GGS:บทที่ 792 มังการผยองเดช(พระโพธิสัตว์สำแดงฤทธิ์)
เช้าวันถัดมา ซูจิ้งตรงไปยังสำนักงานของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ
พนักงานบางคนที่เห็นเขาได้ทำการทักทายเขาและเขาก็ทักทายตอบทุกคน
พนักงานหญิงบางคนได้มองเขาด้วยสายตายั่วยวนและทำตาเปล่งประกาย
พวกเธอรู้โดยธรรมชาติว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ไหนแต่เป็นบอสใหญ่ของที่นี่
เฉิงหนานในชุดสูทตัดที่ดูเซ็กซี่และทรงสง่าเดินออกมารับและพูดว่า “หัวหน้าคะ พวกเขามาพร้อมแล้วค่ะ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในส่วนรับรอง”
“ให้พวกเขาเข้ามาในห้องสำนักงานทีละคน” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่ะ นี่คือประวัติ เท่าที่คุยคร่าวๆคนหนึ่งยังสนใจอยู่ ที่เหลือดูจะยากหน่อย เดี๋ยวดิฉันจะบอกอีกทีตอนเรียกพวกเขาเข้าห้องค่ะ” เฉิงหนานพูดออกมา
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมคุยกับพวกเขาอีกที”
ซูจิ้งรับทราบข้อมูลที่เฉิงหนานบอก
เมื่อคนสมัครงานเข้ามาสมัครงาน บริษัทก็เลือกคนที่มีคุณสมบัติ
แต่ตอนนี้กลับกันคือทุกคนนั้นมีคุณสมบัติเรียบร้อยแล้ว
แต่คนพวกนี้ต่างโดนจองตัวจากบริษัทอื่น ไม่สิสองในสามมีงานแล้วด้วยซ้ำ
กลายเป็นว่าทางเขาเองมากกว่าที่จะยิ่นข้อเสนอถูกใจพวกเขาแค่ไหน
ถ้าข้อเสนอไม่ถูกใจพวกเขาก็ไม่มีทางมาทำงานให้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้เข้าไปยังสำนักงานส่วนเฉิงหนานไปที่ส่วนรับรอง
ไม่นอนหลังจากซูจิ้งนั่งลง ชายคนหนึ่งที่อายุประมาณสามสิบปีก็เดินเข้ามา
“สวัสดีครับประธานซู” ชายหนุ่มกล่าวทักทายด้วยท่าทีประหม่า
“นั่งลงก่อนครับคุณหวัง” ซูจิ้งพูดหลังจากชายคนนั้นเข้ามาในห้อง
ซูจิ้งได้อ่านประวัติของเขาพร้อมถามคำถามเล็กน้อย ชายคนนี้เป็นนักเรียนแพทย์แต่ก็ไม่มีงานมาพักใหญ่
ไม่ใช่เพราะเขาไม่เก่งหรอกแต่เขานั้นเรียกเงินค่อนข้างสูง
เงินที่เขาเรียกนั้นสูงกว่าเมื่อเทียบคนที่มีความรู้ในระดับเดียวกันพวกนั้นถึงคิดว่าชายคนนี้เรียกเงินสูงไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง
แต่ซูจิ้งนั้นให้เงินเดือนที่มากกว่าคนอื่นอยู่แล้วทำให้เขาค่อนข้างจะสนใจงานที่ทางบริษัทของซูจิ้งให้มากกว่าที่อื่น
ในขณะสัมภาษณ์ซูจิ้งได้ตรวจจับออร่าของชายหนุ่มคนนี้และรู้ว่าชายคนนี้แสดงความต้องการใจจริงไม่ระส่ำระสายและเสถียรอย่างมาก
แสดงว่าชายคนนี้มีความต้องการที่จะทุ่มเทงานหนักให้สมกับเงินเดือนที่สูงโดยไม่มีสิ่งอื่นใดแอบแฝงอย่างแน่นอน นี่ค่อนข้างทำให้ซูจิ้งประทับใจพอสมควร
ปัญหาเดียวของเขาในการจ้างคนแบบนี้ก็คือเขานั้นมีความลับใหญ่หลวงในสถาบันวิจัยของเขาที่ไม่สามารถปล่อยให้หลุดรอดออกไปได้ยังโลกภายนอกจำเป็นที่จะต้องสะกดจิตทุกคนที่เข้าทำงานที่นั่น
การสะกดจิตของซูจิ้งที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดีมาตลอด
ไม่ว่าจะเป็นการสะกดจิตคนที่ศัตรูของเขาส่งมาด้วยวิธีการหาช่องโหว่ทางจิตใจ หรือแม้แต่การส่งวิญญาณร้อยหลอกหลอนจนจิตใจอ่อนหล้าแล้วทำการสะกดจิต
แต่อย่างไรก็ตามวิธีหนึ่งนั้นต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าคนๆนั้นต้องมีประสงค์ร้ายต่อตัวเขา อีกหนึ่งนั้นก็โหดร้ายเกินไป
