[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 15 ศัตรูย่อมหนีกันไม่พ้น

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

นี่คือถ้ำที่มีคุณค่าแก่การวิจัยทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก เพียงแค่ดูเรื่องราวที่บันทึกไว้บนภาพวาดหินสีแดงก็รู้แล้วว่า ชนเผ่าสมัยโบราณเกิดขึ้นและดำรงชีวิตเช่นไร ถ้านักประวัติศาสตร์ได้มาเห็น พวกเขาคงจะปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก คงคิดว่าได้เห็นสมบัติอันล้ำค่า

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ เขาเลยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาสนใจแค่ว่าก่อนที่พายุฝนจะมาถึง ตัวเองจะหาฟืนและเสบียงอาหารมาตุนไว้ได้มากกว่านี้หรือไม่

 

 

ไม้แห้งริมทะเลสาบกระจัดกระจายอยู่บนพื้นทราย ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยเก็บฟืนได้กองหนึ่ง เขาก็จะมัดมันด้วยเถาวัลย์สีขาวแล้วเอาไปวางไว้บนหลังของวั่งไฉ จากนั้นตัวเองก็แบกอีกหนึ่งกอง คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัวกลายเป็นรถขนส่งระหว่างถ้ำกับทะเลสาบ

 

 

ในแอ่งน้ำมีปลาอยู่ แต่น้ำในแอ่งตื้นเกินไป พวกมันกำลังพ่นฟองให้กันและกัน ถ้าคืนนี้มีพายุฝน การยืนหยัดของพวกมันก็จะได้การตอบแทน พวกมันจะได้กลับไปมีชีวิตที่อิสระในแม่น้ำอีกครั้ง

 

 

แต่น่าเสียดายที่อวิ๋นเยี่ยเจอพวกมันเข้าแล้ว คนที่ถูกความหิวโหยข่มขู่อยู่ตลอดเวลาไม่มีทางคิดอะไรมากมาย เขากระโดดลงไปจับปลาในแอ่งน้ำ จับได้ตัวหนึ่งก็โยนขึ้นไปบนพื้นทราย ผ่านไปไม่นาน บนพื้นทรายก็เต็มไปด้วยฝูงปลาที่ดิ้นรนร้องขอชีวิต จับใส่ตาข่ายทีละตัว ในตาข่ายเต็มไปด้วยปลาตัวเล็กตัวใหญ่ แม้แต่ตัวที่เล็กเท่านิ้วมือก็ไม่เว้น สนใจแค่ผลประโยชน์ระยะสั้นจริงๆ

 

 

หลังจากตระเวนตรวจสอบดูรอบๆ แน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย เขาถึงได้เดินออกไป วั่งไฉชอบกินดอกผู่กงอิงเป็นที่สุด ไม่ว่าจะแก่หรืออ่อนมันก็ชอบ ถุงตาข่ายห้อยอยู่ใต้คอ อวิ๋นเยี่ยขุดออกมาต้นหนึ่ง มันก็แอบกินจากถุงตาข่ายต้นหนึ่ง ขุดอยู่ตั้งนาน อวิ๋นเยี่ยหันไปดู เห็นว่าในถุงตาข่ายเหลืออยู่แค่สองสามต้น

 

 

โทษมันไม่ลง ทำได้แค่ขุดเอาใหม่ แต่ครั้งนี้แขวนถุงตาข่ายไว้ที่คอของอวิ๋นเยี่ย ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในป่าเขาก็คือมักจะมีเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจอยู่เสมอ เมื่อกี้ยังมีความสุขที่ได้เจอดอกผู่กงอิง ผ่านไปไม่นานก็เจอหน่อไม้จำนวนมากอยู่ใต้กอไผ่

 

 

หาไม้แข็งๆ มาเกลี่ยทรายออก หน่อไม้ที่อ้วนท้วนอยู่ตรงหน้า ใครต่างก็ชอบความรู้สึกของการมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว มันอยู่ในกระดูกของเราไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับนิสัย ไม่เกี่ยวกับฐานะ และก็ไม่เกี่ยวกับยศถาบรรดาศักดิ์

