ตอนที่ 228 อี้อ๋อง ข้าอยากเอาไม้กระบองฟาดท่านให้ตายเท่านั้น!

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

แววตาเยี่ยเม่ยทอประกายเย็นวาบ ราชสำนักจงเจิ้งอย่างนั้นหรือ

 

 

ทุกครั้งที่ได้ฟังชื่อนี้ ในใจของนางล้วนเกิดความรู้สึกแปลกอยู่บ้าง รวมถึงครั้งนี้ด้วย ก่อนหน้านี้ครั้งสองครั้งนางยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ทำเสียว่าตัวเองเข้าใจผิดไปเอง แต่ว่าครั้งนี้…

 

 

หากนางยังหลงคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดอยู่ อย่างนั้นนางก็โง่เต็มทนแล้ว

 

 

เห็นนางยืนอยู่ที่ประตู มองจ้องอยู่ด้านนอกไม่ขยับ

 

 

สายตาเป่ยเฉินอี้ทอประกายยินดีและเบิกบาน น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังถามออกด้วยความสงสัย “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นอะไรไป หรือว่าเจ้ารู้สึกคุ้นเคยกับที่ตั้งของราชสำนักจงเจิ้ง”

 

 

ใช่แล้ว

 

 

คุ้นเคย คุ้นเคยมากจริงๆ

 

 

คุ้นเคยถึงกระทั่งมีภาพเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ฉายวาบเข้ามาในหัวสมอง ทว่ายามนี้เป่ยเฉินอี้คือศัตรู ต่อให้นางมีความเกี่ยวพันกับสถานที่แห่งนี้จริง ต่อให้วันนี้นางคิดอะไรขึ้นมาได้ ก็ไม่มีทางให้เป่ยเฉินอี้รับรู้ได้แม้แต่น้อย!  

 

 

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองเป่ยเฉินอี้ ถามนิ่งๆ ว่า “ข้าแค่แปลกใจเท่านั้น อยู่ดีๆ ไฉนพวกเราต้องมาที่ตั้งเก่าของราชวงศ์ที่ล่มสลายไปแล้วด้วย เชื่อว่าอี้อ๋องคงรู้ดี ข้าถือตรานำทัพอยู่ในยามนี้ ท่านให้ข้ามาดูสถานที่ประเภทนี้ในเวลานี้ หรือคิดจะแช่งให้ข้าพ่ายแพ้ศึก”

 

 

น้ำเสียงนางไม่เป็นมิตรอย่างมาก สายตาที่มองเป่ยเฉินอี้ยิ่งเจือไปด้วยความเป็นศัตรู

 

 

คราวนี้กลับทำให้เป่ยเฉินอี้มองพิรุธอะไรไม่ออก น้ำเสียงน่าฟังของเขาเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนงมงายอย่างนี้หรือ ถึงกับเชื่อว่าเมื่อมาที่นี่แล้วจะทำให้แพ้ศึก”

 

 

 “ถูกต้อง!” เยี่ยเม่ยทำท่าทางเปิดเผย “ข้างมงายมาก!”

 

 

ชิงเกอ “…”

 

 

ก็ดี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนยอมรับว่าตัวเองงมงาย คนทั่วไปต่อให้งมงายก็ไม่มีทางออกมายอมรับ อีกทั้งยังหลงเข้าใจว่าตัวเองมีความเชื่ออย่างธรรมดาเท่านั้น

 

 

แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้ช่างไม่เหมือนคนทั่วไปเสียจริง

 

 

เป่ยเฉินอี้ถูกคำตอบของเยี่ยเม่ยทำให้สะดุดไป เขานิ่งไปครู่หนึ่ง หัวเราะเสียงนุ่มอีกครั้ง “แต่พวกเรามาถึงแล้ว ต่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยงมงาย แต่ก็ขอให้ลงจากรถม้ามาชมดูสักหน่อยเถิด!”