แต่คนๆนี้มีความมุ่งมั่นในชีวิตเท่านั้นไม่เหมาะสมกับสองวิธีนี้
ตอนนี้เขานั้นเลยอยากลองอีกวิธีหนึ่งที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆ
“วิถีแห่งมังกร(พระโพธิสัตว์มังกรฟ้าผันแปร)”
ซูจิ้งได้ส่งเสียงคลื่นเสียงต่ำออกมาจากในลำคอพร้อมทั้งได้มีพลังจิตของเขาพลุ่งพล่านออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้นชายหนุ่มที่นั่งบนโต๊ะตรงข้ามของเขาก็ได้รู้สึกตกใจขึ้นมา
เขาจ้องมายังตาของของซูจิ้งด้วยสายตาที่ไม่กระพริบ
ในสายตาของเขาเห็นมังกรทองปรากฎอยู่ในตาของซูจิ้ง
มันเป็นมังกรทองเหยียบช้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆด้วยเท้าข้างหนึ่งประหนึ่งดังใช้แรงจากฟ้าดินเหยียบจนหมดหนทางสู้ หลังจากจ้องไปซักพัก
ชายหนุ่มก็ได้ทำการคุกเข่าลง แสดงสีหน้าปลื้มปิติ แม้แต่ซูจิ้งเองเมื่อเห็นตรามังกรก็ยังต้านทานไม่ได้นับประสาอะไรกับคนธรรมดาคนหนึ่ง
“มังกรทองสำแดงเดช มังกรทองสำแดงเดช …” ชายหนุ่มคนนั้นมองไปยังตาของซูจิ้งด้วยสายตาเลื่อมใสพร้อมทั้งทำท่าทางศรัทธาอย่างหมดใจ
“ยอมจำนนซะ” ซูจิ้งพูด
ทันใดนั้นชายหนุ่มคนนั้นลดกำแพงป้องกันทางจิตใจในทันที(ศรัทธาจนยอมศิโรราบ)
ซูจิ้งก็ประหลาดใจไม่น้อยเพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลดีขนาดนี้ ชายคนนี้ไม่มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด ตอนนี้ต่อให้ซูจิ้งสะกดจิตสมบูรณ์ซ้ำอีกสองสามรอบก็ยังได้
“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นตำราที่ทรงพลังจริงๆแถมยังใช้งานง่ายกว่าที่คิดอีกด้วย” ซูจิ้งรู้สึกดีใจอย่างหมดหัวใจ
เพราะเอาจริงๆแล้วเขาพึ่งจะศึกษาตำราวิถีมังกรนี้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เขาเองในตอนนี้ก็ทำได้เพียงการจำลองตราประทับมังกรทองเหยียบช้างเผือกนั่นได้เท่านั้นเอง
นึกไม่ถึงว่าเพียงใช้วิธีนี้จะทรงพลังจนทำให้สะกดจิตสมบูรณ์ใส่คนๆหนึ่งได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
“ออกไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะให้เฉิงหนานเรียกคุณเข้ามาทำสัญญากันทีหลัง” ซูจิ้งพูดออกมา
ตอนนี้เขาสามารถให้คนๆนี้ทำอะไรให้เขาก็ได้โดยไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามซูจิ้งเองก็ยังคงต้องการข้อผูกมัดให้คนๆหนึ่งต้องปฏิบัติตาม
อย่างการเซ็นสัญญาปกปิดความลับเพื่อป้องกันไม่ให้คนๆนั้นต้องพบความเสี่ยงในการถูกขู่เข็ญในทางอื่นแต่อย่างใด
ซูจิ้งให้คนที่สองเข้ามาสัมภาษณ์ คนๆนี้อายุยี่สิบแปดปี เทียบกับคนแรกเขาค่อนข้างดูมีความมั่นใจมากกว่า
แถมเขาเองก็เรียกร้องเงินเดือนที่สูงกว่าคนอื่นเล็กน้อย
เพียงแต่เขายังมีข้อเรียกร้องอื่นอีกด้วยอย่างเช่นเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ต้องยอมให้เขาใช้ในระหว่างการทำงาน
เขานั้นหวังจะวิจัยงานอย่างอื่นเพิ่มเติมในสถาบันวิจัยฯของซูจิ้ง
ท้ายที่สุดซูจิ้งได้ให้สัญญากับเขาว่าตราบใดที่งานวิจัยของเขาสามารถใช้ผลิตปฏิสสารได้เขาก็จะยอมให้ใช้ แปลกซะอีกที่จะไม่ทำอะไรเลยนอกจากงานถ้าอยู่ในสถาบันวิจัยของเขา
