GGS:บทที่ 791 วิถีแห่งมังกร

 

ซูจิ้งเปิดตำราวิถีแห่งมังกรออกดู มันทั้งให้ความรูสึกดุดันและพิศวง

ไม่เหมือนกันหัวใจพระสูตรที่เพียงแค่เปิดดูโดยไม่ต้องอ่านเนื้อหาก็สามารถเข้าใจลึกซึ้งได้

แต่ตำราวิถีมังกร(พระสูตรพระโพธิสัตว์มังกรผันแปร)ที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ยากต่อความเข้าใจอย่างยิ่ง

 

เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหัวใจพระสูตรเล่มนั้นเป็นเพียงแค่พระสูตรฝึกหัดเท่านั้น

ด้วยการที่ง่ายต่อความเข้าใจจึงเหมาะสมในการฝึกมากกว่า

เมื่อเทียบกับตำราวิถีมังกรเล่มนี้แล้วจึงกลายเป็นสมบัติลับของวัดหลวงไปโดยปริยายเพราะหากทำความเข้าใจได้ผลการฝึกที่ได้ย่อมทรงพลังมากกว่า

 

ซูจิ้งไม่เร่งร้อนในการฝึกฝนแต่อย่างใด เขาค่อยๆเปิดตำราเพื่อศึกษาให้ถ่องแท้ในแต่ละหน้า

หลังจากเขาได้อ่านบรรทัดสุดท้ายได้ปรากฎภาพของมังกรทองหนึ่งขาเหยียบอยู่บนหลังช้างเผือกที่มัดกล้ามเต็มตัวและดวงตาปูดโปน

มันเหมือนกับว่ามังกรทองใช้พลังสวรรค์และปฐพีบดขยี้ช้างเผือกในคราเดียว

 

ตำรานี้ก็ดูเหมือนกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมาในทันใด มันส่งพลังอันหนักอึ้งออกมาราวกับภูเขาสูงตระหง่าน

มันเป็นความรู้สึกที่ซูจิ้งเองก็อธิบายไม่ถูก เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ทรงพลังยากจะทัดทานมาปรากฎอยู่ตรงหน้า

“ตำราเล่มนี้สมควรจะเป็นตำราวิถีมังกร(โพธิสัตว์มังกรผันแปร) ช่างเป็นตำราที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ”

ซูจิ้งส่งสายตาเป็นประกายออกมา เทียบกับหัวใจพระสูตรที่เขาถ่ายรูปส่งไปในอินเตอร์เนตก่อนหน้านี้ที่มียอดวิวกว่าสิบล้านครั้งแล้ว ตำราเล่มนี้ย่อมสูงค่ากว่าอย่างเทียบไม่ติด

 

เมื่อเปิดไปยังหน้าถัดไปเขาได้เห็นภาพที่เหมือนจะเป็นภาพวิทยายุทธ์อยู่ มันเป็นภาพตราประทับมังกรที่เต็มไปด้วยเนื้อหาและรายละเอียดมากมาย

มีแม้กระทั่งรายละเอียดเชิงลึก ซึ่งเนื้อหามีความซับซ้อนและลึกสุดหยั่งมากกว่าตำราศิลปะการต่อสู้ทั่วไป

ถ้าเทียบกับหมัดวัวคลั่งก่อนหน้านี้น่าจะละเอียดกว่านับสิบเท่าได้

โดยทั่วไปแล้วตำราการฝึกตนไม่ว่าจะเป็นการฝึกบ่มเพาะร่างกายหรือจิตวิญญาณก็ตามจะไม่มีรายละเอียดมากมายถึงขนาดนี้

แต่ด้วยการที่ตำรานี้เป็นการฝึกร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กัน

ในส่วนภาพมังกรนี้สมควรจะเป็นส่วนที่บ่มเพาะร่างกาย

ในส่วนรายละเอียดเนื้อหาเชิงลึกสมควรจะเป็นการฝึกฝนจิตวิญญาณ

และแน่นอนว่าต้องฝึกควบคู่ไปพร้อมกัน แยกฝึกทีละอย่างจะไม่เข้าใจเนื้อหาได้อย่างแท้จริง

