[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 12 ซินเย่วแสดงอำนาจบารมี (สอง)

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

สมกับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชายชาติทหาร ไม่เคยผัดวันประกันพรุ่ง น่ารื่อมู่กลับมาถึงบ้านก็เล่าต้นสายปลายเหตุให้กับซินเย่วฟัง แล้วยังบอกซินเย่วว่าเรื่องนี้นางเป็นคนบอกให้เหล่าเจียงจัดการ นางจะเป็นคนรับผิดชอบเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเหล่าเจียง มีอะไรก็ให้มาลงที่นาง นางนักเลงพอ

 

พูดเสร็จ ลูกบุญธรรมคนที่สิบแปดของจางเลี่ยงก็แบกศพของจางฮุ่ยมาที่บ้าน มาเอาความผิดตระกูลอวิ๋นอย่างกระวนกระวาย ทุกคนต่างพากันสวมชุดเกราะ มือถือดาบ ล้อมอยู่ที่หน้าประตูบ้านของตระกูลอวิ๋น ถึงแม้ว่าจะถูกองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นล้อมรอบ แต่เพราะว่ามีคนเยอะเลยไม่กลัวแม้แต่น้อย เอาแต่บอกว่าให้เรียกเจ้านายของตระกูลอวิ๋นออกมาให้คำตอบ มิเช่นนั้นจะบุกเข้าไปถามท่านย่าของตระกูลอวิ๋น นี่มันจะบังอาจมากเกินไปแล้ว

 

หลังจากที่น่ารื่อมู่ตั้งท้อง ซินเย่วก็ไม่เคยแตะต้องนางเลยแม้แต่ปลายนิ้ว อาหารที่บ้านก็ทำตามความชอบของนาง ตอนนี้น่ารื่อมู่ก็เลยไม่กลัวซินเย่วเลยสักนิด แต่ตอนเห็นสายตาที่แพรวพราวของซินเย่ว นางก็ก้มหัวลง ไม่กล้าสบตากับนาง

 

สั่งให้คนรับใช้เปิดประตูใหญ่ ซินเย่วยืนอยู่หน้าประตู ไม่มีการโค้งคำนับทักทายแล้วก็ไม่มีการตื่นตระหนก พูดกับจางเสินจี่เบาๆ ว่า “ศพของคนตายอยู่ที่ใด”

 

“ฮูหยิน ข้าเคารพนับถือท่านในฐานะฮูหยินชั้นสี่ และเป็นหญิงอาวุโส ศพของจางฮุ่ยน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง หน้าตาเสียโฉม บนร่างกายยังมีรอบมีดแทงตั้งเจ็ดแปดรอย ฮูหยินอย่าดูเลยจะดีกว่า”

 

ซินเย่วเลิกคิ้วและพูดว่า “เจ้าเอาศพมาพูดลอยๆ ว่าคนของข้าฆ่าคน ไม่ดูให้ชัดเจนได้เช่นไร หากพรุ่งนี้ข้าเอาศพไปเอาความผิดที่จวนของตระกูลจาง พวกเจ้าก็จะไม่ดูศพกันหรือ”

 

จางเสินจี่หัวเราะเสียงดังขึ้นมาแล้วพูดกับซินเย่วว่า “ในเมื่อฮูหยินอยากดู ข้าจะไม่ยอมได้เช่นไร” พูดเสร็จก็โบกมือ คนรับใช้เปิดผ้าที่อยู่บนรถม้า ศพที่น่าสังเวชของจางฮุ่ยถูกเปิดเผยท่ามกลางแสงแดดตอนกลางวันแสกๆ เลือดบนหน้าก็ยังไม่ได้เช็ด พวกเขาจงใจทิ้งไว้ให้คนรังเกียจ

 

ซินเย่วเหลือบมองไปที่ศพสองสามครั้ง เห็นว่าเหล่าเจียงพยักหน้าให้นาง นางก็รู้ว่านี่คือตัวจริง

 

