ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 25 เพลิงโทสะของตระกูลอิงซาน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 25 เพลิงโทสะของตระกูลอิงซาน Ink Stone_Fantasy

“หั่วเลี่ย”

เสียงของแม่เฒ่าอิงซานยังคงราบเรียบ “เจ้าปกครองเมืองอัคคีโชติของเจ้าได้หละหลวมเกินไปแล้ว ทำให้ยอดฝีมือผู้นี้แทรกซึมเข้ามาได้”

“เป็นข้าที่ไร้ความสามารถเองขอรับ” ท่านโหวหั่วเลี่ยพูดพลางก้มศีรษะ

“ยังมีมารรับใช้เฉาชิ่งอีกตนหนึ่งด้วย!” แม่เฒ่าอิงซานพูดเสียงเรียบ “สามารถส่งมารร้ายเหนียนจิ่วมาได้ ทำใจส่งมารรับใช้ตนหนึ่งมาเป็นมือสังหารได้…เกรงว่าผู้บงการอยู่เบื้องหลังในครั้งนี้ คงจะมีสถานะไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”

ท่านโหวหั่วเลี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

ดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็นท่านโหวคนหนึ่ง ก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะซื้อมารรับใช้สักตนหนึ่งมา แน่นอนว่าเขามีปัญญาซื้อ ‘เฉาชิ่ง’ ซึ่งเป็นมารรับใช้ระดับต่ำสุดในบรรดาขั้นอลวนได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ประจำการอยู่ในเมืองอัคคีโชติมานมนาน จึงย่อมรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องซื้อ! ฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว

“ตรวจสอบ” แม่เฒ่าอิงซานพูดเสียงเย็นชา “ตรวจสอบให้ถึงที่สุด ฝูเฉิน เจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนข้าที่เมืองอัคคีโชติสักสามวันเพื่อช่วยตรวจสอบเสียหน่อย เกรงว่าลูกน้องของหั่วเลี่ยคงจะอ่อนแอด้านการตรวจสอบไปบ้าง”

“ได้สิ” ตาเฒ่านัยน์ตาเขียวพูดยิ้มๆ

แม่เฒ่าอิงซานเป็นหนึ่งในอ๋องที่เก่าแก่อย่างยิ่งแห่งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา พลังก็จัดอยู่ในอันดับแรกสุด ตอนที่ยังอ่อนแอ โหวฝูเฉินก็เคยได้รับน้ำใจจากแม่เฒ่าอิงซาน จากนั้นทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงและอิงซานเลี่ยฮู่ที่อยู่บนรถเกี้ยวยืนขึ้นมาก่อนแล้ว

“เจ้าหนูเสวี่ยอิง” แม่เฒ่าอิงซานมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางหัวเราะฮิฮิ “เจ้าหยิบหอกยาวเล่มหนึ่งออกมา ทำไมรึ คิดจะต่อสู้กับศัตรูด้วยตนเองหรือ”

“ท่านบรรพชนดั้งเดิมขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันแผ่กลิ่นอายจากร่างออกสู่ภายนอกพลางพูดด้วยความมั่นใจในตนเองว่า “บัดนี้ข้ามีพลังระดับวังปฐมเทพชั้นที่ห้าแล้ว เชื่อว่าเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูก็พอจะสามารถสู้ได้บ้าง ไม่มีทางยอมจำนน ยอมศิโรราบง่ายๆ แน่นอน”

แม่เฒ่าอิงซานฟังแล้วก็นัยน์ตาเป็นประกาย

“ร่างเมฆทักษิณาทิพย์บรรลุถึงระดับชั้นที่ห้าแล้วหรือ” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยที่อยู่ด้านข้างก็ตกใจ

“หาได้ยากๆ นี่เพิ่งจะห้าล้านปีเท่านั้นเองกระมัง คุณชายน้อยเสวี่ยอิงก็สามารถบรรลุถึงพลังระดับวังปฐมเทพชั้นที่ห้าได้แล้ว” โหวฝูเฉินรำพึง “สำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นสามารถอาศัยสายเลือดได้ แต่จะฝึกฝนวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ากลับต้องอาศัยการรับรู้ ห้าล้านปีบรรลุถึงระดับขั้นเช่นนี้ได้ พรสวรรค์ระดับนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”

แม้แม่เฒ่าอิงซานจะเบิกบานใจแต่ก็ยังคงพูดขึ้นว่า “อย่าเอาแต่ชมเจ้าหนุ่มคนนี้อีกเลย เขามีสายโลหิตไม่ธรรมดา ทั้งยังมี ‘สายเลือดห้วงอากาศ’ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากท่านประมุขรัฐพอดิบพอดี เมื่อได้รับรู้การเปลี่ยนแปลงของสายโลหิต จึงบำเพ็ญวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าได้สบายมาก ห้าล้านปีสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้ ก็พอจะนับได้ว่าไม่เลวเท่านั้น”

นางเกรงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะหยิ่งผยองเกินไป

เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลอิงซาน หากหยิ่งผยองเกินไป จนกลายเป็นเย่อหยิ่งทระนงขึ้นมา แล้วจริงจังในการบำเพ็ญไม่พอขึ้นมา เช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบต่ออนาคตอย่างรุนแรงแล้ว

