เฉินเยี่ยนกำลังคิดว่าสายของซินห้าวน่าจะมาอีกไม่นาน กริ๊ง กริ๊ง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา 

 

 

รับสายขึ้นมา เป็นสายของซินห้าวอย่างที่คิด 

 

 

ทั้งสองคนถามไถ่ทุกข์สุข จากนั้นซินห้าวค่อยเล่าจุดประสงค์ที่เขาโทรหาเฉินเยี่ยน 

 

 

“เยี่ยนจื่อ คุณเคยได้ยินเรื่องนายแบบหรือเปล่า?” 

 

 

ซินห้าวถามเฉินเยี่ยนในสาย 

 

 

เฉินเยี่ยนอึ้งไป เธอไม่เคยคิดเลยว่าซินห้าวจะโทรหาเธอเพื่อถามเรื่องนี้ 

 

 

“เคยได้ยินอยู่ ทำไมหรือ? มีคนเรียกคุณไปเป็นนายแบบ?” 

 

 

เฉินเยี่ยนรู้ว่าอยู่ดีๆ ไม่มีเรื่องอะไรซินห้าวไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแน่ ต้องมีคนมาติดต่อเขาแน่นอน 

 

 

“คืออย่างนี้ พวกเราคอยดูงานอยู่ตลอดใช่ไหม? หลายวันก่อนบังเอิญเจอขโมยคนหนึ่งขโมยกระเป๋าของผู้หญิงคนหนึ่งไป ซินเหลยตรงเข้าไป พวกเราช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นถามพวกเราว่าเป็นดาราหรือเปล่า พวกเราบอกว่าไม่ใช่ เธอเลยถามว่าพวกเราสนใจเป็นนายแบบไหม บอกว่าบริษัทพ่อเธอจัดการเรื่องนายแบบ ผมไม่สนใจ แต่ซินเหลยสนใจ พวกเราเลยไปดูมา เธอบอกว่าบริษัทหานายแบบนั้นไม่ใช่พวกบริษัทหลอกลวงแบบนั้น ทำถูกต้อง พวกเราได้เจอพ่อของผู้หญิงคนนั้นด้วย ท่าทางนิสัยดี เขาบอกว่ารูปร่างภายนอกของพวกเราดูดี ถ้าพวกเรายอมเซ็นสัญญากับบริษัทพวกเขา เขาจะปั้นพวกเรา บอกว่าไม่แน่อาจจะดังก็ได้ ซินเหลยปรึกษาผม บอกว่าเขารู้สึกสนใจ อยากลองดู ผมไม่รู้ว่าเป็นนายแบบแล้วอีกหน่อยจะทำอะไรต่อได้ เลยอยากลองถามคุณดู 

 

 

ซินห้าวเล่าเรื่องราวให้ฟัง เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้ คนอื่นจะพูดจาน่าฟังขนาดไหน ก็เทียบไม่ได้กับใจเขาที่อยากจะอยู่กับเฉินเยี่ยน แต่ซินเหลยชอบ เขาไม่สามารถบังคับให้ซินเหลยเหมือนตัวเองได้ 

 

 

“เส้นทางในอนาคตถือว่าดี ถ้าบริษัทนั้นทำถูกต้อง ถ้าซินเหลยสนใจจริง เขาเซ็นสัญญาได้ แต่พวกคุณต้องถามคนที่รู้เรื่อง ดูข้อตกลงและเงื่อนไขให้ชัดเจน อีกอย่างอย่าเซ็นสัญญาหลายปี สามปี มากสุดสามปี หลังสามปีแล้วค่อยต่ออายุสัญญา ถึงแม้เงื่อนไขที่ฝ่ายตรงข้ามเสนอมาจะดี แต่ก็อย่าเซ็นนานไป” 

 

 

เฉินเยี่ยนทำได้แค่ออกความเห็น ชาติที่แล้วเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงการนี้ แต่เธอได้ยินมาว่าตอนแรกมีคนเซ็นสัญญา เซ็นทีสิบปี ยังมีที่เซ็นสิบสองปีด้วย คิดว่าจะดูแลดี ปรากฏว่ามาเสียใจภายหลัง จะเลิกสัญญา เงินชดใช้ค่าเสียหายนั้นก็มากโข 

 

 

“คุณต้องบอกกับซินเหลยให้ชัดเจน ถ้าเซ็นไปแล้ว เขาอาจจะต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน เวลาจะกลับบ้านก็น้อย อาชีพนี้ใหม่มาก ไม่แน่อาจจะทำให้เขาโด่งดังได้ แต่อาชีพนี้ก็ลำบากมาก ยุคหลังพวกเขามักจะพูดกันว่าวงการบันเทิงเป็นถังผ้าย้อมสีใบใหญ่ ยุคนี้ยังดีหน่อย แต่ต้องให้ซินเหลยคิดดีๆ เราไม่มีเจตนาจะทำร้ายใคร แต่เราต้องป้องกันไว้ก่อน ทุกเรื่องต้องให้เขาคิดมากๆ แล้วค่อยตัดสินใจ” 

 

 

เฉินเยี่ยนเตือน 

 

 

“คุณวางใจได้ เรื่องพวกนี้ผมจะบอกเขาให้หมด อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นที่พวกเราช่วยเขาชื่อเสี่ยวเหมย ผมเห็นเธอมีท่าทีสนใจซินเหลยอยู่ เธอคุยกับพวกเราไม่น้อยเลย” 

 

 

ซินห้าวหัวเราะ เสี่ยวเหมยนั้นมาหาพวกเขาทุกวัน สายตาที่มองซินเหลยนั้นเรียกได้ว่าเร่าร้อน ดูแทบอยากจะตัวติดกับซินเหลย แต่อาจจะเป็นเพราะว่าซินเหลยผ่านเรื่องเฉินเวยมา เลยระแวดระวังผู้หญิง ปฏิบัติกับซินเหมยเป็นปกติ 