เงยหน้าขึ้นถามจางเสินจี่ที่อยู่บนหลังม้าว่า “ไม่ทราบว่าจางกงมีความคิดเห็นเช่นไร”

 

“พ่อบุญธรรมของข้าสงสารตระกูลของท่านที่ไม่มีลูกผู้ชายที่โตเป็นฝั่งเป็นฝา ขอแค่เจ้าชดใช้ให้ครอบครัวของจางฮุ่ยสักหน่อย ไปจุดธูปให้วิญญาณของเขา เราก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะเห็นว่าเป็นชายชาติทหารด้วยกัน มิเช่นนั้นวันนี้เขาก็คงจะบุกมาที่ตระกูลอวิ๋นของท่านแล้ว”

 

ซินเย่วพยักหน้า สั่งให้พ่อบ้านเอาทองคำหนึ่งกิโลครึ่งมาวางไว้ตรงหน้าของจางเสินจี่ แล้วพูดว่า “ทองคำหนึ่งกิโลครึ่งก็ถือว่าชดใช้เพียงพอแล้ว เจ้ากลับไปซะเถอะ คิดซะว่าเจ้าไม่รู้กฎของตระกูลอวิ๋น ครั้งนี้ปล่อยเจ้าไปก่อน”

 

จางเสินจี่ยังไม่ทันได้พูดอะไร พวกทหารพากันชี้ไปที่ซินเย่วและพูดเสียงพึมพำ ชักดาบออกมา ดูเหมือนว่าแค่ออกคำสั่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะฆ่าทันที

 

จางเสินจี่หันหลังไปพูดให้พวกทหารของเขาสงบสติอารมณ์ลงก่อน จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ตระกูลของข้ากับเจ้าก็ล้วนแต่เป็นตระกูลที่มีเกียรติด้วยกันทั้งคู่ รับใช้กองทัพทหาร ตัดสินถูกผิด สูญเสียชื่อเสียงมาด้วยกัน เรามาตัดสินตามกฎของกองทัพกันดีกว่า ผู้ที่แข็งแกร่งคือราชา หากตระกูลของเจ้าสามารถหาคนที่ฆ่าพี่ชายของข้าได้ พวกข้าก็จะยอมแพ้ เอาศพของจางฮุ่ยกลับไปทันที และจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ถ้าหากพวกข้าชนะ ตระกูลอวิ๋นของเจ้าต้องเอาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่เขาอินซานให้พวกข้าทันที”

 

ซินเย่วเข้าใจทันที ไม่ได้ทำเพื่อคนตายอย่างที่คิดไว้ คนที่มีแค่หน้าตาหล่อเหลาไม่คุ้มค่าที่จะให้ตระกูลจางต้องมาเอาเรื่องถึงที่นี่ ที่แท้เป้าหมายก็คือทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์

 

ซินเย่วหัวเราะและพูดกับจางเสินจี่ว่า “เอาตามที่เจ้าต้องการ แต่ข้าขอเพิ่มอีกหนึ่งเงื่อนไข หากพวกเจ้าแพ้ ทุกคนต้องถูกตัดขาคนละหนึ่งข้าง ไม่ต้องกังวลไป ตระกูลอวิ๋นมีหมอทหารมากมาย จะตัดขาของพวกเจ้าออกอย่างระมัดระวัง ไม่ทำให้พวกเจ้าต้องถึงกับตาย”

 

จางเสินจี่งงงวย เขาไม่เข้าใจว่าเป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ การเดิมพันกันครั้งนี้ ทำให้เขาเกิดความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว จะดีหรือร้ายก็ต้องกัดฟันสู้เท่านั้น

 

