แท้จริงแล้ว ใช่ว่ามู่หรงฉีไม่รู้สึกเจ็บ
ช่วงเวลาที่ความตายเข้าใกล้ตัว แต่เขากลับไม่มีทางออกและไม่มีโอกาสรอดชีวิต
เขาทำได้เพียงพยายามดิ้นรนเพื่ออยู่รอด ยอมรับชะตากรรม และรอให้มังกรอัคคีแผดเผาตนเองให้กลายเป็นเถ้าถ่าน เฝ้ารอเพียงความตายที่จะมาถึง
เขาเป็นถึงฉีอ๋องผู้สูงศักดิ์ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกว่ามนุษย์ช่างเปราะบาง เมื่อเทียบกับสรรพสิ่งในโลก และเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย
ในเวลานี้ เขาหวนนึกถึงเรื่องราวมากมาย
ทว่าภาพที่ทำให้เขาประทับใจที่สุด กลับเป็นใบหน้าที่กล้าหาญท่ามกลางความมืดมิดของตงหลิงหวง และรอยยิ้มขณะที่เขาขี่ม้ากับนางที่พรมแดนระหว่างแคว้นหนานหลีกับแคว้นตงเฉิน
รอยยิ้มนั้นราวกับผงชาดที่เขาไม่อาจลบเลือนไปจากใจ และเหมือนกริชอ่อนโยนที่แทงหัวใจของเขาอย่างรุนแรง
มู่หรงฉีไม่กลัวตาย แต่กลัวว่าการตายอยู่ที่นี่จะเป็นการตายอย่างไร้ค่า กลัวว่าหลังจากเขาตายไปแล้ว เขาจะไม่สามารถช่วยตงหลิงหวงและซูจิ่นซีได้
ทว่าเวลานี้ ‘ความกลัว’ จะมีประโยชน์อันใด?
ไม่มีประโยชน์อันใดแม้แต่น้อย
เมื่อมังกรอัคคีอยู่ห่างจากมู่หรงฉีเพียงห้าจั้ง และเสื้อผ้าของเขาติดไฟทั้งตัว ทันใดนั้น กำแพงด้านหลังของมู่หรงฉีก็เปิดออก และคนผู้หนึ่งก็ลากตัวเขาเข้าไป
วินาทีที่มู่หรงฉีถูกดึงเข้าไปในช่องกำแพง มังกรอัคคีพลันส่งเสียงคำรามดัง ‘โฮก’ มันพ่นเพลิงอัคคีมายังจุดที่เขายืนอยู่
หลังจากรอดตายอย่างเฉียดฉิว ขาของมู่หรงฉีก็อ่อนแรงล้มพับลงกับพื้น
อวิ๋นจิ่นยกแขนเสื้อดับไฟบนร่างของมู่หรงฉี เมื่อมองรอยไหม้บนใบหน้าและร่างกายของมู่หรงฉี อวิ๋นจิ๋นก็ขมวดคิ้วแน่น “ฉีอ๋อง พระองค์… ยังไหวหรือไม่? ”
เหงื่อบนใบหน้าของมู่หรงฉีไหลรินราวกับสายน้ำ ในเหงื่อมีเกลือ เมื่อไหลผ่านบาดแผลก็ทำให้ปวดแสบปวดร้อนยิ่งนัก ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดนานแล้ว
ขนตาของมู่หรงฉีเปียกชุ่ม ริมฝีปากแห้งผาก บาดแผลบนร่างกายยังคงมีเลือดไหลออกมา
อาการของเขาไม่ดีนัก
ทว่าเขายังเผยรอยยิ้มที่มุมปาก “ไม่เป็นอันใด! ขอบคุณหมอหลวงอวิ๋นที่ช่วยชีวิต” สุดท้าย เขาก็ไม่ลืมถามเรื่องที่กังวลใจมากที่สุด “พบไข่มุกทะเลใต้พิภพหรือไม่? ”
อวิ๋นจิ่นเหลือบมองกล่องผ้าในมือเยี่ยโยวเหยา “ฉีอ๋องโปรดวางพระทัย พวกเราพบไข่มุกทะเลใต้พิภพแล้ว”
เรื่องที่กดทับอยู่ในใจ ในที่สุดก็เห็นความหวังที่สดใส มู่หรงฉีพยายามอดทน ทว่าเขาไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป เปลือกตาของเขาค่อยๆ ปิดลง
“ฉีอ๋อง ฉีอ๋อง! ”
อวิ๋นจิ่นตะโกนเรียกสองครั้ง เมื่อเห็นมู่หรงฉีไม่มีการตอบสนอง อวิ๋นจิ่นจึงรีบตรวจชีพจร ก่อนจะป้อนยาและฝังเข็มให้มู่หรงฉี
เรื่องราวต่างๆ อวิ๋นจิ่นล้วนกระทำอย่างเหมาะสม ทั้งยังคล่องแคล่วอย่างยิ่ง
เยี่ยโยวเหยาเฝ้าดูอยู่ข้างหลังอย่างเงียบงัน เขามองการเคลื่อนไหวของอวิ๋นจิ่นด้วยแววตาซับซ้อนและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการกระทำที่อวิ๋นจิ่นโบกแขนเสื้อดับไฟบนร่างของมู่หรงฉี ซึ่งดูเหมือนคนผู้หนึ่ง
อวิ๋นจิ่นตรวจดูบาดแผลบนร่างของมู่หรงฉีอย่างจริงจัง ทั้งยังถ่ายเทพลังภายในให้มู่หรงฉี
มู่หรงฉียังคงหมดสติ พวกเขาไม่อาจจากไปได้ในขณะนี้ ทำได้เพียงรอให้มู่หรงฉีฟื้น
อย่างไรก็ตาม มู่หรงฉีบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เขายังสามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกหรือ?