 

 

เมื่อหลังของวั่งไฉเต็มไปด้วยหน่อไม้ อวิ๋นเยี่ยถึงได้ยั้งมือ จำเป็นต้องยั้งมือจริงๆ สายฟ้าแลบรูปร่างราวกับช้อนส้อมผ่าผ่านเมฆสีดำ ตรงกลางของหน้าผายังมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ทันใดนั้น ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็ถูกฟ้าผ่ากลายเป็นคบเพลิงในทันที

 

 

รีบเรียกวั่งไฉเข้ามาในถ้ำ อวิ๋นเยี่ยใช้เถาวัลย์สีขาวมัดแพติดกับต้นไม้ใหญ่อย่างแน่นหนา เพื่อความปลอดภัย เขามัดมันตั้งเจ็ดแปดครั้ง

 

 

ฟ้าผ่าบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ผ่าไปตั้งนานกว่าจะมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดี มันบ่งบอกว่ามีเมฆฝนขนาดใหญ่ ฝนจะตกหนักไม่หยุดง่ายๆ

 

 

วั่งไฉยืนรออวิ๋นเยี่ยอยู่ที่ปากถ้ำ ในถ้ำมืดสนิทจนมันไม่กล้าเข้าไป ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามปกติ อวิ๋นเยี่ยผูกเส้นไหมไว้ที่ปากถ้ำอย่างหนาแน่น แน่ใจว่าจะไม่มีตัวอะไรคืบคลานเข้ามา ในแคว้นหนานจ้าวถ้าไม่มีกำมะถันคงจะไม่มีชีวิตรอด ที่นี่คือสรวงสวรรค์ของพวกแมลง แมลงที่ไม่เคยเห็นก็คือเจ้าป่าของที่นี่ โชคดีที่ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยต้นการบูร ยุงไม่กล้าเข้ามา แม้แต่งูก็ไม่อยากเข้าใกล้ต้นการบูร เช่นเดียวกับที่คนเราที่จะออกห่างจากยาพิษโดยธรรมชาติ

 

 

อวิ๋นเยี่ยยังคงโปรยกำมะถันก้อนใหญ่ไว้ที่ปากถ้ำ โยนกำมะถันลงไปในกองไฟด้วย หวังว่ามันจะสามารถไล่แมลงที่ซ่อนอยู่ตามร่องออกไปให้หมด

 

 

เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ควันไฟที่โขมงอยู่ในถ้ำ มีแมลงจำนวนมากคลานออกมา พากันหนีออกไปนอกถ้ำด้วยความตื่นตระหนก หนึ่งในนั้นมีตะขาบสีแดงยาวเกือบหนึ่งฟุตที่เด่นชัดที่สุด ถูกอวิ๋นเยี่ยใช้ไม้ไผ่เขี่ยลงมา ตกลงมาที่พื้นมันก็หดตัวเป็นก้อน สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ซุนซือเหมี่ยวโปรดปรานที่สุด เขามักจะพูดเสมอว่าพิษของตะขาบในเมืองมีความรุนแรงไม่เพียงพอ

 

 

นอกจากนั้นยังมีแมงมุมขนาดใหญ่เท่ากำปั้น อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าแตะต้องมัน ภาพใบหน้าคนบนหลังของแมงมุมทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้ว่า นี่คือแมงมุมหน้าคนในตำนาน ถ้าถูกมันกัด อวิ๋นเยี่ยก็คงต้องพิจารณาที่จะตัดแขนตัดขาของตัวเอง

 

 

ควันไฟสลายไป อวิ๋นเยี่ยกับวั่งไฉที่กำลังหดตัวอยู่ที่ปากถ้ำ ใช้ผ้าลินินเปียกพันรอบปากและจมูกก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นับจากนี้ไป ถ้ำนี้ถือว่าเป็นบ้านของพวกเขาอย่างแท้จริง

