แม่น้ำสายใหญ่ในแคว้นหนานจ้าวแตกต่างจากแม่น้ำสายใหญ่ของที่อื่น ในตอนแรกแม่น้ำอันกว้างใหญ่จะไหลไปเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นแม่น้ำที่มีน้ำไหลเอื่อยๆ ไปตลอดทาง อวิ๋นเยี่ยเห็นถ้ำขนาดใหญ่หลายแห่งกำลังกลืนกินน้ำในแม่น้ำ พยายามหลีกเลี่ยงทางเข้าของแม่น้ำใต้ดินพวกนั้นด้วยความกลัว ลักษณะภูมิประเทศของหินปูนหินอ่อนทำให้เกิดการตัดขวางของแม่น้ำใต้ดิน ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเข้าไปสำรวจในถ้ำ ยังสามารถลอยอยู่บนแม่น้ำได้ก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งแล้ว
เสียงลิงร้องดังก้องกังวานตลอดสองข้างทาง และยังคงดังก้องอยู่ในหูด้วย แต่เรือกลับลอยข้ามผ่านภูเขาไปแล้ว นึกถึงบทกวีขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะรู้ว่าแม่ของหลี่ไป่คือใครกัน ขณะนั้นเอง แม่น้ำเริ่มแคบลงเรื่อยๆ กระแสน้ำก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ แพไม้ไผ่ล่องไปอย่างรวดเร็ว ข้างหูได้ยินเพียงเสียงของสายลม หน้าผาทั้งสองข้างคดเคี้ยวราวกับกำลังบินถอยหลัง และยังมีเสียงดังอึกทึกดังมาจากข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าข้างหน้ามีน้ำตก พยายามออกแรงพายแพไปที่ชายฝั่ง แต่ท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว แรงของอวิ๋นเยี่ยแค่คนเดียวมันแทบจะไม่ส่งผลอะไร
โชคดีที่จู่ๆ แพก็ล่องเข้าไปในทะเลสาบเล็กๆ แทน กระแสน้ำไหลช้าลง แต่เสียงน้ำตกกลับดังขึ้น ถือโอกาสสุดท้าย อวิ๋นเยี่ยพายแพไม้ไผ่ไปที่ริมฝั่งของแม่น้ำ
วั่งไฉที่นอนอยู่บนแพมาแล้วสองวัน รอเข้าฝั่งไม่ไหวแล้วจึงกระโดดลงน้ำ แล้วไปกลิ้งตัวลงบนพื้นทรายข้างฝั่ง อวิ๋นเยี่ยเอาแพมายึดไว้บนฝั่งแล้วก็เดินขึ้นฝั่งไป นอนหงายบนพื้นทรายอันอบอุ่น ได้ยินเสียงกระดูกสันหลังของตัวเอง ทนทุกข์ทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมเป็นเวลาสองวันสองคืนเช่นนี้ สิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุดก็คือการได้นอนหลับพักผ่อน
อวิ๋นเยี่ยนอนไม่หลับ แล้วก็ไม่กล้านอนหลับ ต้องหาที่นอนที่ปลอดภัยเขาถึงจะกล้านอนอย่างไร้กังวล หลังจากวนรอบทะเลสาบแล้วครึ่งรอบ อวิ๋นเยี่ยก็เห็นว่าที่ที่ตัวเองอยู่นั้นเป็นคุกของธรรมชาติ ทางเข้าทางเดียวก็คือแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ทางออกทางเดียวก็คือน้ำตก ไม่รู้ว่าสถานการณ์ฝั่งตรงข้ามเป็นเช่นไร ในมุมมองของอวิ๋นเยี่ย ไม่จำเป็นต้องคาดหวังอะไรมากเกินไป