“เจ้าหนูเสวี่ยอิง” แม่เฒ่าอิงซานพูดยิ้มๆ “แม้เจ้าจะมีพลังระดับวังปฐมเทพชั้นที่ห้า แต่ทั้งมารรับใช้และมารเฒ่าเหนียนจิ่วผู้นั้นก็ล้วนแต่มีพลังระดับวังปฐมเทพชั้นที่เจ็ดทั้งสิ้น หากพวกเขาจะสังหารเจ้า แค่พลิกฝ่ามือก็สามารถสังหารได้แล้วจริงๆ”

“ข้าทราบดีขอรับ แต่ก็มิอาจปล่อยให้พวกเขาสังหารโดยไม่ป้องกันอะไรเลยอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “บรรพชนดั้งเดิม ข้าก็บรรลุจนมีพลังระดับนี้แล้ว น่าจะสามารถไปยังนครหลวงได้แล้วกระมัง ไปยังสำนักใหญ่ของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เพื่อศึกษาวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าอันสมบูรณ์”

“อื้ม”

แม่เฒ่าอิงซานและท่านโหวหั่วเลี่ยต่างก็พยักหน้าอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“เจ้าต้องไป ทั้งยังต้องรีบไปโดยเร็วที่สุดด้วย” ท่านโหวหั่วเลี่ยกล่าว

“สำนักใหญ่ของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มียอดฝีมือมากมาย ไปบำเพ็ญที่นั่นจะมีประโยชน์ต่อเจ้าเป็นอันมาก” แม่เฒ่าอิงซานกล่าว “จะให้ดีที่สุด เจ้าก็บำเพ็ญอยู่ที่นั่นให้นานหน่อย ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ข้าจะหาสหายของข้าให้ เพื่อให้เจ้าได้เป็นศิษย์แรกเข้าแห่งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์”

“ขอบคุณท่านบรรพชนดั้งเดิมขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ผ่านไปสักหลายวันข้าจะจัดแจงให้เจ้าออกเดินทางเอง” แม่เฒ่าอิงซานกล่าว เมื่อโบกมือคราหนึ่ง ก็ปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิง อิงซานเลี่ยฮู่ เถียนอี้จือและบ่าวรับใช้รวมทั้งองครักษ์ทั้งหลาย ตู้มมม…มันนำพาพวกตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนย้ายมายังจวนท่านโหวหั่วเลี่ย เห็นได้ชัดว่าด้วยพลังของแม่เฒ่าอิงซาน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีอากาศกดดัน การเคลื่อนย้ายมิติในระยะใกล้ก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

แน่นอนว่านางมิอาจทำการ ‘ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น

“เฮอะ” สีหน้าของแม่เฒ่าอิงซานเคร่งขรึมลง “ข้าจะหาดูว่าที่แท้แล้วเบื้องหลังคือผู้ใดกันแน่”

นัยน์ตาของท่านโหวหั่วเลี่ยก็มีประกายหนาวเหน็บวาบผ่านแน่นอนว่าครั้งนี้ก็แค่ร้อนใจอย่างยิ่งเท่านั้น

……

ทั้งเมืองอัคคีโชติ มีเเสียงลมพัดอึงอลไปหมด

“ฟิ้วๆๆ”

กองทัพหั่วเลี่ยแทบจะเคลื่อนไหวยกกอง กองกำลังต่างๆ ของกองทัพหั่วเลี่ยบินเหินอยู่เหนือท้องฟ้าของเมืองอัคคีโชติเพื่อตรวจสอบตามที่ต่างๆ

แม่เฒ่าอิงซานทิ้งร่างแยกเอาไว้ที่นี่เพียงร่างเดียวเท่านั้น แต่นางให้โหวฝูเฉินประจำการที่นี่ เมื่อพบข้อสงสัยเล็กน้อย ก็จะไปตรวจสอบกับโหวฝูเฉินด้วยตนเอง

มีนางอยู่…

ในเมื่อเป็นยักษ์ใหญ่อีกคนของเมืองอัคคีโชติมาเอง ฉุนอวี้เว่ยอีที่ปกครองตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาก็ได้ออกคำสั่งให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายกลับที่พำนักของแต่ละคนไปก่อน โดยห้ามออกมาเพ่นพ่านภายนอกเด็ดขาด

“ว่ามา”

ฉุนอวี้เฟิงร่างอ้วนท้วนคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ

ท่านโหวหั่วเลี่ยนั่งอยู่ตรงนั้น รอบด้านมีนายทหารมากมาน ท่านโหวหั่วเลี่ยมองฉุนอวี้เฟิงด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

“ขอรับๆ ข้าจะพูดให้หมดเปลือกเลย แต่ว่าท่านโหว เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับข้าเลยนะขอรับ” เจ้าของหอ ฉุนอวี้เฟิงร้องตะโกน เขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากทางตระกูล แต่ทางตระกูลกลับบอกเขาว่า…ร่วมมือกับตระกูลอิงซานอย่างเต็มที่!