 

ซูจิ้งได้ลองฝึกฝนอยู่ซักพักหนึ่ง แต่เมื่อเขาได้ทดลองฝึกดูแล้วพบว่าความคิดของเขาช่างตื้นเขินไปอย่างมาก

ตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาทั้งสองส่วน สิ่งที่เขาทำจะเป็นการเสียเวลาเปล่า

แถมตอนนี้เขายังเหลือขยะห้วงเวลาฯที่ต้องจัดการอีกเยอะเขาเลยตัดสินใจไม่เร่งฝึกฝนทำเพียงแค่โยนตำราที่ได้เข้ากระเป๋ามิติไปก่อน

 

ซูจิ้งยังให้เสี่ยวไป๋ค่อยๆซ่อมแซมหนังสือจากกองขี้เถ้าต่อไป เขาคิดว่าอาจจะพอมีหนังสือที่มีคุณค่าแบบนี้อยู่อีกก็ได้

เขาได้ลองเขี่ยกองขี้เถ้านั่นจนเจอกระดาษกองหนึ่ง แต่พอมองดูแล้วมันเป็นลายมือคนเขียนและดูเหมือนจะไม่ได้มาจากวัดพุทธใหญ่

มันเหมือนกับมาจากที่อื่นแต่โดนรวมมาจากการคัดแยกของฉิงหยุนเท่านั้น เพราะตัวกระดาษเองก็มีรอยไหม้เช่นเดียวกัน

“นี่มัน?” ซูจิ้งลองเปิดหนังสือที่มีลวดลายเล่มนั้นดู

เมื่อเปิดมันออกสายตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสมุดเล่มนี้จะเป็นสมุดโน๊ตบันทึกตัวโน๊ตกู่จิ้ง เขาได้ลองอ่านทำนองสร้างเพลงขึ้นมาในหัวตามตัวโน๊ตก็พบว่ามันเป็นเพลงจริงๆ

ในห้วงเวลาฯเทพฝั่งตะวันตกนั้นมีปรมาจารย์นักดนตรีที่เล่นกู่จิ้งอยู่หลายคน

แต่ปรมาจารย์เหล่านั้นลึกล้ำกว่าผู้คนบนโลกตรงที่พวกเขาใช้เพลงในการช่วยชีวิต ฆ่าผู้คน หรือแม้แต่เปิดหนทางให้คนนับพันมาปรากฏตรงหน้าจากที่ห่างไกลนับพันลี้

ถือได้ว่าเป็นแค่นักดนตรีแต่ก็มีพลังวิเศษไม่ต่างจากจอมยุทธหรือจอมเวทย์เลยทีเดียว

“บทเพลงเหล่านี้สมควรจะทรงพลังไม่น้อยถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ไม่เลวเลย เอาไว้ลองเล่นทีหลังแล้วกัน”

ซูจิ้งแสดงออกด้วยท่าทางยินดีแล้วโยนตำราเพลงใส่กระเป๋ามิติไป

ไม่ว่าซูจิ้งเจออะไรที่ไม่ได้ใหญ่มากเขาจะเก็บไว้กับตัวก่อนเป็นอันดับแรก

นอกเสียจากว่ามันใหญ่มากและยากต่อการหยิบออกมาใช้ต่อหน้าผู้คนเขาจึงจะเก็บเอาไว้ในห้องเย็น

 

ในไม่ช้ากองขี้เถ้านั้นในทีสุดก็หายไปแล้ว มีเพียงเศษกระดาษบางส่วนที่เหลือทิ้งเอาไว้

เสี่ยวไป๋เองก็ได้ใช้สแตนด์ในการซ่อมแซมตำราพวกนี้อย่างช้าๆ ไม่เร่งร้อน แต่ก็ไม่มีตำราสมบูรณ์ใดๆปรากฎออกมาอีกเลย