ปีนขึ้นมาบนฝั่ง ที่นี่สามารถมองเห็นแสงอาทิตย์ได้ แนวคิดเรื่องแสงอาทิตย์เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่ง หนึ่งวันในหุบเขามองเห็นแสงอาทิตย์ไม่นานนัก
มีฝั่งที่โค้งเข้าไปด้านใน พอที่จะบังลมฝนได้บ้าง มองฝ่ามือที่เปียกน้ำจนขาวซีดของตัวเอง เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น แผนการหลบหนีที่สมบูรณ์แบบมักจะมีข้อบกพร่องอยู่เสมอ กฎข้อหนึ่งของการสำรวจป่าเขาในยุคหลังคือการเดินไปตามทางน้ำไหลก็จะสามารถกลับเข้าไปสู่โลกที่ศิวิไลซ์ได้ แต่อวิ๋นเยี่ยลืมไปว่าตอนนี้คือยุคโบราณ ไม่ใช่ยุคหลังที่มีประชากรกว่าหกพันล้านคน มีคนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้ความน่าจะเป็นที่ได้เจอกับผู้คนต่ำเกินไป
ทั้งแคว้นหนานจ้าวมีคนไม่ถึงหนึ่งล้านคน ในแง่ของจำนวน บางทีคงเทียบกับหมีแพนด้าไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาส่ายหน้า ขับไล่สิ่งยุ่งเหยิงที่อยู่ในหัวออกไป ตัดไม้ไผ่ขนาดเล็กมาทำเป็นไม้กวาด กวาดพวกใบไม้แห้งและขี้นกสกปรกออก จากนั้นก็เอาผ้าห่มสองผืนมาปู ที่นี่เป็นบ้านชั่วคราวของเขาไปแล้ว ตอนนี้ยังกังวลอะไรมากไม่ได้ สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือรีบฟื้นฟูพลังงานของตัวเอง
ผูกเส้นไหมไว้รอบปากถ้ำอย่างแน่นหนา เตือนวั่งไฉว่าอย่าเผลอไปโดน มันเคยเจอฤทธิ์ของเส้นไหมมาแล้วก็เลยไม่กล้าเข้าใกล้เส้นไหม เว้นระยะห่างไว้ถึงสองฟุต
มองเห็นเสบียงอาหารในกระเป๋า ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกแย่ เสบียงอาหารพวกนี้ทั่นเกอเก็บเล็กผสมน้อยมาจากพวกชาวบ้านของนาง เพื่อเก็บเสบียงอาหารเอาไว้ อวิ๋นเยี่ยที่ทนหิวมาสองวันเต็มๆ ก็เลือกกินผักและเห็ดในป่าประทังชีวิตแทน
เมื่อรู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้ง น้ำตาของอวิ๋นเยี่ยก็ไหลไม่หยุด ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องเป็นหนี้ชีวิตใคร เป็นหนี้เงินทองยังเบี้ยวได้ เป็นหนี้บุญคุณยังคืนได้ แต่ชีวิตของคนเรามีเพียงครั้งเดียว ใช้หมดแล้วก็หมดเลย ภาระนี้หนักหนาเกินไป
เมื่อข้าวสุก อวิ๋นเยี่ยยัดใส่ปากตัวเองสองสามคำ เอาให้วั่งไฉกินด้วย จากนั้นก็เก็บมันไว้ที่เดิม นอนหนุนท้องวั่งไฉแล้วหลับไป
เช้าวันต่อมาอวิ๋นเยี่ยถูกกระแสน้ำเย็นในหุบเขาปลุกตื่น วั่งไฉหมุนตัวกระวนกระวายอยู่ในถ้ำ เขาเลยแกะเส้นไหมออก ปล่อยมันออกไป ตัวเองก็เดินไปที่ริมแม่น้ำ กวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา น้ำในแม่น้ำที่กระจัดกระจายสะท้อนให้เห็นถึงรูปร่างที่บิดเบี้ยวของอวิ๋นเยี่ย เวลานี้อาจจะเป็นภาพที่แท้จริงของอวิ๋นเยี่ย เขาเป็นคนที่มีจิตใจบิดเบี้ยวมาโดยตลอด