ความแข็งแกร่งของซินเย่วได้มาจากคำพูดของสามีตัวเอง พละกําลังของซ่านอิงติดอันดับหนึ่งของโลกอยู่แล้ว คนที่เอาชนะเขาได้ มากสุดก็ไม่เกินสิบคน สิบคนนี้ส่วนใหญ่อยู่ในพระราชวัง ที่เหลือเป็นพวกแม่ทัพ อวี้ฉือกง ฉินฉยง หลี่จิ้ง ต้วนจื้อเสียนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่แค่ไม่เคยได้ยินมาว่าจางเลี่ยงอยู่ด้วย นางถึงได้ไม่สนใจการเดิมพันครั้งนี้ ตระกูลอวิ๋นยอมทนมาแล้วตั้งหลายปี เนื่องจากสาเหตุเรื่องของสามี นางรอบคอบมาโดยตลอด ทำอะไรด้วยความระมัดระวัง แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว สามีเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ เรื่องนี้เป็นโอกาสดีที่ตระกูลอวิ๋นจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ตัวเองเป็นผู้หญิง ก่อเรื่องอะไรก็ย่อมได้รับการให้อภัย ก่อเรื่องร้ายแรงแค่ไหน ก็ไม่มีทางกลายเป็นกำเริบเสิบสานต่อราชวงค์ไปได้

 

ซ่านอิงสวมหมวกสีเขียวปรากฏตัวตรงหน้าประตู ตั้งแต่อวิ๋นเยี่ยหายตัวไป เขาก็ระดมเพื่อนๆ ช่วยตามหา ตัวเองรอฟังข่าวอยู่ที่ตระกูลอวิ๋น ตั้งแต่รู้ข่าวของอวิ๋นเยี่ยเมื่อวาน เขาเตรียมตัวที่จะไปตามหาอวิ๋นเยี่ยที่แคว้นหนานจ้าวตามลำพัง เตรียมที่จะออกเดินทางแล้ว แต่ดันเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียก่อน

 

อวิ๋นจิ่วยืนกรานไม่ให้ซ่านอิงใส่เสื้อผ้าของตัวเองออกไป แล้วยังให้เขาใส่ชุดคนรับใช้ หลังจากถามซ่านอิงว่ามั่นใจแค่ไหนก็หาปืนที่เก่าแก่ที่สุดให้ตระกูลให้เขาไป เอาหางวัวมัดที่ปืน ถือว่าเป็นเครื่องประดับ และตั้งชื่อสุดเท่ให้เขาว่าอวิ๋นซานซือปา

 

อวิ๋นซานซือปาที่เพิ่งเปิดตัวออกมายืนอยู่หน้าประตู เขาถูกหัวเราะเสียงดังระงมไปหมด เพื่อที่จะได้ครอบครองตำแหน่งสูงสุดของศีลธรรม จางเสินจี่หยิบตราของจางเลี่ยงออกมาอย่างไม่ลังเล เชิญตระกูลเล็กๆ น้อยๆ ของเมืองฉางอันมาเป็นพยาน อยากจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข้อผูกมัดที่ทำให้ตระกูลอวิ๋นฟื้นตัวไม่ได้

 

ประตูของตระกูลอวิ๋นถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันถือคราด พลั่วและจอบมาจากทุกหนทุกแห่ง สายตาเร่าร้อน แค่ซินเย่วออกคำสั่ง พวกคนของตระกูลจางก็จะถูกฝังในจวนอวิ๋นทันที

 

จางเสินจี่รู้สึกกังวล สถานการณ์ตอนนี้เกินกว่าที่เขาคิดไว้ เห็นได้ชัดว่าพวกชาวบ้านกล้าที่จะลงไม้ลงมือกับพวกเขาจริงๆ แผนการกอบโกยทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของพ่อบุญธรรมล้มแล้ว

 

ซ่านอิงยิ้มและพูดกับคนของตระกูลจางว่า “ข้าชื่ออวิ๋นซานซือปา เป็นคนกวาดพื้นของที่นี่ ข้าชอบการต่อสู้เป็นอย่างมาก ปกติแล้วข้าคนเดียวสู้กับคนเป็นกลุ่ม วันนี้ฮูหยินบอกแล้วว่า ต้องการขาของพวกเจ้าคนละข้าง งั้นก็เอามาซะดีๆ ไม่ต้องไปไหน”

 

