ซินเย่วเดินไปทำความเคารพจางเลี่ยงแล้วพูดว่า “ข้าเป็นหญิงที่มีจริยธรรม ไม่รู้ว่าอะไรคือกฎระเบียบของมนุษย์ ข้ารู้เพียง ทรัพย์สินเงินทองที่ท่านพี่ทิ้งไว้ให้พวกข้า ข้าจะส่งมอบให้กับลูกของข้าอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าใครมาแย่งข้าก็ไม่ยอม สู้ไม่ได้ ตายไปข้าก็จะกัดเนื้อของมันไปด้วย จางกง ท่านเป็นถึงขุนนางเก่าแก่ของฝ่าบาท ท่านพี่เรียกท่านว่าผู้อาวุโส แต่วันนี้ท่านกลับทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ ทำเช่นนั้นกับภรรยารองที่กำลังตั้งท้องของสามีข้า ใช้กลอุบายชายรูปงาม ท่านเป็นขุนนาง เป็นผู้อาวุโสประเภทใดกัน
ท่านกลับบอกว่าข้าโหดเ**้ยม หากท่านพี่ของข้ากลับมา ไปเอาเรื่องที่จวนของท่าน เป็นท่านพี่ของข้าไม่ใช่ท่าน เขาเพียงแค่ไปเยี่ยมผู้อาวุโสที่ราวกับเทพเซียนไม่กี่วัน พวกท่านก็ทนไม่ได้ที่จะกระโดดออกมาแย่งทรัพย์สินของตระกูลอวิ๋น พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ราชสำนัก ไปถามว่าตำแหน่งที่ท่านพี่ของข้าใช้ชีวิตแลกมายังรักษาไว้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ ข้าจะพาท่านย่ากับลูกไปอยู่ในป่าเขาที่ลึกลับทันที และจะไม่ออกมาให้ท่านเห็นหน้าอีก”
จางเลี่ยงไม่เข้าใจว่าทำไมแผนการถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นถือปืนจ้องมาที่ลำคอของเขา ราวกับว่าพร้อมที่จะยิงเข้ามาได้ทุกเมื่อ เขารู้ว่าไม่ว่าตัวเองจะหลบเช่นไร ก็ไม่มีทางหลบลูกกระสุนลูกนั้นได้
ยังมีบัณฑิตยืนอยู่ข้างหลังอีกหนึ่งคน ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ตั้งนั้น จางเลี่ยงสิ้นหวัง หากภรรยาของอวิ๋นเยี่ยต้องการฆ่าเขาจริงๆ เขาก็คงไม่มีทางรอด
ความรู้สึกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นตอนที่เขาทำให้อวี้ฉือกงหงุดหงิด และรู้สึกได้ในตอนที่เท้าของเขาลอยขึ้นจากพื้น ตอนนั้นเขาคิดว่าอวี้ฉือกงต้องการจะฆ่าเขาจริงๆ
เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตระกูลอวิ๋นอยากจะฆ่าเขาจริงๆ ถ้าเขาไม่ใช่กั๋วกง มีดตัดอาจจะมาวางอยู่บนขาของเขาไปแล้วในวันนี้ มีเสียงกรีดร้องดังอยู่ข้างหู นั่นคือลูกบุญธรรมของเขาที่กำลังถูกตัดขา ทุกเสียงกรีดร้องทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว ผู้หญิงคนนี้ช่างโหดเ**้ยมเหลือเกิน
ผู้หญิงธรรมดาไม่สามารถทนอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ แต่เหตุผลที่ซินเย่วไม่เป็นลมก็เพราะว่านางท่องคำพูดของอวิ๋นเยี่ยอยู่ซ้ำๆ “มิเช่นนั้นไม่ต้องทำ ทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด มิเช่นนั้นไม่ต้องทำ ทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด” สามีเป็นคนที่มีการศึกษาสูงที่สุดในโลก คำพูดของเขาไม่มีทางผิด สามีเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก คำพูดของเขาไม่มีทางผิด
ซินเย่วท่องคำพูดนี้ซ้ำไปซ้ำมา พยายามดึงความแข็งแกร่งจากความคิดของอวิ๋นเยี่ย วิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้นางบังคับตัวเองให้สงบลงได้