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้ว คล้ายไม่พอใจเป็นอย่างมาก สีหน้าที่มองเป่ยเฉินอี้ยังเปลี่ยนไปไม่น่าดู ลงรถม้าด้วยท่าทางไม่ยินยอม ทั้งเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ท่านอ๋องรั้งข้าเอาไว้ ไม่รู้ว่าซินเยว่เยี่ยนกับจงรั่วปิงจะรับมือพวกที่ดักซุ่มอยู่ระหว่างทางได้หรือไม่ ขอเตือนท่านไว้คำหนึ่ง หากยาของจิ่วหุนส่งกลับไปไม่ทัน เยี่ยเม่ยจะให้ท่านอ๋องชดใช้ชีวิต!”

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว กลับยิ้มออกมา “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ต้องร้อนใจ ในยามนี้เชื่อว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคงรู้แล้วว่าข้าไม่อยู่ที่ชายแดน ทัพเสริมของเขาไม่มีทางเห็นแม่นางทั้งสองมีภัยแล้วไม่ช่วยเหลืออย่างแน่นอน!”

 

 

ระหว่างเอ่ยคำนี้ เป่ยเฉินอี้ก็ลงจากรถ

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับหัวเราะ เอ่ยปากว่า “ท่านพูดไม่ผิด หากไม่ใช่เพราะตอนเห็นท่าน ข้าก็เดาได้แล้วว่าไม่ช้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะพบว่าท่านไม่อยู่ชายแดนแล้วส่งคนมาช่วยเหลือ ข้าก็ไม่กล้าเดิมพันง่ายๆ เช่นนี้ อย่างไรเสียหากจงรั่วปิงกับซินเยว่เยี่ยนพบศัตรูจำนวนมากระหว่างทาง เรื่องนี้ก็จะเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ”

 

 

ครั้นเอ่ยถึงจุดนี้เยี่ยเม่ยกวาดตามองเป่ยเฉินอี้ น้ำเสียงทวีความเย็นชา “แต่ว่า! อี้อ๋อง ท่านทำให้คนรังเกียจจนถึงขั้นที่ข้าอยากคว้าไม้กระบองฟาดท่านให้ตายไปเสีย!”

 

 

นางตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ชิงเกอเป็นคนแรกที่จับด้ามกระบี่ของตนอย่างระวัง เตรียมตัวคุ้มกันเจ้านาย

 

 

ส่วนเป่ยเฉินอี้ฟังแล้วก็หาได้ใส่ใจไม่ เขากลับเชื่อว่าเยี่ยเม่ยไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้

 

 

เป่ยเฉินอี้เอ่ยเสียงขรึมว่า “ขอเชิญแม่นางเยี่ยเม่ยเข้าไปชมด้านในกับข้าสักเทียวหนึ่ง ข้าเฝ้ารอเหลือเกินว่า หลังจากแม่นางเยี่ยเม่ยชมเสร็จแล้วจะยิ่งเกลียดข้าขึ้นไปอีก!”

 

 

หากนางคืออาซี หลังจากเข้าไปแล้วต้องยิ่งรังเกียจเขาอย่างแน่นอน

 

 

การถูกนางรังเกียจหาใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ แต่หากอาซียังมีชีวิตอยู่ ต่อให้นางเกลียด เขาก็ยินดี

 

 

ระหว่างใช้ความคิด เป่ยเฉินอี้ก็สะบัดชายเสื้อเดินนำเข้าไปก่อน

 

 

เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง มองแผ่นหลังของเขา สองมือกอดอกทำท่าทางไม่เป็นโล้เป็นพายติดตามเขาเข้าไปด้านใน

 

 

เบื้องหน้าคือกำแพงวังสูงตระหง่าน

 

 

เขาบอกว่าที่นี่คือที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้ง ความจริงหากพูดให้ชัดเจนคือวังหลวงแห่งหนึ่ง ระยะเวลาไม่เก่าแก่มาก เพียงแต่ไม่มีคนปัดกวาดเช็ดถูมานาน ใยแมงมุมอยู่ทั่วสารทิศ

 

 

ยามเมื่อฝีเท้าของเยี่ยเม่ยเดินตามเป่ยเฉินอี้เข้าไปทางประตูใหญ่ของวัง

 

 

นางพลันสัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์คุ้นเคยจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาอยู่ในสมอง ชั่วเวลาพริบตา คล้ายเห็นแม่นางที่เด็กกว่านางไม่กี่ปี หน้าตาเหมือนกับตัวนางไม่มีผิดเพี้ยนผู้หนึ่งสวมชุดขันที กระโดดโลดเต้นผ่านที่แห่งนี้

 

 

แม่นางน้อยผู้นั้นใบหน้าอาบรอยยิ้ม เอ่ยกับสาวใช้ที่สวมชุดขันทีเหมือนตนเองว่า “เร็วเข้า หากไม่รีบกลับไป จะถูกเสด็จพ่อเสด็จแม่จับได้แล้วว่าข้าแอบหนีออกไปนอกวัง!”

 

 

ความรู้สึกคุ้นเคยจากเบื้องลึกเข้าจู่โจม ในขณะเดียวกันก็ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง จนถึงกระทั่งหวาดกลัว

 

 

หรือว่า…

 

 

เป่ยเฉินอี้จะรู้เรื่องในอดีตของนางจริงๆ

 

 

ทั้งนางคือคนที่เป่ยเฉินอี้คิดถึงผู้นั้นอีกด้วย

 

 

นางรู้สึกขนลุกไปทั้งแขน ยามนี้เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกหวั่นกลัว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้นางหยุดฝีเท้าอย่างห้ามไม่ได้

 

 

เวลาเดียวกับที่นางหยุดฝีเท้า เป่ยเฉินอี้รู้สึกยินดีอยู่ในใจ

 

 

เขาหันไปมองเยี่ยเม่ย ทว่าเห็นใบหน้าของเยี่ยเม่ยไม่มีความคิดคะนึงหรือความโกรธแค้น แต่กลับเย็นเยือกดังเคย ความยินดีในเบื้องลึกของดวงตาเขาแข็งขืนขึ้นมาทันที เขาเอ่ยถามเสียงแข็งว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ หรือเพราะยินยอมคิดอะไรขึ้นมาได้แล้ว”

 

 

เยี่ยเม่ยรีบรวบรวมสติกลับมา ยังดีที่ต่อให้นางรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังมีสีหน้าเย็นชา ไม่ทำให้เป่ยเฉินอี้จับพิรุธใดๆ ได้

 

 

นางกวาดสายตามองไปรอบด้านเล็กน้อย จ้องตาเป่ยเฉินอี้เอ่ยว่า “ยินยอมคิดอะไรขึ้นได้หรือ ความหมายของอี้อ๋องคือท่านคิดว่าข้านึกอะไรขึ้นมาได้ แต่ยังหลอกลวงว่าคิดไม่ได้หรือ อี้อ๋องคิดมากไปแล้ว ที่ข้าหยุดก็เพราะเห็นกำแพงฝั่งนี้มีใยแมงมุมจำนวนมาก คิดว่าที่นี่คงไร้คนดูแลมาหลายปี ไม่แน่ว่าจะยิ่งสกปรกเลอะเทอะ ดังนั้นข้าจึงไม่ยินยอมเดินต่อเข้าไป!”

 

 

แววตาของเป่ยเฉินอี้นิ่งขึง น้ำเสียงยังลุ่มลึกเกินหยั่งได้ “เดิมทีที่นี่สมควรมีคนคอยเฝ้า แต่เพราะความดื้อดึงของข้าขอให้ฝ่าบาททรงประทานวังหลังนี้ให้ ข้าจึงปิดมันเอาไว้ ไม่ส่งคนมาดูแล!”

 

 

คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้วมองหน้าเขา

 

 

เป็นถึงฮ่องเต้ไฉนถึงประทานวังเก่าผุพังนี้ให้กับขุนนางของตนกัน หากขุนนางย้ายเข้าพักจริงๆ เช่นนั้นวังทั้งสองแห่งล้วนมีคนอาศัยอยู่ สุดท้ายแล้วใครคือฮ่องเต้กันแน่

 

 

นอกจากว่าในยามนั้นฮ่องเต้ถูกบีบคั้น ไม่อาจไม่ทำตาม