ก่อนที่จะหาทางออกเจอ การกักตุนเสบียงอาหารให้เพียงพอคือการเอาตัวรอด เขาไม่กล้าสิ้นเปลืองเสบียงอาหารอีกต่อไป ถึงแม้ว่าวั่งไฉจะขอร้องอ้อนวอนก็ไม่ให้
ตัดต้นไผ่หักครึ่ง ตัดข้อต่อไม้ไผ่ออกให้หมด ใช้เชือกมัดเข้าด้วยกันทำเป็นกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นก็ตัดอีกท่อนทำเป็นตาข่าย เอาไปติดที่ปลายกระบอกไม้ไผ่ กับดักจับปลาง่ายๆ ก็ทำเสร็จแล้ว ใช้ก้อนหินกดทับกระบอกไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง ให้น้ำไหลเข้ามาในกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นก็ไหลออกไปทางตาข่าย ถ้ามีปลาไหลผ่านเข้ามา มันก็จะถูกดูดเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ สุดท้ายตกลงไปในตาข่าย เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ อวิ๋นเยี่ยทำกับดักเช่นนี้สามอัน
ตัดไม้ไผ่ในมือทำเป็นหอก ตัดเป็นหอกสั้นๆ สองสามอัน ตัดรูส่วนหน้าของกระบอกไม้ไผ่ เอาทรายใส่เข้าไปให้เต็ม ให้มันมีแรงโน้มถ่วง ขว้างมันออกไปสองสามครั้ง ค่อนข้างแม่นยำ แต่แค่ไม่ถูกหัวปลา
กลับมาที่ริมแม่น้ำ วั่งไฉคาบอะไรกลมๆ มา ไข่ห่าน? ที่นี่มีไข่ห่าน? แต่เมื่อเห็นปากที่เหนียวเหนอะหนะของวั่งไฉก็รู้ว่ามันกินไปแล้ว ส่วนไข่ฟองนี้เหลือไว้ให้อวิ๋นเยี่ย
คิดไม่ผิดที่รักและเอ็นดูมัน อวิ๋นเยี่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา เช็ดปากวั่งไฉที่เต็มไปด้วยไข่ให้สะอาด ก่อนที่จะจัดการกับไข่ฟองนี้ กินแบบสุกได้ก็กินแบบสุก หาหินบางๆ วางไว้บนกองไฟ เตรียมที่จะทำไข่เจียว
ทุบครั้งหนึ่งไม่แตก ทุบอีกครั้งก็ยังไม่แตก อวิ๋นเยี่ยเกาหัว ไข่ฟองนี้ทำไมถึงได้แข็งขนาดนี้ เขาทุบอย่างแรงอีกครั้งหนึ่งไข่ถึงแตก เห็นน้ำไข่แข็งตัวบนแผ่นหิน เขาก็รู้สึกชอบใจ หักไม้ไผ่บางๆ สองอันทำเป็นตะเกียบ เมื่อไข่แดงกำลังจะแข็งตัวอวิ๋นเยี่ยก็ขยับแผ่นหินออก ใช้ปากดูดไข่แดง ไข่ที่ดูดเข้าไปเต็มปากทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความสุขจนแทบจะร้องไห้ ถึงแม้ว่าจะคาวไปหน่อย แต่อยู่ในป่า ไม่ควรสนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มากเกินไป
เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือหัว ในที่สุดอวิ๋นเยี่ยก็รู้แล้วว่าตัวเองกินไข่ของอะไรเข้าไป จระเข้ที่ไม่นับส่วนหางก็ยาวกว่าสองเมตรกำลังคลุ้มคลั่งอยู่ริมแม่น้ำ สะบัดหางตีทรายฟุ้งกระจายไปทั่ว อ้าปากมองหาหัวขโมยที่ขโมยไข่ของมันไป แม้แต่พุ่มไม้ไผ่ก็ไม่ยอมปล่อย อ้าปากกว้างงับไม้ไผ่ที่ใหญ่เท่าขาคนหักในทันที พลิกตัวไปมาสองครั้ง หักไม้ไผ่จนหมดถึงได้สงบลง
