GGS:บทที่ 793 โลกมันแคบ

 

ซูจิ้งให้เฉิงหนานจัดการเรื่องสัญญาของคนทั้งสาม หลังจากนั้นเขาก็ออกมาจากบริษัท

เขานั้นยังคงต้องยุ่งกับการหาสมบัติจากขยะห้วงเวลาฯมาใช้เพิ่มค่าการใช้ประโยชน์

และหาเงินเพื่อผลิตปฏิสสารเพื่อเพิ่มค่าพลังงาน

ในขณะที่จะมุ่งตรงกับบ้านก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อเห็นเป็นกงหลิงหมิงโทรมาเขาจึงรีบรับทันที หลังจากสิ้นเสียงซูจิ้งกงหลิงหมิงได้ถามออกมาว่า

 

“อาจิ้ง นายกำลังอยากได้เตาเผาขยะพลังงานไฟฟ้างั้นหรอ”

“ใช่ครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ ดูเหมือนว่าเหว่ยเสี่ยวหยวนจะเริ่มดำเนินการเรื่องที่ดินนั่นแล้ว

นอกจากนั้นเขาก็ได้ให้เหว่ยเสี่ยวหยวนเป็นคนดำเนินการเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย

อันที่จริงแล้วการยื่นเรื่องขอจัดตั้งไม่ได้ขั้นตอนมากมายอะไร เพียงแต่ค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องไปติดต่อทั้งสภาเมือง สำนักงานที่ดินและทรัพยากร สำนักงานผังเมือง สำนักงานพัฒนาและปฏิรูปเทศบาลเมือง สำนักงานอุตุนิยมวิทยา สำนักงานวิศวกรรมการก่อสร้าง สำนักงานปกป้องและคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อม แม้แต่สถานีดับเพลิง

 

ซึ่งทั้งหมดนี่จะทำให้เหว่ยเสี่ยวหยวนวุ่นวายไปพักนึงเลยทีเดียว

“ตราบใดที่เตาเผานั้นผ่านเกณฑ์มาตรฐานล่ะก็ยังไงซะผมก็จะอนุมัติการสร้างให้คุณแน่นอนครับ

แล้วก็คุณไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องการร้องเรียนหรือคัดค้านแต่อย่างใด

ปัญหาอย่างเดียวคือมลพิษที่มันจะก่อ ตราบใดที่มันยังก่อมลพิษทางอากาศและทำให้สิ่งแวดล้อมปนเปื้อน

แถมกรณีของคุณเองก็ใกล้พื้นที่ชุมชนมากพอสมควรด้วยมันอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงและเรื้อรังได้

นี่ผมให้ความเห็นไม่ใช่ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐนะแต่เป็นการให้ความเห็นในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนี้”

กงหลิงหมิงพูดออกมา

“คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้?”

“โดยปกติก็ใช่ล่ะครับ แต่คราวนี้อาจจะยากหน่อยเพราะสภาเมืองได้พยายามยกระดับงานด้านสิ่งแวดล้อมให้มากกว่าเดิมซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารและพัฒนาสภาเมืองจงหยุน

พวกเขานั้นมุ่งหวังให้เมืองมีระบบบำบัดมลพิษที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ แต่ยังไงซะด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันก็ยังคงเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานผลิตไฟฟ้าที่มาจากการเผาขยะ

 

เอาจริงๆด้วยความรู้ของคนพวกนี้ตัดสินใจอะไรไม่ได้มากนักหรอก ขอแค่เพียงมีความเป็นไปได้ ดูดี สร้างภาพลักษณ์ได้แค่นั้นก็พอแล้ว

นโยบายของสภาเมืองที่ออกมานี้แม้แต่ผมเองก็ยากจะทัดทานได้ ขนาดโรงกำจัดขยะของผมยังต้องทำตามเลย”

