หลังจากอี้อวิ๋นฉังจากไปแล้ว ฮั่วเทียนอวี่ยังนั่งคิดอยู่ที่เดิมอีกนานมาก ในหัวเขามีภาพความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลินหว่าน มันช่างสวยงามปานนั้น แต่ตอนนี้เธอได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว เธอเย็นชากับเขา ถึงกับคิดจะให้เงินเขาก้อนหนึ่งเพื่อตัดความสัมพันธ์ของพวกเขา ช่างใจร้ายซะจริงเลย
ฮั่วเทียนอวี่ปิดตาลง คำพูดของอี้อวิ๋นฉังยังดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัวสมอง
ฮั่วเทียนอวี่ลืมตาขึ้น มองตรงไปข้างหน้า คุณไม่ชอบผม ไม่ยอมอยู่กับผม เพราะผมไม่มีเงินไม่มีอำนาจงั้นเหรอ
ถ้าหากผมมีเงินมีอำนาจเหมือนกับเซียวจิ่งสือ คุณจะเลือกอยู่กับผมหรือเปล่า เสี่ยวเสี่ยว
ฮั่วเทียนอวี่ตัดสินใจได้ มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานหายวับไป เขากลับบ้านด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ พิมพ์บางอย่างบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างเร็ว ไม่นานนัก ประวัติย่อที่งามพร้อมสมบูรณ์ก็ถือกำเนิดขึ้น
ฮั่วเทียนอวี่ตรวจสอบใบเรซูเม่อย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นค้นหาเว็บไซต์บนเน็ต ส่งใบเรซูเม่ของเขาไปยังกล่องจดหมายของบริษัทคู่แข่งของเซียวจิ่งสือ…อันซวี่กรุ๊ป
ฮั่วเทียนอวี่รู้ว่าพวกเขาจะต้องรับเขาแน่ ไม่ว่าเขาจะเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร พวกเขาก็จะรับเขาไว้
แค่ตอนที่เขานั่งตำแหน่งประธานแทนเซียวจิ่งสือ ได้รับทราบข่าวสารข้อมูลมาก็เพียงพอที่จะแลกตำแหน่งที่ไม่เลวเลย ยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถทำหน้าที่ประธานแทนเซียวจิ่งสือ จะเป็นคนไม่มีความสามารถได้ยังไงกันเล่า?
เขาข้ามห้วยไปบริษัทของพวกเขา เกรงว่าพวกเขาจะอยากได้จนตัวสั่นเลยกระมัง
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เพียงแค่ไม่กี่วัน ขณะที่ฮั่วเทียนอวี่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาในบ้าน พลันก็ได้ยินเสียงเตือนดังมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะหนังสือ เขาปิดหนังสือ ฮั่วเทียนอวี่เข้ามาที่หน้าโต๊ะคอมฯ อย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง เปิดกล่องรับจดหมาย แล้วเห็นว่ามีจดหมายแจ้งให้เขาไปทำงานในวันพรุ่งนี้ กลายเป็นพนักงานของบริษัทโดยข้ามขั้นตอนการสัมภาษณ์และทดลองงานไปเลย
นี่คือความจริงใจที่พวกเขาแสดงต่อเขาเพื่อให้ได้ข้อมูลงั้นรึ? ฮั่วเทียนอวี่หัวเราะเบาๆ แต่…แต่ก็แค่พนักงานคนหนึ่งเท่านั้น เขายังไม่พอใจแค่นี้หรอก
วันรุ่งขึ้น ฮั่วเทียนอวี่สวมชุดสูทมาที่บริษัท ทักทายกับบรรดาพนักงานรุ่นเก่าตามมารยาท แล้วรีบลงมือทำงาน แม้จะเป็นวันแรกที่มาทำงาน แต่ฮั่วเทียนอวี่ก็คุ้นเคยกับงานในหน้าที่มาก พอเจอกับเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ขอความรู้กับพวกพนักงานที่อยู่มาก่อนอย่างนอบน้อมถ่อมตัว พูดได้ว่าความขยันเอาจริงและเชื่อฟังของฮั่วเทียนอวี่สร้างความรู้สึกที่ดีให้กับบรรดาพนักงานรุ่นใหญ่ได้จริงๆ
ฮั่วเทียนอวี่ทางหนึ่งก็ดูดซับความรู้ด้านต่างๆ ราวกับเป็นฟองน้ำ อีกด้านหนึ่งก็รอดูท่าทีอย่างเงียบๆ ใกล้แล้ว อีกไม่นานหรอก เขาทนไม่ได้หรอก เขาต้องมาหาเขาแน่ รออีกหน่อย
แล้วก็เป็นดังคาด บ่ายที่แสนจะธรรมดาวันหนึ่ง ขณะฮั่วเทียนอวี่กำลังก้มหน้าก้มตาเตรียมเอกสารอย่างตั้งใจ ก็มีเงาร่างคนคนหนึ่งปรากฏอยู่บนกระดาษของเขา ฮั่วเทียนอวี่กะพริบตา วางมือจากเอกสาร เงยหน้าขึ้น มองดูเลขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เผยรอยยิ้มหวาน เขาแทบกลั้นใจไม่อยู่ ถามออกไปทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า “สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยครับ?”