พวกเขาไม่มีเวลารอมู่หรงฉี ทว่าก็ไม่อาจทิ้งมู่หรงฉีไว้ที่นี่ได้!
เวลาผ่านไป มู่หรงฉียังคงหมดสติ
คราแรก เยี่ยโยวเหยาเพียงใช้สายตาเย็นชามองอวิ๋นจิ่น โดยไม่ทำอันใด เขาต้องการดูว่าอวิ๋นจิ่นจะปิดบังไปได้นานเพียงใด เขาจะช่วยมู่หรงฉีอย่างไร
ทว่าอวิ๋นจิ่นไม่ได้โง่!
เขาจะเปิดเผยความสามารถทั้งหมดของตนเองต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาได้อย่างไร
ทั้งสองคนต่างไม่พูดสิ่งใด
ในห้องลับที่ว่างเปล่า บรรยากาศเงียบสงัดอย่างน่ากลัว
เมื่อมองไปยังมู่หรงฉีที่ไม่มีการตอบสนองใดๆ และอวิ๋นจิ่นที่นิ่งเงียบ ในที่สุด เยี่ยโยวเหยาก็ทนไม่ไหว เขาลุกขึ้นมาถ่ายเทพลังภายในให้มู่หรงฉีเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ทว่าพลังภายในที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของมู่หรงฉีอย่างต่อเนื่องนั้น ต้องใช้พลังภายในของเยี่ยโยวเหยาถึงสี่ส่วน อย่างไรก็ตาม มู่หรงฉียังคงไม่ฟื้น
เยี่ยโยวเหยาไม่อาจถ่ายเทพลังได้อีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงว่าร่างกายของมู่หรงฉีจะทนต่อการถ่ายเทพลังอย่างรวดเร็วได้หรือไม่ นอกจากนั้น พวกเขายังไม่รู้ว่าข้างนอกมีสถานการณ์อันตรายมากเพียงใดรอพวกเขาอยู่!
เขาต้องเก็บพลังภายในและพลังยุทธ์เพื่อรับมือกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และต้องนำไข่มุกทะเลใต้พิภพไปส่งให้ถึงผาเก็บดาว
ผ่านไปครู่หนึ่ง อวิ๋นจิ่นจึงถ่ายเทพลังภายในให้มู่หรงฉีอีกคน
ในที่สุด หลังจากผ่านไปหกชั่วยามเต็มๆ มู่หรงฉีก็ฟื้นขึ้น
จนถึงเวลานี้ ยังเหลืออีกสามวัน หญ้าเฟิงฝูที่อวิ๋นจิ่นใช้ป้องกันร่างของซูจิ่นซีไม่ให้เน่าเปื่อยจะหมดฤทธิ์ลง
ภายในสามวัน พวกเขาต้องรีบกลับไปที่ผาเก็บดาว ไม่เช่นนั้น จะไม่สามารถช่วยชีวิตซูจิ่นซีได้อีก
อวิ๋นจิ่นและเยี่ยโยวเหยาต่างขมวดคิ้วแน่น
“ฉีอ๋อง พระองค์เสด็จไหวหรือไม่? ”
ริมฝีปากของมู่หรงฉีแห้งแตก และมีรอยเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเหม่อลอย
“โยวอ๋อง หมอหลวงอวิ๋น ข้าทำให้พวกท่านลำบากแล้ว! พวกเรา… พวกเรารีบเดินทางกันเถิด! ข้ายังทนไหว! ”
มู่หรงฉีพูดพลางใช้มือค้ำผนังเย็นเฉียบ และค่อยๆ ลุกขึ้น
อวิ๋นจิ่นมองร่างที่สั่นคลอนของมู่หรงฉี พลางส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเดินมาพยุงตัวมู่หรงฉี “ฉีอ๋องระวังด้วย! ”
ทั้งสามคนเดินไปข้างหน้าตามเส้นทางหลักอย่างต่อเนื่อง ระหว่างทาง พวกเขาไม่พบอันตรายใดๆ แม้แต่น้อย ทั้งยังเดินออกจากตำหนักใต้ดินของสำนักถังเหมินได้อย่างราบรื่น
ทว่าขณะที่พวกเขาออกมาจากตำหนักใต้ดิน และยืนอยู่ภายในศาลบรรพชนของสกุลถัง เรื่องยุ่งยากก็มาถึง…