กงหลิงหมิงพูดออกมาแบบนั้นก็เพราะว่าต่อให้เขานั้นมีอำนาจในฐานะนายกเทศมนตรีอยู่ แต่ในเมืองนี้คนที่มีอำนาจที่สุดยังคงเป็นเลขาธิการเทศบาลเมือง คณะกรรมการพรรคฯ และเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯที่ได้รับการคัดเลือกให้ปกครองพื้นที่นี้

 

โดยแนวปฏิบัติต่างๆในการพัฒนาเมืองจะขึ้นอยู่กับคนเหล่านี้

เขานั้นมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามเพียงเท่านั้น

ถึงแม้มีอำนาจมากแค่ไหนแต่ก็ยังต้องอยู่ในกรอบที่คณะกรรมการฯกำหนดอยู่ดี

“ถ้าอย่างนั้นผมเองก็คงต้องไปแวะเยี่ยมเยือนสำนักงานคณะกรรมการพรรคฯซะหน่อยแล้วสินะ” ซูจิ้งพูดออกมา

“อาจิ้ง ชิชูจินั้นไม่ใช่คนของเราหรอกนะ แถมฝั่งเราเองก็มีความขัดแย้งกับหมอนี่อยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้อาจไม่ง่ายนัก ยังไงซะฉันจะพยายามให้ดีที่สุดแล้วกัน”

กงหลิงหมิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาๆเพื่อให้ซูจิ้งรู้ว่าเขาเองนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นไกลแต่เป็นคนของตระกูลหวังเช่นกัน

 

“ฮ่าฮ่า หากไม่ลองก็ไม่รู้ล่ะนะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะลองไปยังที่ทำการพรรคก่อนแล้วกัน แต่ผมจะทำอะไรนั้นยังไม่ขอบอกนะ” ซูจิ้งพูดออกมา

“ก็ได้ แต่นายเองก็อาจต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะไหลตามน้ำด้วยหล่ะนะ” กงหลิงหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

หลังจากวางสายซูจิ้งโทรศัพท์ไปหาเหว่ยเสี่ยวหยวนเพื่อนัดเจอกัน

หลังจากนัดเจอกันแล้วพวกเขาก็ได้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการพรรคฯ

เหว่ยเสี่ยวหยวนเองตอนแรกที่มาก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำอะไรที่นี่

แต่หลังจากที่ได้ยินซูจิ้งพูดอะไรบางอย่างทำให้เธอเองก็เริ่มรู้แล้วว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไป

 

“เอาจริงๆฉันว่าเราควรจะปฏิบัติตามขั้นตอนปกตินะ

ถึงแม้ว่าเรานั้นจะเตรียมหลักฐานบางอย่างมายังไม่พร้อมก็ตาม

แต่ฉันว่ามันจะดูไม่ดีการที่เรามาที่สำนักงานคณะกรรมการพรรคฯแบบนี้

หรือคุณจะบอกว่าผู้แทนพรรคการเมืองเหล่านี้จะไม่ยินยอมให้เราตั้งโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะจนเราต้องมากดดันพวกเขาแบบนี้”

 

“อย่ากังวลไปเลยน่า พวกเราเองก็ต้องการข้อมูลที่แน่นอนนี่นาว่าต้องทำยังไงบ้างถึงจะจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะนี้ได้

อีกอย่างการมาที่นี่จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคณะกรรมการพักด้วยนะ”

ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มจ้องมองไปยังเสี่ยวหยวนที่อยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก

ส่วนเสี่ยวหยวนนั้นอยากกระทืบพื้นระบายอารมณ์ออกมาแทนเมื่อเห็นซูจิ้งทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

 

ไม่นานหลังจากเข้าไปถึงที่สำนักงานคณะกรรมการพรรคฯ แทบจะทันทีที่พวกเขาเหยียบย่างเข้าไปในสำนักงาน

ด้วยการที่ซูจิ้งเป็นคนที่มีชื่อเสียงทำให้พวกเขานั้นได้การต้อนรับเป็นอย่างดี

 

เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับเองก็ได้บอกซูจิ้งอย่างสุภาพว่าท่านเลขาธิการพรรคติดการประชุมอยู่ เมื่อว่างแล้วจะรีบมาคุยด้วย

หลังจากเดินไปที่พื้นที่รับรองเขานั้นได้ได้เห็นชายหนุ่มหน้ายาวนั่งลงบนโซฟา และชายวัยกลางคนอีกคนที่ดูเหมือนเป็นคนญี่ปุ่น

เมื่อซูจิ้งเห็นพวกเขาก็ได้หยุดมองในทันที อีกฝ่ายเองก็มีท่าทางไม่ต่างกัน

“นายมาทำอะไรที่นี่” ชายหนุ่มหน้ายาวทำหน้าบอกบุญไม่รับในทันที

นั่นก็เพราะว่าด้วยเรื่องของหวังหยานก่อนหน้านี้ ทำให้เขาเกลียดซูจิ้งเลยกลั่นแกล้งเขาด้วยการรายงานเรื่องของซูจิ้งให้กับภาครัฐแต่ซูจิ้งก็จัดการทุกอย่างได้และยังอยู่ดีอยู่

นี่ทำให้เขานั้นเกลียดซูจิ้งมากเสียยิ่งกว่าเดิมซะอีก ยิ่งนึกถึงว่าตัวซูจิ้งมีคู่หมั้นสาวสวยชนิดหาใครเปรียบมิได้

 

แถมในตอนที่ซูจิ้งเล่นเพลง “ณ ชั่วขณะจิตแห่งความสวยงาม” และ “เพลงขอให้คู่รักได้แต่งงานกัน”

นั่นได้ไปทำให้จิตใจของหวังหยานหวั่นไหวจนทำให้ร้องไห้ออกมาไม่หยุดอยู่นาน

ทำให้เขานั้นเกลียดซูจิ้งจนฝังเข้ากระดูกดำไปแล้ว

 

โอฉิงซงได้มองไปยังเว่ยเสี่ยวหยวนที่อยู่ข้างๆซูจิ้งที่ตอนนี้อยู่ในชุดที่ดูเซ็กซี่และน่าเย้ายวนใจจนทำให้เขานั้นรู้สึกอิจฉาขึ้นมาจนต้องหาทางระบายแค้นอะไรซักอย่าง

ซูจิ้งเองก็มองโอฉิงซงไปปราดนึงและก็ไม่ได้สนใจอะไร

เมื่อเห็นว่าซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจเขานั่นยิ่งทำให้โอฉิงซงเกิดความรู้สึกโกรธขึ้นมาในทันที

อย่างไรก็ตามเขานั้นพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ก่อปัญหากับซูจิ้งถึงแม้ว่าจะอยากแค่ไหนก็ตาม ยังไงซะที่นี่ก็ยังเป็นสำนักงานคณะกรรมการพรรคฯไม่ใช่ที่ของเขา และเขาเองก็มาเพื่อทำธุระที่นี่เท่านั้น

 

ซูจิ้งและเว่ยเสี่ยวหยวนนั่งลงและได้ถามไปยังหญิงวัยกลางคนที่กำลังชงชาว่าจะได้พบประมาณกี่โมง

เธอได้บอกเขาว่าหากผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯชิเสร็จเมื่อไหร่จะรีบโทรบอกทันที ซูจิ้งจึงพูดออกไปว่า

“ได้ครับ รบกวนด้วย” ซูจิ้งพยักหน้ารับ

“อ่อ แล้วก็ คุณโอนั้นก็ต้องการมาคุยกับท่านผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯชิในการดำเนินงานเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเช่นเดียวกัน

ถ้ายังไงล่ะก็คุณซูสามารถคุยกับเขาไปพลางๆก่อนได้ค่ะ” เมื่อสิ้นเสียงที่หญิงวัยกลางคนพูด ทั้งซูจิ้งและโอฉิงซงต่างขมวดคิ้วและมองหน้ากันในทันที

 