เมื่อตกลงกันได้ซูจิ้งก็ได้สร้างตราประทับมังกรทองในดวงตาจนชายตรงหน้าทำแบบเดียวกับชายคนแรกก่อนหน้านี้และสะกดสมบูรณ์อย่างง่ายดาย
หลังจากให้ชายคนที่สองออกไป ชายคนที่สามก็เข้ามาสัมภาษณ์ เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปี เทียบกับสองคนแรกแล้วดูเป็นคนที่มีความสามารถมากกว่า
เมื่อซูจิ้งถามความต้องการของเขาในการทำงานที่สถาบันวิจัยฯเขาหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะบอกออกมาว่า
“ประธานซู ผมเองก็พอรู้อยู่ว่าคุณมีภูมิหลังแบบไหนมาพอสมควรฉะนั้นผมก็จะไม่เรียกร้องอะไรเกี่ยวกับเงินเดือน เวลาการทำงาน และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างพวกอุปกรณ์แต่อย่างใด
สิ่งที่ผมจะขอนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวผมก็รู้ว่าเราควรแยกเรื่องส่วนรวมและเรื่องส่วนตัวออกจากกันแต่ผมเองก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ”
ซูจิ้งเองก็พลางนึกถึงคำพูดของเฉิงหนานที่เขาบอกมาก่อนหน้านี้ว่าชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่เกลี้ยกล่อมเขาได้ยากที่สุด เขาจึงถามออกไปว่า “คุณอยากให้ผมช่วยอะไรล่ะ”
ชายหนุ่มได้หยิบรูปสาวสวยคนหนึ่งออกมาและพูดออกมาว่า “คนๆนี้เป็นน้องสาวของผม มีชายที่มีอำนาจคนหนึ่งตามตอแยเธอ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตามชายคนนั้นคอยก่อกวนแทบจะทุกฝีก้าว
ชายคนนั้นเองก็เป็นที่ไม่มีอะไรดีเลยซักอย่างแน่นอนว่าเขาเองไม่มีทางยอมรับคนเช่นนี้อยู่แล้ว
แต่ด้วยการที่เขานั้นมีลุงที่มีอำนาจในสายงานวิจัยไม่น้อยทำให้ผมเองก็โดนกดดันไม่น้อยเช่นเดียวกัน
จะบอกว่าโดนรังควานทั้งพี่และน้องเลยก็ว่าได้ทำให้ผมเองก็ช่วยเธอไม่ได้มากนัก ถ้าเป็นไปได้ท่านประธานซูได้โปรด…”
ในระหว่างที่คนๆนี้เล่าเรื่องออกมา ซูจิ้งก็ได้อ่านออร่าและท่าทางของเขาไปพร้อมๆกัน
ออร่าของเขาหดเล็กและไม่เสถียรพร้อมท่าทางหดหู่และหวาดกลัวตลอดเวลาที่เล่า
เขาเองก็กลัวไม่น้อยที่ซูจิ้งจะไม่ยอมทำตามที่เขาขอร้องเหมือนกันเพราะสำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ค่อนข้างจะเกินไปแต่เขาก็หมดหนทางแล้วจริงๆ
ถึงแม้ภูมิหลังของซูจิ้งจะเข้มแข็งยังไงก็ตามแต่การจะให้เขานั้นใช้ภูมิหลังไปกดดันเพื่อช่วยเหลือคนที่ไม่เคยรู้จักกันมันก็ออกจะเกินไป
ซูจิ้งถามออกมาว่า “ชายคนนั้นชื่อว่าอะไรหรอ”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปพักนึง ตาของเขาแสดงถึงความประหลาดใจไม่น้อย
เขาได้บอกชื่อของชายหนุ่มคนนั้นและข้อมูลต่างๆที่เขารู้ ซูจิ้งได้โทรศัพท์ออกไปให้คนของเขาตรวจสอบข้อมูลให้
เมื่อทราบข้อมูลแล้วซูจิ้งก็ได้โทรหาไป๋ฮิตูเนื่องจากข้อมูลที่เขาได้มาบอกว่าชายคนนั้นเป็นคนรุ่นสองของเศรษฐีด้านการเงินหน้าใหม่ที่อยู่ในเมืองจงหยุนถือว่าอยู่ในแวดวงเดียวกับฮิตู เขาจึงเลือกที่จะให้คนในแวดวงเดียวกันจัดการดีกว่า
เอาจริงๆเขาเองจัดการเองจะง่ายกว่าแน่นอนแต่เขาก็คิดว่ามันจะโฉ่งฉ่างเกินไป แล้วเขาก็ไม่ได้มีเวลามากพอขนาดนั้น
หลังจากวางสายเขาจึงพูดกับชายหนุ่มตรงหน้าว่า “รอซักครู่นะ อีกซักพักน่าจะมีข่าวคราวอะไรกลับมาบ้าง”
ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นประวิงพลางพูดว่า “ตกลงครับ ตกลง..”