 

 

เอาเถาวัลย์สีขาวพันรอบผนังหินทั้งสองข้าง ที่นั่นมีเสาหินอยู่ ใช้แรงผูกให้เป็นเปลได้พอดี ทำเป็นแนวนอน เอากิ่งไม้ที่ตัดมาไปวาง ปูพรมไว้ด้านบน เตียงใหญ่ที่แสนสบายก็สร้างเสร็จแล้วเรียบร้อย

 

 

ถึงแม้ว่ากลิ่นของกำมะถันจะฉุนมาก แต่อวิ๋นเยี่ยก็พอใจแล้ว เขาวางแผนที่จะเผามันเป็นครั้งเป็นคราว นึกถึงแมงมุมที่น่ากลัวตัวนั้น เหม็นนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ในยุคหลัง อาหารที่ทำจากกำมะถันมีตั้งมากมายก็กินได้ไม่เห็นเป็นอะไร ตอนนี้ยังจะมาพิถีพิถันอะไร มีชีวิตรอดก็เป็นบุญมากโข

 

 

อวิ๋นเยี่ยล้างทำความสะอาดปลาทั้งหมดแล้วเสียบไม้เอาไปย่างบนกองไฟ จากนั้นเขาก็กินเนื้อ เครื่องปรุงรสมีแค่เกลือ แต่เพียงเท่านี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกขอบคุณทั่นเกอและพระเจ้าอีกครั้ง

 

 

เอาไข่จระเข้ให้วั่งไฉเติมกำลัง ช่างน่าสงสารเสียจริง พึ่งจะผ่านไปไม่กี่เดือน ก็มองเห็นกระดูกซี่โครงแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนม้ามากขึ้น แต่อวิ๋นเยี่ยก็ชอบวั่งไฉที่อ้วนท้วมสมบูรณ์มากกว่า วั่งไฉในตอนนั้นหน้าตามีความสุข ใครเห็นใครก็ชอบ

 

 

คนหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัวนอนเบียดกันเฝ้าดูสายฝนอยู่ที่ปากถ้ำ แต่ฝนกลับไม่ยอมตกสักที มีแต่ฟ้าร้อง สายฟ้าแลบไม่มีรูปร่างคล้ายช้อนส้อมอีกแล้ว รูปร่างแปลกๆ บิดไปบิดมา

 

 

นี่คือแบบฉบับของคนทั่วไปที่กินอิ่ม คนเราเมื่อไม่ต้องกังวลอะไร ตัวเองยืนอยู่บนที่สูง ก็ล้วนแต่ชอบมองดูบ้านคนอื่นโชคร้าย อย่างเช่นหัวข้อคลาสสิกในเมืองฉางอัน ไม่รู้ว่าขุนนางที่ถูกหมากัดจะเจ็บหรือไม่เจ็บ แต่แค่เขาทำให้คนทั้งฉางอันมีความสุข ก็รู้แล้วว่าขาที่ถูกกัดไปนั้นมีค่ามากแค่ไหน

 

 

ฝนไม่เริ่มตกสักที อวิ๋นเยี่ยไม่มีอารมณ์เฝ้าดูสายฟ้าแลบอีกต่อไป กำลังจะกลับไปนอนที่เปล ก็ได้ยินเสียงดังก้องขึ้นมา เขารีบยื่นหน้าออกไปดู ถึงได้เห็นว่าฝนเริ่มตกแล้ว ไม่ถึงสองวินาที หัวของอวิ๋นเยี่ยที่ยื่นออกไปก็เปียกโชกไปหมด แม่งเอ๊ยนี้มันไม่ใช่ฝนตก แต่เป็นน้ำที่สาดมาจากท้องฟ้า

 

 

สายตาสามารถมองทะลุออกไปได้ไกลสองเมตร ภูเขาที่อยู่ห่างไกลหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำได้เพียงจินตนาการ โลกอันยิ่งใหญ่ ช่างน่ามหัศจรรย์

 

 