“ท่านประธานให้คุณไปพบค่ะ” เลขาพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เขายืนอยู่ที่เดิม รอให้ฮั่วเทียนอวี่จัดเอกสารเสร็จวางกลับคืนที่เดิมแล้ว ก้าวยาวๆ ไปทางลิฟท์ ฮั่วเทียนอวี่รีบก้าวตาม ก่อนที่เลขาจะกดเลือกชั้น เขากดปุ่ม แล้วส่งยิ้มให้กับเลขาที่ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เลขานิ่งงันไป แล้วพูด “ขอบคุณค่ะ” เสียงเรียบกับฮั่วเทียนอวี่
พอถึงชั้นบนสุด เลขาเคาะประตู พูดว่า “ท่านประธานคะ พาเขามาแล้วค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา แล้วคุณก็ไปจัดการกับเอกสารต่อเถอะ” อันหลินอี๋ถือถ้วยกาแฟ ตามองคอมพิวเตอร์อยู่ พอได้ยินก็วางถ้วยกาแฟลง แล้วสั่งการ
“ค่ะ” เลขาถอยไปก้าวหนึ่ง ในสัญญาณฮั่วเทียนอวี่เข้ามา พอฮั่วเทียนอวี่เข้าไปแล้วก็ปิดประตูลงอย่างเบามือ
“นั่งสิ ได้ยินชื่อคุณมานานนะ คุณฮั่ว” อันหลินอี๋พูดพลางมองฮั่วเทียนอวี่ยิ้มๆ พร้อมกับชี้มือไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน
แน่นอนว่าฮั่วเทียนอวี่คงไม่หาเรื่องให้ตัวเองลำบาก ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น เขานั่งลงอย่างไม่ลังเล พูดว่า “คุณอันชมเกินไปแล้ว คราวนี้ไม่ทราบว่าเรียกผมมามีธุระอะไรหรือครับ?”