แสงเทียนบนผนังห้องโถงของศาลบรรพชนพลันสว่างไสวราวกับดวงดาว
‘พรึบ พรึบ พรึบ’ องครักษ์พร้อมอาวุธครบมือต่างยืนเรียงแถวอยู่เบื้องหน้าแสงสว่างนั้น
เสียง ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ดังขึ้นอีกหลายครั้ง องครักษ์ของสำนักถังเหมินปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า ขวางทางทั้งสามคนไว้
“โยวอ๋อง ฉีอ๋อง หมอหลวงอวิ๋น พวกเจ้าเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ทั้งยังสังหารผู้อาวุโสทั้งแปด และสัตว์เทพทั้งสามของสำนักถังเหมินเรา วันนี้ พวกเราคงต้องคิดบัญชีกับพวกเจ้า”
น้ำเสียงใสราวกับสายน้ำ ทว่ามีโทนเสียงสูงดังขึ้น องครักษ์ที่อยู่ข้างหน้ายืนแยกออกเป็นสองฝั่ง เพื่อหลีกทางให้ ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งผู้สง่างามในชุดสีเหลืองปรากฏกายต่อหน้าทุกคน
นางยังคงมีท่าทีสูงศักดิ์เช่นเคย ทว่าดวงตาเย็นชากลับเต็มไปด้วยแรงอาฆาตพยาบาท ทั้งยังหรี่ตามองไปยังเยี่ยโยวเหยา
“ก่อนหน้านี้ ข้าไปเยือนแคว้นจงหนิงเพื่อตามหาบุตรธิดาผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของซีจือ ทว่าโยวอ๋อง ท่านกลับนำหยกกิเลนมาหลอกฮูหยินอย่างข้าให้เข้าใจผิด คิดว่าท่านเป็นบุตรชายของซีจือ ท่านทำให้ข้าเข้าใจผิดมาโดยตลอด ฮูหยินอย่างข้าคงต้องคิดบัญชีกับท่าน! วันนี้ ท่านกับข้ามาสะสางบัญชีนี้ให้จบสิ้นเถิด”
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งพูดด้วยแววตาเย็นชาและลึกซึ้ง นางยื่นมือออกไป องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างจึงวางกระบี่อันเปล่งประกายลงบนมือของนาง นางรับกระบี่ไว้ จากนั้นจึงชี้ไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างเชื่องช้า
ในเวลาเช่นนี้ สตรีผู้นี้กลับปรากฏตัวขึ้นเพื่อสร้างความวุ่นวาย
ภายในใจของเยี่ยโยวเหยามีเรื่องหงุดหงิดมากพออยู่แล้ว เมื่อเห็นฮูหยินเตี๋ยเมิ่งทำเช่นนี้ ทันใดนั้น ไฟที่เผาผลาญอยู่ในใจของเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
พอดีเลย ได้โอกาสปลดปล่อยพลังแห่งความหงุดหงิดที่อยู่ในใจมาหลายวัน!
จู่ๆ ก็มีกระสอบทรายเดินมาหาถึงที่ เยี่ยโยวเหยาผู้ดื้อรั้นโหดร้ายไม่เคยออมมือให้ใครอยู่แล้ว
เยี่ยโยวเหยาหยิบกระบี่เสวียนหยวนออกมา และพุ่งเข้าไปหาฮูหยินเตี๋ยเมิ่งทันที
หลังจากเกิดเสียงดัง ‘ฉับ ฉับ ฉับ’ หลายครั้ง ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งรู้สึกเพียงว่ามีเงาสีดำวิ่งผ่านหน้า นางยังมองไม่ชัดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น กระบี่เสวียนหยวนก็ทิ้งรอยแผลไว้บนร่างกายของนางเสียแล้ว จากนั้น เยี่ยโยวเหยาก็กดกระบี่ลงบนเส้นชีพจรที่บริเวณลำคอของนาง