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น เขาเองก็อยากรับแต่กลัวซูจิ้งจะไม่พอใจ ซูจิ้งก็บอกให้เขารับได้เพราะตอนนี้เราก็กำลังรอผลกันอยู่แล้ว หลังจากรับสายมีเสียงคนพูดเสียงดังมาจากปลายสายมาว่า “สวัสดีครับคุณหม่า ผมผิดเองที่รังควานไทชาน ผมจะไม่ตอแยเธออีก ที่ผมทำอะไรที่เลวร้ายต่อคุณไปผมขอโทษด้วยจริงๆครับ”
ชายหนุ่มทำตาโง่งมในทันที เขาได้ยินเสียงและจำเสียงของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
เขาเป็นคนที่คอยรังควานน้องสาวของเขา เขาหันไปมองซูจิ้งด้วยสายตาตกตะลึง
ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน แต่การที่ซูจิ้งโทรหาเพียงกริ๊งเดียวแล้วรอเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีก็ทำให้เป้าหมายโทรมาร้องห่มร้องไห้ขอยอมแพ้ได้อย่างนี้นี่สิที่น่าตกตะลึง
อย่างที่เขาคิดไว้เลยว่าซูจิ้งนั้นมีอำนาจล้นฟ้าจริงๆ
ชายหนุ่มได้กลับไปคุยโทรศัพท์ต่อโดยพูดว่า “แกสัญญาได้ใช่ไหมว่าจะไม่โผล่หน้าออกมาหรือยุ่งเกี่ยวใดๆกับน้องสาวของฉันอีก”
ปลายสายได้ร้องห่มร้องไห้พลางตอบกลับมาว่า “ผมสัญญาครับผมสัญญา ผมไม่อยากตายโดยการที่ไปตอแยน้องสาวของคุณแน่นอน”
เหตุการณ์ที่ชายหนุ่มเส้นใหญ่กำลังประสบอยู่ที่ปลายสายในตอนนี้คือเขานั้นกำลังนอนกองกับพื้นพร้อมทั้งจมูกที่หักและบาดแผลแตกทั่วใบหน้า
ใบหน้าของเขาอยู่ข้างๆกับเท้าข้างหนึ่ง เท้านั้นเป็นของไป๋ฮิตู และรอบตัวเขานั้นก็เต็มไปด้วยเด็กหนุ่มที่มีสภาพไม่ต่างกันเต้มไปหมด คนที่ไม่ได้ร่วมวงด้วยก็ทำได้แต่จ้องมองอย่างเสียขวัญ
ซูจิ้งถามออกไปว่า “มีอะไรที่ต้องห่วงอีกรึเปล่า?”
ชายหนุ่มตอบกลับด้วยความยินดีในทันทีว่า “ขอบคุณคุณซูมากครับ ขอบคุณจริงๆ”
ซูจิ้งยกมือโดยหันฝ่ามือให้โดยสื่อไปในว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงพลางพูดว่า “ด้วยความยินดีครับ”
ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้ทำการสะกดจิตสมบูรณ์ในทันที ด้วยการที่เขาในตอนนี้กำลังปลาบปลื้มในตัวซูจิ้งอย่างมากทำให้เขาไม่ได้รู้สึกขัดขืนทางจิตใจแต่อย่างใด
หลังจากเสร็จเรื่องทั้งหมดแล้วซูจิ้งให้เฉิงหนานนำสัญญามาให้พวกเขาเซ็นในทันที ด้วยการนี้ทำให้สถาบันวิจัยห้วงเวลาฯได้ผู้มีความสามารถสามคนมาทำงานให้ในที่สุด
เฉิงหนานเองก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมซูจิ้งถึงให้ความสำคัญกับสถาบันวิจัยฯและทุ่มเงินมากมายขนาดนี้
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตามเฉิงหนานก็ได้แต่รู้สึกว่าเป็นการเผาเงินเล่นเสียมากกว่า เพราะสำหรับเธอแล้วแค่ธุรกิจที่อยู่ในมือตอนนี้ก็สร้างผลกำไรได้แทบจะไม่สิ้นสุดอยู่แล้ว
แต่ยังไงซะเธอเองก็ไม่ใช่คนที่มีอำนาจจะตัดสินใจอะไรได้ เธอเองก็ได้แต่เชื่อในตัวซูจิ้งเท่านั้นเองและคิดว่าซูจิ้งย่อมต้องมีเหตุผลดีๆของเขาเช่นกัน