หลังจากที่หญิงวัยกลางคนเดินจากไป โอฉิงซงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“ไม่คิดเลยว่าคุณซูเองก็มีความสนใจในเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอยู่เหมือนกันนะเนี่ย

แต่ก็คงจะต้องมีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกคุณซูไว้ก่อนนะว่าผมนั้นมีความตั้งใจที่จะเสนอเทคโนโลยีเตาเผาขยะที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น และผู้แทนคณะกรรมการฯเองก็ยอมรับเรื่องนี้แล้ว

เกรงว่าคุณซูเองน่าจะมาเสียเที่ยวซะเปล่าๆ ยังไงซะผู้แทนฯชิเองก็ต้องอยากพบผมมากกว่าคุณแน่นอน”

 

ซูจิ้งจ้องมองไปยังชายชาวญี่ปุ่นที่อยู่ข้างโอฉิงซงก่อนจะพูดออกมาว่า “ผมจำได้ว่าครอบครัวของนายสนใจเฉพาะงานด้านเกษตรไม่ใช่หรอนั่น?”

โอฉิงซงได้ยืดอกก่อนจะพูดออกมาว่า “ครอบครัวของฉันแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ได้สนใจแต่ด้านเกษตรอย่างเดียวแน่นอนอยู่แล้ว

ความจริงพวกเราเรียนรู้และมีเข้าใจเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังงานขยะไม่น้อยไปกว่างานด้านเกษตรเลย

อาจจะมากกว่าที่นายคิดซะด้วยซ้ำ ความจริงฉันสิที่ต้องถามว่านายสนใจงานด้านนี้แล้วเข้าใจมันแค่ไหน”

 

“เรามาคอยดูกันก่อนก็แล้วกัน” เหว่ยเสี่ยวหยวนอดไม่ได้ที่จะแทรกเข้ามาด้วยความหมั่นไส้

“คนสวย ซูจิ้งจ่ายค่าจ้างให้เธอเท่าไหร่กัน ฉันยินดีให้สองเท่าเลยนะ มาทำงานเป็นตัวแทนของฉันดีกว่าน่า”

โอฉิงซงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ พลางคิดไปว่าถ้าเขาสามารถซื้อตัวผู้ช่วยของซูจิ้งคนนี้ได้ก็คงช่วยให้เขาหายแค้นได้ไม่น้อย

“สองเท่าหรอ ก็น่าสนใจดีนี่” เหว่ยเสี่ยวหยวนพยักหน้าเห็นด้วยนั่นทำให้โอฉิงซงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

เธอได้พูดต่อว่า “แต่น่าเสียดายหน่อยนะต่อให้นายเสนอมาร้อยเท่าแต่ก็ยังไม่น่าสนเท่าได้ทำงานก็บอสของฉัน เพราะอย่างนั้นลืมๆคำพูดของนายไปซะเถอะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของโอฉิงซงได้แข็งค้างไปทันใดนั้นเขาก็ได้รู้สึกโกรธขึ้นมาในทันที

เขาไม่คิดว่าเหว่ยเสี่ยวหยวนจะหักหน้าเขาขนาดนี้ แต่ทันใดนั้นประตูก็ได้ถูกเปิดออกมา

 

ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าเป็นหญิงวัยกลางคนก่อนหน้านี่

แต่กลายเป็นว่าเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 – 50 ปี เข้ามาแทน

ทันทีที่โอฉิงซงเห็นเขาถึงกับตกใจจนต้องยืนขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“สวัสดีครับผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯชิ”

โอฉิงซงรู้สึกประหลาดในในทันที ทำไมผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯถึงได้มาที่นี่ด้วยตัวเองกัน

เขาเองก็เคยมาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้พบเลย

แต่นี่เพียงซูจิ้งมาถึงกับทำให้เขานั้นต้องมาด้วยตัวเองเลยหรอ

ผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯได้ตรงไปยังซูจิ้งทันทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“คุณซู อะไรถึงทำให้คุณมาที่นี่ในวันนี้กันล่ะครับ”