อวิ๋นเยี่ยนอนบนถ้ำเฝ้าดูจระเข้ที่กำลังบ้าคลั่งอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง วั่งไฉหลบอยู่ไกลๆ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงจมูกที่มันโปรดปราน ทำท่าทางไร้เดียงสาราวกับนักบุญ
ตัวเองก็กินไข่ไปแล้วเช่นกัน จะโทษวั่งไฉไม่ได้ แต่ปัญหาคือไอ้ตัวน่ากลัวที่กำลังจะมาเอาชีวิตอยู่ข้างล่างนั่น จะไล่มันออกไปอย่างไรดี
อวิ๋นเยี่ยไม่เคยคิดเรื่องการต่อสู้กับจระเข้ หากคึกคะนองก็คิดว่าเลือกเป็นฮีโร่สังหารมังกรน่าจะดีกว่า ไปยั่วยุนักฆ่าเช่นนี้ คงมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นกองขี้ของจระเข้ แต่อาวุธที่ทำจากไม้ไผ่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจระเข้แน่ๆ
จระเข้อ้าปากกว้างดึงเถาวัลย์สีขาวลงมา เถาวัลย์ที่เหนียวมากเช่นนี้ แน่นหนาพอที่จะแขวนอวิ๋นเยี่ยได้ตั้งสามถึงห้าคน แต่มันกลับถูกจระเข้ดึงออกมาอย่างง่ายดาย
ลิงตัวหนึ่งกลายเป็นแพะรับบาปของวั่งไฉ มันบังเอิญกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ตามลำพัง ต้นไม้ถูกจระเข้กัดจนหัก อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าจระเข้เคลื่อนไหวเร็วมาก แม้กระทั่งความเร็วของลิงที่ยังไม่ทันได้โต้ตอบก็ถูกมันงับเข้าไปทั้งกระดูก กลืนลงคอไปสองที ลิงทั้งตัวก็หายเข้าไปในปากของจระเข้
เสียงกรีดร้องของลิงตัวอื่นดังขึ้นมาในหุบเขา บางครั้งก็ตะโกนประท้วงกับจระเข้ การประท้วงของผู้อ่อนแอไม่มีความหมาย จระเข้แก้แค้นสำเร็จแล้ว แถมยังได้กินของหวาน คลานไปรอบๆ ด้วยความพึงพอใจ เห็นหางลิงที่ถูกกัดทิ้งบนพื้น เพื่อไม่ให้เหลือทิ้งก็เลยกลืนมันเข้าไปในท้องด้วย
พวกลิงพากันเขย่าต้นไม้อย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนต้องการข่มขู่จระเข้ แต่จระเข้ก็ขุดหลุมทรายอีกครั้งอย่างไม่สนใจ นอนวางไข่ที่นั่น เห็นจระเข้กำลังวางไข่ อวิ๋นเยี่ยกับวั่งไฉก็ตื่นเต้นขึ้นมา ใครๆ ก็ชอบอาหารอันโอชะ
หลังจากวางไข่เสร็จ จระเข้ก็คลานไปรอบๆ มองดูผลผลิตของตัวเอง และยังใช้คางแตะที่ไข่เบาๆ ท่าทางของความเป็นแม่ที่รักลูกช่างน่าขยะแขยง จากนั้นก็ใช้ขาหลังเกลี่ยทรายที่อุ่นๆ กลบบนไข่ แล้วยังทิ้งรอยเล็บไว้บนพื้นทราย ท่าทางเจ้าเล่ห์ที่ต้องการปกปิดไข่ของมันทำให้อวิ๋นเยี่ยอยากจะหัวเราะ