ฝนตกราวกับน้ำตกไหล ในแคว้นหนานจ้าวแห่งนี้มีอะไรที่ปกติไหม มองจากข้างนอกน้ำตกอาจจะดูงดงาม แต่เมื่อมองจากข้างใน มันอาจจะไม่ได้งดงามมากนัก ไอน้ำเย็นไหลย้อนเข้ามาในถ้ำ ทำอะไรไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยก็เลยเอากิ่งไม้บางส่วนไปปิดไว้ที่ปากถ้ำ อย่างน้อยก็พอจะกั้นไอน้ำได้

 

 

นอนตื่นขึ้นมา ข้างนอกยังคงมืดมน ในถ้ำมีเพียงแสงไฟกระจัดกระจายเพียงเล็กน้อย แสงสีแดงกะพริบเป็นครั้งเป็นคราว ยังไม่เช้าอีกเหรอ ดูจากการเผาไหม้ของฟืน มันผ่านไปนานมากแล้ว อาจจะผ่านไปเป็นวันแล้ว เพราะฟืนที่ใหญ่เท่าขาคนต้องใช้เวลามากกว่าจะถูกเผาไปจนหมดเช่นนี้ รวมทั้งท้องที่หิวโหยเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยเลยมีความคิดที่จะนอนทั้งวันทั้งคืนเสียเลย

 

 

จุดไฟในถ้ำอีกครั้ง ในถ้ำสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ วั่งไฉกะพริบตาโต ดูเหมือนมันจะยังปรับตัวไม่ได้ จุดไฟอีกครั้ง ความหนาวเย็นในถ้ำก็หายไปทันที

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่มีหม้อและไม่มีถ้วย มีเพียงกระบอกไม้ไผ่ที่มีข้อต่อสองอัน ข้างในมีข้าวที่สุกแล้ว แต่ตอนนี้มันหมดไปแล้วหนึ่งกระบอก อวิ๋นเยี่ยเอากระบอกไม้ไผ่ตวงน้ำจากปากถ้ำ เอาข้าวฟ่างใส่เข้าไป วางไว้บนกองไฟ เตรียมที่จะทำข้าวต้ม

 

 

ปอกเปลือกหน่อไม้ออกให้เห็นข้างใน ป้อนให้วั่งไฉกิน ดูจากเปลือกหน่อไม้ที่กระจัดกระจายเต็มพื้น ก็รู้ว่ามันกินไปแล้ว ส่วนดอกผู่กงอิงนั้นไม่เห็นแม้แต่เงา

 

 

เอาปลาไปย่างบนกองไฟหนึ่งตัว ผ่านไปไม่นาน ทั้งถ้ำก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของปลาย่าง ข้าวต้มในกระบอกไม้ไผ่กำลังเดือดปุดๆ วั่งไฉกำลังแทะหน่อไม้อย่างเอร็ดอร่อย ถ้าไม่มีเรื่องที่ต้องกังวล ชีวิตเช่นนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

 

 

กับความระวังตัวของหลี่ซื่อหมิน ทั้งที่เขาไม่เคยสนใจความเกลียดชังของขุนนางพวกนั้นเลยสักนิด อย่างมากก็แค่ไม่ต้องออกหน้าออกตา หลบซ่อนตัวก็พอแล้ว สุดท้ายคนที่โจมตีอวิ๋นเยี่ยอย่างหนักก็คือหม่าโจว ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง ยอมทิ้งมิตรภาพของอาจารย์กับลูกศิษย์ มิตรภาพของเพื่อนร่วมชั้น ก่อเรื่องร้ายแรงเช่นนี้

 

 

ตอนนี้เขาน่าจะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกคนหลายพันคนสาปแช่ง นั่นคือคนโง่ที่อยากจะก่อเรื่อง ประชาชนของต้าถังจะมีหรือไม่มีที่ดินมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า ถึงขั้นต้องทำให้ตัวเองหมดหนทางเชียวหรือ

 

 