แม่เฒ่าอิงซานขุ่นเคือง!

แม้ตระกูลฉุนอวี้จะเป็นหนึ่งในสามตระกูลระดับกษัตริย์ แต่กลับมิอาจยั่วให้แม่เฒ่าอิงซานโกรธเคืองเพียงเพราะเจ้าหนุ่มด้านล่างคนนี้ได้!

ในฐานะที่แม่เฒ่าอิงซานได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง หากพลั้งมือทำลายฉุนอวี้เฟิงไป ก็จะไม่มีบทลงโทษเลยแม้แต่น้อย

……

ห่วงโซ่ของธุรกิจสีเทาในอดีตถูกรื้อออกมาเส้นแล้วเส้นเล่า คนตระกูลอ๋องโหวถูกจับมาไต่สวนเป็นจำนวนมาก บรรดาคนตระกูลอ๋องโหวเหล่านี้ล้วนไม่มีอนาคตด้านพลังแล้ว จึงย่อมคิดจะหากำไรเพื่อแลกเปลี่ยนเป็น ‘ทรัพยากร’ ให้ได้มากขึ้น แน่นอนว่ามีบางคนที่สอดมือเข้าไปในธุรกิจสีเทาแล้ว บัดนี้ต่างก็ถูกกานก้านเสวียผู้นั้นแทรกแซงจนถูกทำลายเหมือนปลาที่ตายยกบ่อ

“กานก้านเสวีย เคราะห์ดีที่เจ้าตายเร็ว มิเช่นนั้นแล้วข้าจะต้องไม่ละเว้นเจ้าแน่” ฉุนอวี้เฟิงถุกจองจำอยู่ในกรงขังพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองวัน เขาต้องเผชิญกับการไต่สวนมากมายไปจนถึงการลงทัณฑ์ ถึงขั้นเคยถูกส่งไปยังเรือนประจำตระกูลอิงซานเพื่อไต่สวนภายในเขตลวง แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ท่านโหวหั่วเลี่ยก็ยังคงจองจำเขาเอาไว้ดังเดิม

เขา ฉุนอวี้เฟิง ดีร้ายอย่างไรก็เป็นคนตระกูลฉุนอวี้ สถานะก็นับว่าสูงส่งนัก ก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างพอถูไถเท่านั้น

ภายใต้การตรวจสอบทั่วเมืองอัคคีโชติของตระกูลอิงซานในครั้งนี้ มีคนตระกูลอ๋องโหวที่เคยช่วยติดต่อมารเฒ่าเหนียนจิ่วมาก่อนล้วนถูกสังหารจนสิ้น! ผู้ที่มีสถานะไม่สูงส่งแล้วทำธุรกิจสีเทานั้น ขอเพียงสงสัยว่าเคยเป็นลูกน้องของกานก้านเสวียก็ล้วนต้องถูกกักขัง หรืออาจมีโทษถึงตาย

*******

ในเวลาสามวัน คนตระกูลอ๋องโหวทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติต่างก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวเพิ่มขึ้นมาก

เมื่อเผชิญหน้ากับคนธรรมดาสามัญ พวกเขาสามารถอวดเบ่งได้ตามอำเภอใจ แต่หากสังหารคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาก็จะต้องเสียค่าปรับ แต่แม่เฒ่าอิงซานสังหารพวกเขากลับไม่มีการลงทัณฑ์เลยแม้แต่น้อย! แน่นอนว่าแม่เฒ่าอิงซานก็คงไม่สังหารคนมั่วซั่ว ในบรรดาอ๋องโหวของรัฐเมฆทักษิณาก็มีกฎเกณฑ์บางอย่างแฝงอยู่เช่นกัน

“เฮอะๆ”

ณ ห้องเงียบใต้ดินของจวนที่ธรรมดาสามัญมากแห่งหนึ่งภายในเมืองอัคคีโชติ

นายท่านมารร้ายชุดดำกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้ ด้วยความกว้างใหญ่ของเมืองอัคคีโชติ ผู้บำเพ็ญมากมายนับไม่ถ้วนจึงไม่มีทางตรวจสอบครบทุกบ้านได้ ส่วนร่างแปรของนายท่านมารร้ายได้กบดานอยู่ภายในเมืองอัคคีโชติ โดยมิได้ติดต่อกับผู้ใต้บังคับบัญชาแต่อย่างใดเลย

“ร้อนใจแล้ว คลั่งแล้วอย่างนั้นรึ”

“แค่ลอบสังหารเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยังมิทันได้สำเร็จก็โมโหถึงเพียงนี้เสียแล้วหรือนี่” มุมปากของนายท่านมารร้ายชุดดำกระดกขึ้นเล็กน้อย “โหวหั่วเลี่ย เจ้านี่ข่มอารมณ์มิได้เลยจริงๆ”

เขาปิดเปลือกตาลงแล้วนั่งขัดสมาธิก่อนจะดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา

สำหรับเขาแล้ว…นี่เป็นแค่การทักทายโหวหั่วเลี่ยเท่านั้นเอง

 ……………………………….