น่ารื่อมู่เดินออกมา จับมือซินเย่วแล้วพูดว่า “ท่านพี่ เจ้าไม่เคยอาศัยอยู่ที่ฉ่าวหยวน หากเจ้าไปที่ฉ่าวหยวน เห็นพวกเด็กๆ ทนหนาวเหน็บในฤดูหนาว เจ้าจะรู้ว่าเจ้าไม่ควรใจอ่อนกับศัตรู มิเช่นนั้น คนที่ถูกทำร้ายจะเป็นเรา ลูกๆ ของเรา ท่านย่าของเรา แล้วยังมีต้ายา เสี่ยวยา การตัดสินใจของเจ้าถูกต้องแล้ว หากศัตรูไม่ตายตอนนี้ คนที่ตายอาจจะเป็นญาติพี่น้องของเรา”
ในที่สุดซินเย่วก็เฝ้าดูจนจบ พูดกับจางเลี่ยงว่า “จางกง พรุ่งนี้เราไปเจอกันที่ราชสำนัก ข้ายอมถูกเฆี่ยนสามสิบทีเพื่อจะได้เจอกับฝ่าบาท เรามาปรึกษาเรื่องของวันนี้ต่อหน้าฝ่าบาท ฆ่าคนรับใช้ของเจ้าคนหนึ่ง ต้องจ่ายทองห้ากิโล ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตัดขาคนรับใช้ของเจ้า ก็แค่ต้องจ่ายทองสองกิโลครึ่ง ข้าให้พ่อบ้านนับเงินให้เจ้าตอนนี้เลยก็ได้ ตระกูลอวิ๋นไม่เคยติดหนี้ หนี้ใครก็ไม่เคยติด”
เหล่าเฉียนลุกขึ้นยืนอย่างชาญฉลาด หยิบทองแท่งออกมา ใช้สองมือยื่นให้จางเลี่ยงแล้วพูดว่า “ซวินกั๋วกง นี่คือทองหนักครึ่งกิโล เป็นทองคำบริสุทธิ์ ลูกของท่านตายไปสามคน พิการไปหกคน ตระกูลอวิ๋นควรชดใช้ทองให้แก่ท่าน ตามกฎของต้าถัง ฮูหยินของข้ามีตำแหน่ง สามารถลดลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นทองครึ่งกิโลนี้ ท่านเก็บไว้ให้ดี ถือโอกาสเขียนใบเสร็จให้ข้าด้วยก็ได้”
จางเลี่ยงสงบสติอารมณ์ลง ตำแหน่งขุนนางในหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะกวาดล้างความกล้าหาญของเขาไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ตกใจ ยังคงบังคับตัวเอง หยิบพู่กันออกมาจากถาด เซ็นชื่อแล้วโยนพู่กันในมือทิ้ง กวักมือเรียกคนรับใช้ที่พามาด้วย คนพวกนั้นก็รีบอุ้มไท่เป่าที่ถูกตัดขาขึ้นรถม้า จางเลี่ยงมองขาของพวกเขาที่กองอยู่ข้างๆ เขาลังเลไปพักหนึ่ง ถึงได้พูดกับซินเย่วว่า “ขาพวกนี้เอาคืนให้พวกข้าเสียเถิด ให้พวกเขาได้มีศพที่ครบสามสิบสอง”
“ไม่ได้ ขาพวกนี้จะถูกเอาไปห้อยไว้ที่หน้าหมู่บ้าน ให้ผู้คนเยี่ยมชม เป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลัง” ซินเย่วไม่ให้โอกาสจางเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย พูดเสร็จ ก็สะบัดแขนเสื้อ ชาวบ้านที่ขวางทางอยู่ก็พากับหลบให้จางเลี่ยงออกไป
ออกไปได้สักพัก จางเลี่ยงก็หันกลับมาตะโกนว่า “ตระกูลอวิ๋น เรื่องนี้มันจะไม่จบง่ายๆ พรุ่งนี้ที่ราชสำนัก ข้าจะรอเจ้า”
รอพวกเขาจากไปหมดแล้ว ซินเย่วก็โค้งคำนับให้กับชาวบ้านที่มาช่วยเหลือและตะโกนเสียงดังว่า “ขอบคุณทุกคนที่มาปกป้องตระกูลอวิ๋นของข้า ขอบคุณเป็นอย่างมาก”
พวกชาวบ้านก็ต่างพากับโค้งคำนับขอบคุณกันอย่างวุ่นวาย บางคนก็ยังชี้ด่า หัวเราะเยาะจางเลี่ยงที่จากไปแล้ว คนรับใช้เอาน้ำสะอาดมาสาดลงบนพื้น คราบเลือดที่แน่นหนาเมื่อกี้ ก็เบาบางลงทันที
น่ารื่อมู่ประคองซินเย่วกลับไปที่ห้องนอน ประตูพึ่งจะปิด ซินเย่วก็อาเจียนลงบนพรม อาเจียนอย่างแรงราวกับจะอาเจียนเอาหัวใจกับปอดออกมาด้วย