“ฮอว เหนื่อยแล้วอ่ะ” เสี่ยวไป๋พูดประท้วงเล็กๆกับซูจิ้ง

“เหนื่อยก็พักซักหน่อยละกัน วันนี้นายนี่ทำประโยชน์ให้ฉันไม่น้อยเลยนะ เย็นนี้ฉันจะให้เนื้อก้อนใหญ่กับนายเลย แล้วหลังจากนั้นจะปล่อยให้นายนอนหลับฝันดี พร่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”

 

เมื่อเห็นเสี่ยวไป๋ทำท่าเหนื่อยมากแล้ว

ซูจิ้งก็ไม่ได้บังคับฝืนแต่อย่างใดเพราะพลังของเสี่ยวไป๋สำหรับซูจิ้งนั้นเป็นประโยชน์มาก

หากเสียไปแล้วเขาคงจะเสียใจไปชั่วชีวิต

“ฮอว” เสี่ยวไป๋ได้ยินดังนั้นถึงกับกระโดดตัวลอยในทันที

ซูจิ้งหยุดคิดซักพักจึงได้ถามฉิงหยุนให้ช่วบเก็บรักษากระดาษพวกนั้นไว้อย่างดีในพื้นที่ใช้สอยเพื่อที่จะซ่อมแซมต่อในภายหลัง

 

ซูจิ้งได้กลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อ

เมื่อเขาลองจัดหมวดหมู่ในใจคร่าวๆดูขยะส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ตอนนี้จะเป็นซากขี้เถ้า เศษไม้จากการเผา เครื่องลายครามที่แตกหักและมีเขม่าดำเกาะ ตลอดจนพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์

ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่ขยะห้วงเวลาฯเหล่านี้จะมาจากวัดพุทธใหญ่จริงๆ

“ฉิงหยุน สามารถรวมขยะห้วงเวลาฯที่มีล่องลอยการเผาเข้าด้วยกันได้รึเปล่า?”

“ได้” พอสินคำพูดของฉิงหยุนขยะที่มีร่องรอยการถูกเผาทั้งหมดได้กองไปแยกอยู่อีกมุมหนึ่ง แบ่งออกเป็นกองที่มีร่องรอยการเผ่าและเศษขี้เถ้า

 

ซูจิ้งได้ทำการเช็คขยะห้วงเวลาฯอย่างถี่ถ้วนและคัดเลือกขยะที่ดูไม่มีค่าอะไรเพื่อส่งออกไปเผา

แต่เมื่อเขาคิดดูอีกทีแล้วขยะพวกนี้ล้วนแล้วน่าจะมาจากวัดพุทธใหญ่สมควรจะมีคุณค่าอยู่บ้างถ้าซ่อมแซมเสร็จแล้ว เขาเลยตัดสินใจว่าจะไม่ทิ้งของที่ถูกเผ่าเหล่านี้

หลังจากตัดสินใจได้แล้วซูจิ้งเลยไปจัดการขยะกองอื่นต่อ

ซูจิ้งได้เลือกเก็บผ้าและไม้เอาไว้บางส่วนหลังจากนั้นก็ส่งที่เหลือไปยังพื้นที่พักขยะห้วงเวลาฯเอาไว้เพื่อรอให้เก็บได้มากพอคุ้มค่ากับการเผา

 

หลังจากผ่านไปสองวัน ซูจิ้งก็ยังอ่านตำราวิถีมังกรสลับไปกับการหาสมบัติดีๆจากกองขยะห้วงเวลาฯต่อไป

เย็นวันนั้น ซูจิ้งได้รับโทรศัพท์สองสาย สายแรกมาจากเหว่ยเสี่ยวหยวนบอกเขามาว่า

“ฉันหาเตาเผาขยะพลังงานไฟฟ้าตามที่หัวหน้าบอกไว้ไม่ได้นะ

แต่ว่าแถวๆสถาบันวิจัยเทคโนโลยีห้วงเวลาฯของพวกเรามีคนที่อยากจะขายที่อยู่ซึ่งพื้นที่นั้นเมื่อประเมินดูแล้วมีความเหมาะสมกับการทำเตาเผาขยะ