ไม่รอให้จางเสินจี่ได้โต้ตอบ เขาก็พุ่งเข้าไป จางเสินจี่ไม่ใช่คนธรรมดา เห็นแสงลูกกระสุนกะพริบอยู่ข้างหน้า เขาก็ตะโกนขึ้นมา ขว้างมีดออกไป มีดหายไปแล้ว แต่จิตใจกลับรู้สึกไม่ค่อยดี เตรียมที่จะหนี แต่กลับเห็นเงาดำกลุ่มใหญ่ล้อมรอบตัวเองอยู่ คงจะหนีไม่ทันแล้ว มีดสั้นในมือซ้ายก็ขว้างออกไปแล้วอีก

 

ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ มีดสั้นกรีดเข้ามาที่เนื้อ ก็ยังคงหลบหนีการการโจมตีของเงาดำไม่ได้ เงาสีดำพุ่งเข้าใส่เขาอย่างแรง เขาตกลงมาจากหลังม้า

 

เมื่อเขากุมหัวลุกขึ้นยืนด้วยความมึนงง เขาก็เห็นคนรับใช้ที่น่ารังเกียจยืนอยู่ตรงหน้า แล้วที่ตัวเองใช้มีดแทงไปเมื่อกี้คือใครกัน

 

ก้มหน้าลงไปมองถึงได้เห็นว่าเป็นน้องชายของตัวเอง เลือดพุ่งออกมาจากปากอย่างมาก ที่ท้องยังมีมีดของตัวเองคาอยู่

 

“เจ้าเป็นใคร” ให้ตายจางเสินจี่ก็ไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนรับใช้กวาดพื้น

 

“ข้าเป็นแค่คนรับใช้ ชื่อว่าอวิ๋นซานซือปา ข้าชอบการต่อสู้ แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่มีความกล้าหาญเลยแม้แต่น้อย หากมีเวลา ข้าอยากจะลองประชันกับจางเลี่ยงดูสักหน่อย ดูว่าใครเก่งกว่ากัน”

 

เหล่าเฉียนไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น ให้คนรับใช้ยกมีดตัดหญ้าออกมา ทหารที่เคยอยู่ในสนามรบสองคน เคยได้ตำแหน่งไท่เป่า ไม่สนเป็นหรือตาย เอาขาวางลงใต้มีดตัด ทำท่าจะตัดขา เตรียมให้เกียรติการเดิมพัน

 

“ช้าก่อน ข้ามีเรื่องจะพูด” จางเสินจี่เป็นกังวลขึ้นมา ถึงแม้ว่าจางเลี่ยงจะมีลูกบุญธรรมห้าร้อยคน แต่ส่วนที่เป็นทหารไท่เป่ามีไม่ถึงหนึ่งร้อย นอกนั้นเป็นพวกศิษย์ไท่เป่า ไม่ได้เรื่องอะไร ใช้ชื่อเสียงของจางเลี่ยงอันธพาลไปทั่ว แทบจะเป็นภัยสาธารณะในฉางอัน ถ้าอีกสิบคนนี้ต้องเสียขาไปคนละข้าง ไม่ต้องคิดเลย พวกเขาคงถูกจางเลี่ยงทอดทิ้ง ต่อไปในอนาคตคงมีชีวิตที่น่าสังเวช จางเลี่ยงไม่เคยเลี้ยงดูคนไร้ประโยชน์ ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะเรียกเขาว่าพ่อ

 

“อวิ๋นฮูหยิน จางเสินจี่ยอมแพ้ ขอร้องฮูหยิน ถือซะว่าเป็นชายชาติทหารด้วยกัน ปล่อยพวกเขาที่น่าสงสารไปเถิด ตัดขาของข้าคนเดียวได้หรือไม่”

 

“ข้าไม่สนใจ ข้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ว่าข้างนอกพูดกันเช่นไร ในเมื่อเจ้ากล้ามาบังอาจกับตระกูลอวิ๋น เจ้าก็ต้องเตรียมใจให้พร้อม หากพวกเราแพ้ เจ้าจะยอมปล่อยพวกข้าไปหรือ ท่านพี่ของข้าเคยสอนข้าไว้ ตีงูไม่ตาย มันจะแว้งกัดเอาได้ เจ้าก็ยอมทนเอาเถอะ”