 

 

“งั้นก็ดี คุณบอกเรื่องที่ควรบอกกับซินเหลย จะตัดสินใจยังไงขึ้นอยู่กับเขา เขาโตแล้ว มีทางของตัวเองต้องเดิน ขอแค่ไม่ขโมยไม่แย่งไม่ทำร้ายใคร ไม่ว่าจะเดินทางไหนก็ดีทั้งนั้น” 

 

 

เฉินเยี่ยนไม่ห้ามเลย ทุกคนต่างมีทางเลือกของตัวเอง พวกเขาคิดว่าไม่เหมาะสม ก็ไม่จำเป็นว่าไม่ใช่ทางเดินของซินเหลย 

 

 

ซินเหลยเรียนหนังสือมาหลายปี แต่ไม่ได้เรียนรู้มากเท่าไรเลย และเขาก็ไม่มีทักษะอะไรเช่นกัน แต่รูปลักษณ์ภายนอกเขาโดดเด่นมากจริง ถ้าเดินทางนี้ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย ขอแค่บริษัทนั้นไม่หลอกลวงก็ดี 

 

 

“เมื่อไรคุณจะกลับมา? ฉันคิดถึงคุณมาก” 

 

 

เฉินเยี่ยนทนไม่ไหวบอกความคิดถึงของตัวเอง 

 

 

“ผมก็คิดถึงคุณ ตอนนี้มีหลายอย่างที่ดูแล้วไม่เลวเลย ผมกำลังดู กำลังติดต่ออยู่ ผมจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด คุณดูแลตัวเองดีๆ นะ 

 

 

ทำไมซินห้าวจะไม่คิดถึงเฉินเยี่ยน หลังสองคนแต่งงานก็ไม่เคยจากกันนานขนาดนี้มาก่อนเลย 

 

 

ทั้งสองคนคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ค่าโทรศัพท์ทางไกลแพงมาก เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ ถึงแม้พวกเขาจะจ่ายไหว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมาสิ้นเปลืองกับเรื่องแบบนี้ 

 

 

วันรุ่งขึ้นโรงงานกระดาษเริ่มรับสมัครคนเก็บขอบกระดาษ มีสามคนที่คนในโรงงานแนะนำ เป็นคนขยัน ทำงานคล่องแคล่ว นิสัยก็ไม่แย่ 

 

 

คนที่มาต่อคิวอยากจะเข้ามามีมากมาย แต่พวกเขาไม่สามารถรับได้ทั้งหมด สุดท้ายเลยหาสองคนที่ดูไม่แย่ ถือว่ารับครบแล้ว 

 

 

แต่ผ่านไปสองวันเฉินจงก็มาบอกข่าวไม่ค่อยดีกับเฉินเยี่ยน หมู่บ้านที่พวกเขาสร้างโรงงานกระดาษก็มีคนจะสร้างโรงงานกระดาษเช่นเดียวกัน ตัวโรงงานใกล้สร้างเสร็จแล้ว เครื่องจักรก็ซื้อมาแล้ว กำลังจะรับสมัครคนงาน 

 

 

พี่สะใภ้หงอวี้ก็ไปประกาศที่หน้าประตูโรงงาน บอกว่าโรงงานกระดาษนั้นมาเรียกเธอ เรียกให้เธอเตรียมไปทำงานโรงงานกระดาษที่เพิ่งสร้างใหม่ ค่าจ้างก็ให้มากกว่าคนบ้านเฉินให้ตั้งสิบเหรียญ บอกว่าถึงแม้บ้านเฉินจะไม่ให้เธอไป เธอก็ไม่ทนอยู่โรงงานผุพังนี้หรอก บอกว่าไม่ช้าก็เร็วโรงงานกระดาษของบ้านเฉินต้องปิดตัวลง จากนั้นก็เดินไปอย่างภูมิใจ 

 

 

การออกมาครั้งนี้ของพี่สะใภ้หงอวี้ทำให้จิตใจของคนในโรงงานว้าวุ่น เฉินจงรีบปลอบทุกคน บอกว่าตอนนี้ทุกคนมีทักษะความชำนาญแล้ว และมีช่องทางการขาย ไม่ต้องกลัวขายกระดาษไม่ได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องธุรกิจ มีเงินจ่ายให้ทุกคนแน่นอน ให้ทุกคนทำงานอย่างเต็มความสามารถ อย่าไปคิดมาก 

 

 

ถือว่าคนงานยังมีความมั่นใจกับครอบครัวเฉินอยู่ อีกทั้งบ้านเฉินเป็นคนดี ดังนั้นเฉินจงออกมาปลอบครั้งนี้ พวกเขาก็มั่นใจ 

 

 

แต่เฉินจงกลับรู้สึกกังวล เขาบอกเฉินเยี่ยน คนสร้างโรงงานกระดาษนั้นแซ่สวี๋ คนเรียกเขาว่าลูกพี่สวี๋ เป็นคนในอำเภอ อยู่ในอำเภอทำรถเก่า ได้เงินไม่น้อยเลย แต่ตอนนี้รถเก่าเยอะเกินไป ถึงแม้จะยังได้เงินอยู่ แต่ไม่ดีเท่าแต่ก่อนแล้ว เขาวางแผนอนาคต รถเก่าก็ยังทำอยู่ แต่คิดอยากจะทำอย่างอื่นด้วย รู้มาว่าบ้านเฉินทำโรงงานกระดาษได้เงิน ก็เลยมาสร้างโรงงานกระดาษที่นี่ คิดจะหาเงินก้อนใหญ่