จระเข้ค่อยๆ คลานลงไปในแม่น้ำ กระดิกหางและว่ายทวนน้ำไป แม้แต่กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวก็ทำอะไรมันไม่ได้ โดยทั่วไปจระเข้ตัวเมียจะไม่ทิ้งไข่ของตัวเอง แล้วก็จะไม่ฝังไข่ของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมจระเข้ตัวนี้ถึงทิ้งลูกของตัวเองไป ไปหาอะไรกิน หรือไปทำอะไร
หัวขโมยไข่ตัวจริงลงมาจากถ้ำ ขุดหลุมทรายท่ามกลางเสียงร้องของฝูงลิง เก็บไข่เจ็ดแปดฟองลงในตะกร้าอย่างระมัดระวัง วางไว้บนแพ เตรียมตัวออกเดินทาง อยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป รอให้ถึงพรุ่งนี้จระเข้กลับมานับไข่ของตัวเอง เห็นว่าไม่เหลือสักฟอง ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีมันอาจจะเฝ้าอยู่ข้างไข่ไม่ไปไหน ถึงตอนนั้นตัวเขาจะไม่อดตายได้อย่างไร
กับดักปลาทั้งสามอันไม่เลวเลยทีเดียว ล้วนแต่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว ข้างในมีปลาที่ยาวหนึ่งฟุตห้าตัว ตายไปแล้วสองตัว อีกสามตัวยังไม่ตาย เจาะเหงือกพวกมันมัดรวมกันวางไว้บนแพ รอให้วั่งไฉขึ้นไปบนแพก่อน อวิ๋นเยี่ยก็พายแพออกไปยังฝั่งตรงข้ามทันที ท้องฟ้ามืดครึ้ม ราวกับฝนจะตกหนัก
มาถึงฝั่ง อวิ๋นเยี่ยตบหัวตัวเองด้วยความรำคาญ เขาถูกนิสัยชอบไปทางขวาของตัวเองเล่นงานเข้าแล้ว พื้นที่ตรงนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด มีต้นไม้จำนวนมาก แล้วยังเป็นป่าการบูร ไม่มีปลิงหรือสิ่งมีชีวิตอะไร สถานที่ที่มียาฆ่าแมลงตามธรรมชาติไม่ใช่ที่อยู่สำหรับพวกแมลงแน่นอน
ต้นส้มป่าสองสามต้น เติบโตอยู่ห่างจากป่าเขา วั่งไฉกินส้มอย่างมีความสุข สุดท้ายเปรี้ยวปากจนน้ำลายไหลไม่หยุด
ตอนนี้ไม่นึกสนใจวั่งไฉ หาที่หลบฝนก่อนค่อยว่ากัน ขึ้นทางลาดชันมาก็เจอถ้ำ ในถ้ำมืดจนมองไม่เห็นข้างในแม้แต่น้อย จุดฟืนแห้งโยนเข้าไปถึงได้เห็นว่ามันตื้นมาก ที่ข้างในดูมืดมิดนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพราะควันจากกองไฟ ในนั้นน่ามีคนอยู่?
พอจับดูถึงได้รู้ว่ากองไฟก่อมานานหลายปีแล้ว แม้แต่เถ้าถ่านสีดำยังติดอยู่บนหิน ที่ที่สะอาดสะอ้านตรงปากทาง มีเส้นผมยุ่งเหยิงอยู่กองหนึ่งกับภาพวาดที่เรียบง่าย งานพู่กันหยาบกระด้าง มีกลิ่นอายของยุคดึกดําบรรพ์ ถูกหลีสือเลี้ยงดูสั่งสอนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มองดูภาพวาดนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ในเมื่อเคยมีคนมาถึงที่นี่ หมายความว่าจะต้องมีทางออกใช่หรือไม่ หัวใจของอวิ๋นเยี่ยก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที