แววตาเยี่ยเม่ยทอประกายเย็นวาบ ราชสำนักจงเจิ้งอย่างนั้นหรือ
ทุกครั้งที่ได้ฟังชื่อนี้ ในใจของนางล้วนเกิดความรู้สึกแปลกอยู่บ้าง รวมถึงครั้งนี้ด้วย ก่อนหน้านี้ครั้งสองครั้งนางยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ทำเสียว่าตัวเองเข้าใจผิดไปเอง แต่ว่าครั้งนี้…
หากนางยังหลงคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดอยู่ อย่างนั้นนางก็โง่เต็มทนแล้ว
เห็นนางยืนอยู่ที่ประตู มองจ้องอยู่ด้านนอกไม่ขยับ
สายตาเป่ยเฉินอี้ทอประกายยินดีและเบิกบาน น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังถามออกด้วยความสงสัย “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นอะไรไป หรือว่าเจ้ารู้สึกคุ้นเคยกับที่ตั้งของราชสำนักจงเจิ้ง”
ใช่แล้ว
คุ้นเคย คุ้นเคยมากจริงๆ
คุ้นเคยถึงกระทั่งมีภาพเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ฉายวาบเข้ามาในหัวสมอง ทว่ายามนี้เป่ยเฉินอี้คือศัตรู ต่อให้นางมีความเกี่ยวพันกับสถานที่แห่งนี้จริง ต่อให้วันนี้นางคิดอะไรขึ้นมาได้ ก็ไม่มีทางให้เป่ยเฉินอี้รับรู้ได้แม้แต่น้อย!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองเป่ยเฉินอี้ ถามนิ่งๆ ว่า “ข้าแค่แปลกใจเท่านั้น อยู่ดีๆ ไฉนพวกเราต้องมาที่ตั้งเก่าของราชวงศ์ที่ล่มสลายไปแล้วด้วย เชื่อว่าอี้อ๋องคงรู้ดี ข้าถือตรานำทัพอยู่ในยามนี้ ท่านให้ข้ามาดูสถานที่ประเภทนี้ในเวลานี้ หรือคิดจะแช่งให้ข้าพ่ายแพ้ศึก”
น้ำเสียงนางไม่เป็นมิตรอย่างมาก สายตาที่มองเป่ยเฉินอี้ยิ่งเจือไปด้วยความเป็นศัตรู
คราวนี้กลับทำให้เป่ยเฉินอี้มองพิรุธอะไรไม่ออก น้ำเสียงน่าฟังของเขาเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนงมงายอย่างนี้หรือ ถึงกับเชื่อว่าเมื่อมาที่นี่แล้วจะทำให้แพ้ศึก”
“ถูกต้อง!” เยี่ยเม่ยทำท่าทางเปิดเผย “ข้างมงายมาก!”
ชิงเกอ “…”
ก็ดี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนยอมรับว่าตัวเองงมงาย คนทั่วไปต่อให้งมงายก็ไม่มีทางออกมายอมรับ อีกทั้งยังหลงเข้าใจว่าตัวเองมีความเชื่ออย่างธรรมดาเท่านั้น
แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้ช่างไม่เหมือนคนทั่วไปเสียจริง
เป่ยเฉินอี้ถูกคำตอบของเยี่ยเม่ยทำให้สะดุดไป เขานิ่งไปครู่หนึ่ง หัวเราะเสียงนุ่มอีกครั้ง “แต่พวกเรามาถึงแล้ว ต่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยงมงาย แต่ก็ขอให้ลงจากรถม้ามาชมดูสักหน่อยเถิด!”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว คล้ายไม่พอใจเป็นอย่างมาก สีหน้าที่มองเป่ยเฉินอี้ยังเปลี่ยนไปไม่น่าดู ลงรถม้าด้วยท่าทางไม่ยินยอม ทั้งเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ท่านอ๋องรั้งข้าเอาไว้ ไม่รู้ว่าซินเยว่เยี่ยนกับจงรั่วปิงจะรับมือพวกที่ดักซุ่มอยู่ระหว่างทางได้หรือไม่ ขอเตือนท่านไว้คำหนึ่ง หากยาของจิ่วหุนส่งกลับไปไม่ทัน เยี่ยเม่ยจะให้ท่านอ๋องชดใช้ชีวิต!”
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว กลับยิ้มออกมา “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ต้องร้อนใจ ในยามนี้เชื่อว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคงรู้แล้วว่าข้าไม่อยู่ที่ชายแดน ทัพเสริมของเขาไม่มีทางเห็นแม่นางทั้งสองมีภัยแล้วไม่ช่วยเหลืออย่างแน่นอน!”
ระหว่างเอ่ยคำนี้ เป่ยเฉินอี้ก็ลงจากรถ
เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับหัวเราะ เอ่ยปากว่า “ท่านพูดไม่ผิด หากไม่ใช่เพราะตอนเห็นท่าน ข้าก็เดาได้แล้วว่าไม่ช้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะพบว่าท่านไม่อยู่ชายแดนแล้วส่งคนมาช่วยเหลือ ข้าก็ไม่กล้าเดิมพันง่ายๆ เช่นนี้ อย่างไรเสียหากจงรั่วปิงกับซินเยว่เยี่ยนพบศัตรูจำนวนมากระหว่างทาง เรื่องนี้ก็จะเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ”
ครั้นเอ่ยถึงจุดนี้เยี่ยเม่ยกวาดตามองเป่ยเฉินอี้ น้ำเสียงทวีความเย็นชา “แต่ว่า! อี้อ๋อง ท่านทำให้คนรังเกียจจนถึงขั้นที่ข้าอยากคว้าไม้กระบองฟาดท่านให้ตายไปเสีย!”
นางตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ชิงเกอเป็นคนแรกที่จับด้ามกระบี่ของตนอย่างระวัง เตรียมตัวคุ้มกันเจ้านาย
ส่วนเป่ยเฉินอี้ฟังแล้วก็หาได้ใส่ใจไม่ เขากลับเชื่อว่าเยี่ยเม่ยไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้
เป่ยเฉินอี้เอ่ยเสียงขรึมว่า “ขอเชิญแม่นางเยี่ยเม่ยเข้าไปชมด้านในกับข้าสักเทียวหนึ่ง ข้าเฝ้ารอเหลือเกินว่า หลังจากแม่นางเยี่ยเม่ยชมเสร็จแล้วจะยิ่งเกลียดข้าขึ้นไปอีก!”
หากนางคืออาซี หลังจากเข้าไปแล้วต้องยิ่งรังเกียจเขาอย่างแน่นอน
การถูกนางรังเกียจหาใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ แต่หากอาซียังมีชีวิตอยู่ ต่อให้นางเกลียด เขาก็ยินดี
ระหว่างใช้ความคิด เป่ยเฉินอี้ก็สะบัดชายเสื้อเดินนำเข้าไปก่อน
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง มองแผ่นหลังของเขา สองมือกอดอกทำท่าทางไม่เป็นโล้เป็นพายติดตามเขาเข้าไปด้านใน
เบื้องหน้าคือกำแพงวังสูงตระหง่าน
เขาบอกว่าที่นี่คือที่ตั้งเก่าของราชสำนักจงเจิ้ง ความจริงหากพูดให้ชัดเจนคือวังหลวงแห่งหนึ่ง ระยะเวลาไม่เก่าแก่มาก เพียงแต่ไม่มีคนปัดกวาดเช็ดถูมานาน ใยแมงมุมอยู่ทั่วสารทิศ
ยามเมื่อฝีเท้าของเยี่ยเม่ยเดินตามเป่ยเฉินอี้เข้าไปทางประตูใหญ่ของวัง
นางพลันสัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์คุ้นเคยจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาอยู่ในสมอง ชั่วเวลาพริบตา คล้ายเห็นแม่นางที่เด็กกว่านางไม่กี่ปี หน้าตาเหมือนกับตัวนางไม่มีผิดเพี้ยนผู้หนึ่งสวมชุดขันที กระโดดโลดเต้นผ่านที่แห่งนี้
แม่นางน้อยผู้นั้นใบหน้าอาบรอยยิ้ม เอ่ยกับสาวใช้ที่สวมชุดขันทีเหมือนตนเองว่า “เร็วเข้า หากไม่รีบกลับไป จะถูกเสด็จพ่อเสด็จแม่จับได้แล้วว่าข้าแอบหนีออกไปนอกวัง!”
ความรู้สึกคุ้นเคยจากเบื้องลึกเข้าจู่โจม ในขณะเดียวกันก็ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง จนถึงกระทั่งหวาดกลัว
หรือว่า…
เป่ยเฉินอี้จะรู้เรื่องในอดีตของนางจริงๆ
ทั้งนางคือคนที่เป่ยเฉินอี้คิดถึงผู้นั้นอีกด้วย
นางรู้สึกขนลุกไปทั้งแขน ยามนี้เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกหวั่นกลัว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้นางหยุดฝีเท้าอย่างห้ามไม่ได้
เวลาเดียวกับที่นางหยุดฝีเท้า เป่ยเฉินอี้รู้สึกยินดีอยู่ในใจ
เขาหันไปมองเยี่ยเม่ย ทว่าเห็นใบหน้าของเยี่ยเม่ยไม่มีความคิดคะนึงหรือความโกรธแค้น แต่กลับเย็นเยือกดังเคย ความยินดีในเบื้องลึกของดวงตาเขาแข็งขืนขึ้นมาทันที เขาเอ่ยถามเสียงแข็งว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ หรือเพราะยินยอมคิดอะไรขึ้นมาได้แล้ว”
เยี่ยเม่ยรีบรวบรวมสติกลับมา ยังดีที่ต่อให้นางรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังมีสีหน้าเย็นชา ไม่ทำให้เป่ยเฉินอี้จับพิรุธใดๆ ได้
นางกวาดสายตามองไปรอบด้านเล็กน้อย จ้องตาเป่ยเฉินอี้เอ่ยว่า “ยินยอมคิดอะไรขึ้นได้หรือ ความหมายของอี้อ๋องคือท่านคิดว่าข้านึกอะไรขึ้นมาได้ แต่ยังหลอกลวงว่าคิดไม่ได้หรือ อี้อ๋องคิดมากไปแล้ว ที่ข้าหยุดก็เพราะเห็นกำแพงฝั่งนี้มีใยแมงมุมจำนวนมาก คิดว่าที่นี่คงไร้คนดูแลมาหลายปี ไม่แน่ว่าจะยิ่งสกปรกเลอะเทอะ ดังนั้นข้าจึงไม่ยินยอมเดินต่อเข้าไป!”
แววตาของเป่ยเฉินอี้นิ่งขึง น้ำเสียงยังลุ่มลึกเกินหยั่งได้ “เดิมทีที่นี่สมควรมีคนคอยเฝ้า แต่เพราะความดื้อดึงของข้าขอให้ฝ่าบาททรงประทานวังหลังนี้ให้ ข้าจึงปิดมันเอาไว้ ไม่ส่งคนมาดูแล!”
คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้วมองหน้าเขา
เป็นถึงฮ่องเต้ไฉนถึงประทานวังเก่าผุพังนี้ให้กับขุนนางของตนกัน หากขุนนางย้ายเข้าพักจริงๆ เช่นนั้นวังทั้งสองแห่งล้วนมีคนอาศัยอยู่ สุดท้ายแล้วใครคือฮ่องเต้กันแน่
นอกจากว่าในยามนั้นฮ่องเต้ถูกบีบคั้น ไม่อาจไม่ทำตาม