หากเป็นที่นั่นไม่เพียงแต่จะเผาขยะได้แต่พลังงานไฟฟ้าที่ได้ยังเป็นพลังงานให้กับสถาบันวิจัยฯของหัวหน้าอีกด้วย”

“ส่งข้อมูลมาให้ดูหน่อยซิ” ซูจิ้งตาเป็นประกายขึ้นมา

ถึงแม้ว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯจะยกระดับแล้วไม่จำเป็นต้องพึ่งเตาเผาขยะผลิตพลังงานไฟฟ้าแล้วก็ตามแต่ซูจิ้งก็ยังไม่ละทิ้งแผนการแต่อย่างใด

เหตุผลก็เพราะอย่างแรกเขานั้นจะต้องมีแผนสำลองเพื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน และมันยังช่วยแบ่งเบาการใช้พลังงานปฏิสสารได้เมื่อจำเป็นและสร้างรายได้จากเมืองจงหยุนจากการกำจัดขยะได้ถ้าต้องการ

 

อย่างที่สองเขาในตอนนี้ถูกเพิ่งเล็งจากศัตรูรอบด้านรวมถึงคนธรรมดาทั่วไป

หากเขาให้เหว่ยเสี่ยวหยวนทำการวิจัยเกี่ยวกับโรงผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะล่ะก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกเพ่งเล็งมากกว่าเดิม จะทำอะไรก็ลำบากมากขึ้น

ถ้าเป็นพื้นที่อื่นเขาอาจล้มเลิกไปแต่ถ้านี่เขาสร้างไว้แถวสถาบันวิจัยฯได้ล่ะก็นอกจากจะทำอะไรได้ง่ายขึ้นแล้วแถมยังได้พลังงานไฟฟ้ามาใช้ในสถาบันวิจัยอีกด้วย

 

เหว่ยเสี่ยวหยวนได้ส่งข้อมูลมาให้ซูจิ้งและเขาก็ทำการอ่านอย่างตั้งใจ พื้นที่นี้อยู่ใกล้สถาบันวิจัยฯมากๆ

มันเป็นพื้นที่สำหรับปลูกสร้างโรงงานอุตสาหกรรมก็จริงแต่ต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ

แน่นอนว่าซูจิ้งจะต้องสร้างเตาเผาผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ดีที่สุดที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษหรือก่อให้เกิดมลพิษให้น้อยที่สุด

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ขาดแคลนเงินตราแถมยังได้ผลกำไรจากเตาเผานี้ด้วยจึงถือได้ว่าเขาไม่ต้องเสียอะไรมากนัก

“โอเค เธอลองไปจัดการได้เลย ลองคุยกับเจ้าของที่ดูก่อน ถ้าเกิดว่าเธอไม่ถนัดเรื่องนี้ก็ให้เฉิงหนานไปช่วยคุยด้วย” ซูจิ้งสั่งออกไป

“ได้ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง” เหว่ยเสี่ยวหยวนบอกซูจิ้งด้วยรอยยิ้ม

 

หลังจากวางสายไปเฉิงหนานก็ได้โทรหาเขาโดยบอกว่า “หัวหน้าคะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ฉันได้ติดต่อทั้งสามคนนั้นเอาไว้แล้ว นัดเวลาประมาณ 10 โมงเช้า หัวหน้าว่างรึเปล่าคะ”

“ตกลงนัดเวลานั้นล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้า เรื่องขยายการผลิตปฏิสสารยังคงต้องดำเนินการต่อไป

หรืออย่างน้อยๆก็ต้องผลิตให้ได้ถึง 100 กรัมก่อนถึงจะหยุดขยายกำลังการผลิตได้

แน่นอนว่าจะต้องหาผู้มีความสามารถด้านปฏิสสารเพิ่มเติม