นี่คือประสบการณ์ที่ลูกผู้ชายควรมี ซินเย่วที่ได้รับการดูแลปกป้องอย่างดีจากอวิ๋นเยี่ย ในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่การเป็นนายหญิงของตระกูล เพียงแต่ก้าวแรกนี้เร็วเกินไป รุนแรงเกินไป และโหดร้ายเกินไป
น้ำมูกน้ำตาไหลลงมา ร่างกายหดตัวเป็นลูกบอล เสียงร้องไห้กำลังจะดังออกมา แต่ก็ถูกมือของนางปิดเอาไว้ เหลือไว้เพียงเสียงที่คล้ายกับเสียงแมวร้องโหยหวน
น่ารื่อมู่กอดซินเย่ว ใช้มือลูบปลอบใจนางไม่หยุด ทั้งสองคนนั่งกอดกันบนพื้น ผ่านไปนาน ในห้องก็ค่อยๆ มืดลง ผ่านไปแล้วอีกวันหนึ่ง แต่กลางวันของวันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
ใกล้จะถึงเที่ยงคืนแล้ว ซินเย่วก็ลุกขึ้นมานั่ง น่ารื่อมู่ขยี้ตาลุกขึ้นนั่ง ซินเย่วดันน่ารื่อมู่นอนลงบนเตียง ห่มผ้าให้นาง แตะที่หน้านางเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนโชคดี ตอนที่ท่านพี่อยู่ เขาก็รักเจ้า เอ็นดูเจ้า ตอนท่านพี่ไม่อยู่ข้าก็ดูแลเจ้า ใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาบ้านตลอดชีวิต ไม่ต้องออกไปฝ่าลมฝน ไม่ต้องออกไปสู้รบปรบมือข้างนอก ดีจังเลย
ถึงตอนนี้ข้าถึงได้รู้ว่าท่านพี่ต้องลำบากมากเพียงใด แกล้งทำตัวว่ามีความสุข หัวเราะสนุกสนานกับเราทั้งวัน การได้แต่งงานกับผู้ชายเช่นนี้ ถือเป็นบุญที่สะสมมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อก่อนข้าเอาแต่ใจ ทำให้เจ้าไม่มีคืนเข้าหอที่ดี สิ่งที่ข้าติดเจ้าไว้ ข้าจะค่อยๆ คืนให้เจ้า”
เมื่อก่อนอวิ๋นเยี่ยต้องตื่นเที่ยงคืนเพื่อไปเข้าเฝ้าราชสำนักตอนเช้า ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ กินอะไรนิดๆ หน่อยๆ ซินเย่วป้อนนมลูกจนอิ่มแล้ว ถึงได้ขึ้นรถม้า มีอาจารย์หลี่์สือนั่งไปเป็นเพื่อน มุ่งหน้าสู่ฉางอัน
เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าในฉางอันไม่สามารถเก็บความลับอะไรได้ ซินเย่วลงจากรถม้าบนถนนจูเชวี่ย เดินไปหน้าประตูเมืองหลวง เหล่าฉินและอวี้ฉือกงรออยู่ตรงนั้นแล้ว เมื่อคืนที่ผ่านมาฉินฮูหยินและอวี้ฉือฮูหยินได้เข้าไปเยี่ยมซินเย่ว ผ่านไปไม่นาน ยังไม่ทันได้ออกจากจวน ธิดาแส้แดงก็มาด้วยเช่นกัน
หลังจากไปเยี่ยมชมขาของคนพวกนั้นที่จวนของตระกูลอวิ๋นเสร็จ ฉินฮูหยินกับอวี้ฉือฮูหยินก็พากันสวดมนต์ มีแค่ธิดาแส้แดงที่หัวเราะชอบใจ ตบที่ไหล่ของซินเย่วแล้วพูดว่า “ผู้หญิงเช่นเรา บางครั้งก็ต้องโหดเ**้ยมกันบ้าง มิเช่นนั้นไอ้พวกหัวขโมยก็ไม่มีทางให้เรามีชีวิตรอด เจ้าทำได้ดีมาก หากเป็นที่บ้านของข้า ข้าจะตัดหัวพวกเขาด้วยมือของข้าเอง ไม่ใช่แค่ตัดขา”
ซินเย่วรู้ดีว่าคำพูดของธิดาแส้แดงเชื่อไม่ได้ เพราะท่านพี่เคยบอกนางว่าสมองของธิดาแส้แดงไม่ปกติ ไม่รู้ว่าตอนนี้นางยังบ้าๆ บอๆ อยู่หรือไม่
“หลานสะใภ้ ได้ยินมาว่าเจ้าตัดขาไปตั้งสิบแปดคน? ทำดีมาก ขาที่เจ้าต้องการเพียงพอแล้วหรือไม่ หากเจ้ายังต้องการอีก ข้าจะไปตัดเอาที่บ้านของจางเลี่ยงมาให้เพิ่ม ยังไงซะลูกของเขาก็มีตั้งเยอะแยะ มีตั้งห้าร้อยคน”