“ผมเรียกคุณมาด้วยเรื่องอะไร คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? คุณฮั่ว” กาแฟที่อันหลินอี๋วางไว้บนโต๊ะยังมีควันลอยกรุ่น ไอน้ำที่ลอยขึ้นมาบดบังแววตาของอันหลินอี๋ให้ดูเลือนราง ฮั่วเทียนอวี่ไม่อาจเห็นสายตาของเขาได้ชัดนัก
“เอ่อ ก็ใช่ครับ” ฮั่วเทียนอวี่ยิ้มจืดๆ “ข้อมูลของผมคุณคงไปสืบมาพอสมควรแล้วสินะครับ คุณจะเสนอให้อย่างไรครับ”
“โอ้ว คุณฮั่วพูดอะไรน่ะ บริษัทเราจะสืบข้อมูลของพนักงานตัวเองได้ยังไงกัน” อันหลินอี๋แกล้งพูดอย่างแปลกใจ
“หึ” ฮั่วเทียนอวี่มองอันหลินอี๋ แค่นหัวเราะออกมา ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ผมรู้สึกว่าบริษัทคุณไม่ค่อยมีความจริงใจเลยนี่? งั้นพรุ่งนี้ผมคงต้องลาออกแล้ว ผมคิดว่าบริษัทอื่นคงยินดีรับผมเข้าทำงานแน่”
พูดจบฮั่วเทียนอวี่ก็หมุนตัวจะเดินออกไป 1…2…3
“เดี๋ยวก่อน” อันหลินอี๋ลุกพรวดขึ้น พูดว่า “สิบล้าน บอกข้อมูลที่คุณรู้ให้ผม คุณว่ายังไง”
“สิบล้านเหรอ ฟังดูก็ไม่เลวนะ” รอยยิ้มของฮั่วเทียนอวี่หายวับไป เขาหมุนตัวมาสบตาอันหลินอี๋ พูดว่า “แต่ว่า…”
“ไม่พอเหรอ? คุณอยากได้เท่าไหร่?” อันหลินอี๋พูดพลางขมวดคิ้ว “ถึงแม้คุณจะเป็นประธานแทนเซียวจิ่งสืออยู่หลายวัน แต่พูดกันจริงๆ แล้วก็แค่ไม่กี่วัน ข้อมูลข่าวสารที่ได้มีจำกัด ผมไม่ทราบว่าราคาที่คุณฮั่วคิดไว้เป็นเท่าไหร่ แต่อยากจะบอกคุณฮั่วสักคำว่า คนเราโลภมากไปก็ไม่ดีนักนะ”
“อือฮึ? นี่คุณมองผมแบบนี้รึคุณอัน ช่างน่าเสียใจจริงๆ เลยนะ” ฮั่วเทียนอวี่เลิกคิ้วมองอันหลินอี๋ พอเห็นเขาขมวดคิ้วแน่นก็ถอนใจ พูดว่า “ผมน่ะ ก็ไม่หวังอะไรมาก คุณอันให้ผมทำงานอยู่ที่บริษัทต่อไป ให้ตำแหน่งผู้จัดการกับผมก็พอแล้ว”
“คุณต้องการแบบนี้รึ? คุณคิดจะทำอะไร? ไม่ต้องการเงิน ก็เพื่อตำแหน่งผู้จัดการนี่นะ?” อันหลินอี๋มองดูผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจความคิดของเขา
“อือฮึ” ฮั่วเทียนอวี่ผงกศีรษะเป็นทียอมรับ “ง่ายๆ แค่นี้เอง ข้อตกลงแลกเปลี่ยนนี้คุณอันเห็นว่ายังไงครับ?”
“ได้” อันหลินอี๋ตกลง เขาคิดดูแล้วพูดว่า “คุณกลับไปทำงานต่อก่อนเถอะ อีกสองสามวันผมจะแจ้งตำแหน่งงานใหม่ให้คุณทราบ”
“ได้ครับ งั้นขอตัวไปทำงานก่อนครับท่านประธาน” ฮั่วเทียนอวี่ยิ้มพลางพูด พอออกจากห้องแล้ว จู่ๆ ก็โผล่ศีรษะมาพูดว่า “พอได้เวลาแล้ว ผมจะส่งมอบข้อมูลให้คุณ กรุณารอด้วยใจสงบครับ”
พอฮั่วเทียนอวี่ลงลิฟท์ไปแล้ว พวกเพื่อนร่วมงานก็มุงกันเข้ามา รุมถามว่า “เทียนอวี่ ท่านประธานเรียกคุณไปทำอะไรน่ะ” “เรื่องงานรึเปล่า?” “เขาต่อว่าอะไรคุณไหมนะ”
“ทุกคนอย่างคิดมาก ท่านประธานแค่เรียกผมไปอธิบายเรื่องบางอย่างเท่านั้น พวกคุณก็รู้ว่าเมื่อก่อนผมทำงานอยู่บริษัทฝ่ายตรงข้าม จู่ๆ ลาออกมาอยู่ที่นี่ ท่านประธานก็อดคิดมากไม่ได้น่ะ”
“จะว่าไป เทียนอวี่ได้ยินมาว่าดูเหมือนคุณกับหลินหว่านที่เป็นแฟนของเซียวจิ่งสือสนิทกันอยู่นะ”
ไม่รู้ว่าใครพูดโพล่งออกมา ทำเอาทุกคนเงียบกริบกันไปหมด