ปลาย่างเกรียมหมดแล้ว มองดูปลาที่ย่างเกรียมครึ่งตัว ครึ่งหนึ่งย่างจนดำ เขายิ้มอย่างขมขื่น ไม่กล้าสิ้นเปลืองเสบียงอาหาร ด้านที่เกรียมยังพอกินได้ คิดไม่ถึงว่าข้าวต้มที่ทำจากข้าวฟ่างจะอร่อยเช่นนี้ รวมทั้งปลาย่าง อวิ๋นเยี่ยกินข้าวต้มในกระบอกไม้ไผ่จนหมดเกลี้ยง…

 

 

ไม่ได้ยินเสียงฝนตกจากข้างนอกถ้ำแล้ว เสียงคำรามของน้ำตกก็เบาลง มีแสงส่องทะลุกิ่งไม้เข้ามาในถ้ำ อวิ๋นเยี่ยบิดขี้เกียจและเตรียมจะออกไปนอกถ้ำ

 

 

ฝนค่อยๆ ตกปรอยๆ แพไม้ไผ่หายไปแล้ว ต้นการบูรก็ล้มไปคนละทิศละทาง กระแสน้ำที่พัดกระหน่ำวันก่อนก็ไหลกระจายไปยังที่ที่ไม่ไกลจากถ้ำ มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ริมฝั่ง บางต้นใหญ่เท่าขา ฝั่งตรงข้ามดูเหมือนจะถูกน้ำซัด แม้แต่ปลาตัวใหญ่ยังกระโดดเกยตื้นขึ้นมาบนฝั่งก็มี

 

 

ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยก็ได้ยินเสียงของคน ไม่ผิดแน่นอน เป็นเสียงของคนจริงๆ เสียงที่กำลังต่อว่าสวรรค์ด้วยความเศร้าโศก

 

 

“พระเจ้า ตระกูลโต้วของข้าไปทำอะไรให้ท่าน เหตุใดท่านถึงได้เกลียดข้ามากถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงได้ทรมานข้าเช่นนี้ ทำให้ข้ามีความหวัง แล้วก็ทำให้ข้าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดกันเล่า”

 

 

ในเสียงที่สิ้นหวังมีร่องรอยของความบ้าคลั่งอยู่ เสียงนี้ช่างคุ้นเคยเป็นอย่างมาก นอกจากโต้วเยี่ยนซาน ก็ไม่มีใครสามารถคร่ำครวญเช่นนี้ได้อีก

 

 

ในกองทัพมีสายลับจำนวนนับไม่ถ้วน แต่โต้วเยี่ยนซานกลับยังสามารถรอดชีวิตมาถึงที่นี่ได้ โชคดีจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาสู้กับกระแสน้ำได้เช่นไร อวิ๋นเยี่ยอยากรู้เป็นอย่างมาก

 

 

ต้นไม้ใหญ่ลอยลงมา ต้นไม้ใหญ่เช่นนี้ ดูจากลำต้นที่แข็งแรงของมันแล้ว น่าจะมีอายุหลายร้อยปี

 

 

โต้วเยี่ยนซานนั่งอยู่บนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ ถือมีดอยู่ในมือ แทงไปที่รอบๆ ต้นไม้ มีคนนอนอยู่บนต้นไม้ มีลูกธนูแทงอยู่บนไหล่สองดอก ดูไม่ออกว่าตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่

 

 

โต้วเยี่ยนซานเห็นน้ำตกอยู่ข้างหน้า เขารีบลากคนที่กำลังบาดเจ็บคนนั้นไปฝั่งตรงข้าม ทักษะการว่ายน้ำของเขาดีมาก ว่ายไปถึงฝั่งอย่างรวดเร็ว ไม่หยุดพักเลย เมื่อแบกคนที่กำลังบาดเจ็บคนนั้นขึ้นไปบนฝั่ง จากนั้นเขาก็มองกลับไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ไหลไปตามน้ำต้นนั้น ซึ่งมุ่งหน้าไปทางน้ำตก