อวี้ฉือกงมาถึงก็มาพูดล้อเล่นกับซินเย่ว เขาดูถูกคนขี้ประจบสอพออย่างจางเลี่ยงเป็นที่สุด ครั้งก่อนยังกล้ามานั่งทับที่ของเขา ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ
“เสี่ยวเย่ว เจ้าต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี จางเลี่ยงไม่ยอมง่ายๆ แน่ ได้ยินมาว่าเขาได้ส่งข่าวไปให้พวกสนมในวังแล้ว ต้องการเป่าหูฝ่าบาท แต่ก็น่าจะไร้ประโยชน์ สนมในวังที่พูดอะไรได้ก็มีแค่ไม่กี่คน ฝ่าบาทไม่สนใจหรอก อย่างมากก็แค่พูดเหน็บแนมเจ้า เจ้าไม่ต้องไปสนใจ ทนเอาหน่อย มีพวกข้าคอยพูดแทนเจ้าอยู่แล้ว”
เมื่อขอบคุณความเมตตากรุณาของผู้อาวุโสทั้งสองอีกครั้ง ในเวลานี้เอง ประตูวังก็เปิดกว้าง มีขันทีคนหนึ่งเดินออกมา เปิดผ้าไหมสีเหลืองผืนหนึ่งแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ฮองเฮามีคำสั่ง ตระกูลอวิ๋นรับคำสั่ง”
ซินเย่วรีบลุกขึ้น โค้งคำนับรับคำสั่ง “ตระกูลอวิ๋นมีศักดิ์ศรีและชาญฉลาด ละเว้นโทษทุกอย่าง รวมถึงการเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ไม่มีต้นสายปลายเหตุ ท่องจบก็ยื่นให้ซินเย่วแล้วหันหลังเดินกลับไป ซินเย่วไม่ทันได้พูดขอบคุณสักคำ
จางเลี่ยงทำหน้ามืดเดินมาตรงหน้าซินเย่ว กำมือแล้วพูดว่า “อวิ๋นฮูหยิน จางเลี่ยงยอมแพ้ ขอร้องอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก ท่านก็ไม่ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ที่ดินที่อยู่ข้างหลังหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋น ข้ายกให้ตระกูลอวิ๋นไปเลย ถือว่าเป็นค่าชดใช้ที่ข้าบังอาจกับตระกูลอวิ๋น”
ซินเย่วหันไปขอคำแนะนำจากฉินฉยง นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าซวินกั๋วกงจะขอโทษตัวเองต่อหน้าขุนนางมากมายเช่นนี้ สำหรับจางเลี่ยงแล้ว นี่เป็นการลงโทษที่เจ็บปวดมากแล้ว
“เรื่องนี้ก็หยุดแค่นี้เถอะ กลับไปเจ้าก็ไปบอกให้พ่อบ้านไปเอาที่ดินผืนนั้นไว้ซะ เจ้าคงไม่รู้ ตอนนี้หากอยากได้ที่ดินที่อยู่ติดกับเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย ฝ่าบาทบอกแล้วว่า ต่อไประบบศักดินาจะมีอยู่แค่ในทุ่งหญ้าทะเลทรายหรือแคว้นหลิ่งหนานเท่านั้น ที่ดินในพื้นที่ราบตอนกลางจะถูกแจกจ่ายให้กับประชาชน ไม่ใช่ของพวกเราอีก”
อวี้ฉือกงพูดกับซินเย่วด้วยความชอบใจ นี่ต้องเป็นบทเรียนที่ฝ่าบาทอยากจะสั่งสอนจางเลี่ยงเป็นแน่ ถ้าก่อนที่จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท จางเลี่ยงยังไกล่เกลี่ยกับตระกูลอวิ๋นไม่ได้ ผลลัพธ์ที่ไม่ดีกำลังรอเขาอยู่
จางเลี่ยงพยายามรักษาหน้าของตัวเอง ไม่เต็มใจจะยอมแพ้ คิดอยู่เสมอว่าการถูกเฆี่ยนสามสิบทีจะทำให้ซินเย่วยอมถอย นี่คือวิธีสุดท้ายของเขา ใครจะรู้ว่าจะถูกจั่งซุนทำลายทิ้งไปแล้วเมื่อครู่นี้
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ซินเย่วนั่งรถม้ากลับบ้าน ในมือถือกล่องไว้กล่องหนึ่ง ข้างในคือที่ดินที่จางเลี่ยงชดใช้ให้กับตระกูลอวิ๋น นางลูบที่กล่องเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านพี่ ท่านรีบกลับมาเถิด ข้าแย่งที่ดินมาให้ตระกูลได้อีกผืนหนึ่งเชียวนะ”