารกระป๋องอีกคนละกระป๋อง”
เฉินเยี่ยนยิ้มเพราะดีใจที่ซินห้าวจะกลับบ้านแล้ว อีกอย่างคนที่ยอมอยู่ต่อพวกนี้ถือเป็นคนเห็นแก่มิตรภาพ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนด้วย แจกให้ทุกคนดีใจ ให้พวกเขารู้ว่าทำงานกับบ้านเฉิน บ้านเฉินไม่ให้พวกเขาลำบากแน่
“ได้”
เฉินจงพยักหน้า เขาก็ไม่ใช่คนขี้งก
ถึงแม้หวางนิวจะรู้สึกเสียดาย แต่เธอก็เข้าใจ ตอนนี้ฐานะครอบครัวตัวเองดีมาก ไม่ขาดแคลนอะไร แจกก็แจก
“อาหารกระป๋อง อาหารกระป๋อง”
เฉินเฟยกอดขาเฉินจงร้องเรียก แววตาสองข้างเป็นประกายดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า แล้วยังแลบลิ้นออกมาด้วย เหมือนสุนัขตัวน้อยที่น่ารัก
“ได้ ได้ ได้ ให้เสี่ยวเฟยกินอาหารกระป๋อง”
เฉินเยี่ยนยิ้มขึ้นมา สีหน้าดูอ่อนโยนมาก