 

ได้ยินฮูหยินพูดเช่นนี้ พวกทหารก็กดมีดตัดลงไปอย่างมีความสุข หมอทหารที่อยู่อีกด้านหนึ่งเตรียมเหล็กที่เผาไฟไว้อยู่แล้ว ขาตกลงมา ก็เอาเหล็กกดขึ้นไป หลังจากเสียงร้องคำรามที่น่ากลัวเงียบลง กลิ่นของบาร์บีคิวก็อบอวลไปทั่ว หลายคนถึงกับอาเจียนออกมาทันที

 

สีหน้าของซินเย่วซีดเซียว พูดกับพวกที่มาเป็นพยานว่า “เบิกตามองไว้ให้ดี วันนี้ของพวกเขาก็คือพรุ่งนี้ของพวกเจ้า จะเลียแข้งเลียขาใครก็ดูดีๆ ทางที่ดีหาคนที่มีรากฐานแข็งแรงหน่อย อย่าถูกตัดขาได้ง่ายๆ”

 

ชายแก่นามสกุลหลิวที่เป็นหัวหน้า คุกเข่าก้มหัวอยู่ที่พื้น “ฮูหยินโปรดเมตตา พวกข้าไม่ได้อยากมา แต่พวกเขาเอาตราของซวินกั๋วกงมา พวกข้าไม่กล้าไม่มา”

 

ซินเย่วตัดสินใจใช้โอกาสนี้สร้างความน่าเกรงขามอีกครั้ง นางยอมถูกเรียกว่าเป็นหญิงโหดเ**้ยม แต่ก็ไม่มีทางยอม ถ้าหากสามีไม่กลับมา ตัวเองก็จำเป็นต้องเข้มแข็ง หลายร้อยชีวิตในตระกูลยังหวังให้นางเป็นเสาหลัก ทรัพย์สินที่สามีทิ้งไว้ ไม่ว่าใครต้องการแย่ง ซินเย่วจะสู้ให้ถึงที่สุด

 

มีคนขี่ม้าเร็วมาถึง กระโดดลงมาจากหลังม้า เห็นขาคนเก้าขาวางอยู่บนผ้าใบกันน้ำอย่างเรียบร้อย ข้างๆ มีคนขาพิการนอนอยู่เก้าคน บางคนร้องโหยหวน บางคนร้องไห้ และยังมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มด้วยความตื่นเต้นของพวกชาวบ้านที่อยู่ข้างๆ

 

คนที่มาก็คือจางเลี่ยง เดิมที่เขารอฟังข่าวดีอยู่ที่จวนของตัวเอง คิดว่าไม่นานตระกูลของตัวเองก็จะมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์อันกว้างขว้างเพิ่มขึ้นอีก แค่เลี้ยงวัวเลี้ยงแกะในทุกๆ ปีก็ทำเงินได้ก้อนใหญ่ ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีคนมาบอกข้าวร้าย ไท่เป่าของเขาสู้พวกคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นไม่ได้ ตอนนี้กำลังจะถูกตัดขา

 

ถึงแม้ว่าลูกบุญธรรมจะเป็นเพียงสุนัขเฝ้าบ้านที่เขาเลี้ยงไว้ แต่ตอนนี้กำลังจะถูกคนอื่นฆ่าเสียหมด ก็ต้องเศร้าใจเป็นธรรมดา

 

จางเสินจี่ที่ถูกเอาขาวางไว้ใต้มีดตัดรีบร้องขอความช่วยเหลือ “ท่านพ่อช่วยข้าด้วย ท่านพ่อช่วยข้าด้วย” เหล่าเถียนที่เกิดมาในฐานะเพชฌฆาตไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ใช้แรงกดมีดเพื่อตัดลงอีกครั้ง

 

จางเลี่ยงโมโห ชี้หน้าซินเย่วแล้วพูดว่า “เจ้ามันหญิงโหดเ**้ยม”