เห็นท่าทางใช้ความคิดของเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้ถามเสียงขรึมว่า “ทำไม แม่นางเยี่ยเม่ยเจ้าแปลกใจเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ถูกต้อง!” เยี่ยเม่ยกลับตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง “ข้าแปลกใจจริงๆ ปีนั้นอี้อ๋องบีบคั้นฝ่าบาทอย่างไร เพราะองค์ถึงยอมประทานวังนี้ให้ท่าน!”
คำที่นางใช้คือ ‘บีบคั้น’
ทว่าเป่ยเฉินอี้ไม่คิดถกปัญหาข้อนี้เลยสักน้อย อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่า ยามเยี่ยเม่ยเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา ความจริงแล้วในใจของเขารู้สึกผิดหวังอยู่บ้างที่นางแปลกใจในเรื่องนี้
เขาเดินเข้าไปในวังต่อ หัวเราะเสียงแข็ง “ทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยต้องขบขันแล้ว ในฐานะปราชญ์ ปีนั้นเป่ยเฉินอี้ก็แค่ใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของผู้ปราดเปรื่องเท่านั้นเอง!”
ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของผู้ปราดเปรื่องหรือ
เยี่ยเม่ยอยากหัวเราะอยู่บ้าง ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของคนหลักแหลมแบบเขา ไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวพันถึงชีวิตของคนนับหมื่นนับพันเสียกระมัง แต่ว่าเรื่องที่พัวพันถึงชีวิตผู้อื่น เรียกได้ว่าเรื่องความเป็นความตายใหญ่โต ก็เป็นแค่แผนการเล็กๆ หรือว่าการหยอกเล่นสำหรับเป่ยเฉินอี้เท่านั้นเอง
นางติดตามเขาเข้าไปด้านในวัง
ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งรุนแรงมากขึ้น ชั่วขณะที่เยี่ยเม่ยเงยหน้า ส่งสายตามองไปในจุดต่างๆ คล้ายกับเห็นภาพอันคุ้นเคยฉายขึ้นมา แม่นางน้อยคนเดิมที่อายุอ่อนกว่าตน แต่มีใบหน้าเหมือนนางไม่มีผิดเพี้ยนผู้นั้น
ยังคงเป็นนาง…
ภายในวังแห่งนี้ ทุกหนทุกแห่งที่นางมองเห็นล้วนมีร่อยรองของแม่นางผู้นั้น
เป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน
เหตุใดในสมองของนางถึงมีภาพพวกนี้ปรากฏขึ้น นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ช่วงเวลาเดียวกับความรู้สึกคุ้นเคย ในใจของเยี่ยเม่ยเกิดความรู้สึกไม่สงบอย่างรุนแรง นางรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายมาก หากยังต้องเดินติดตามเป่ยเฉินอี้เข้าไปด้านในอีก ไม่แน่ว่านางอาจจะทนไม่ไหวเผยพิรุธออกมา ทำให้เป่ยเฉินอี้พบว่านางมีความผิดปกติ จนกระทั่งเอาเรื่องในอดีตมาข่มขู่นางได้…
ฝีเท้าของนางพลันหยุดชะงักลง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “วังก็เข้ามาแล้ว สิ่งที่สมควรเห็นก็เห็นมากพอประมาณแล้ว อี้อ๋องปล่อยข้าจากไปได้แล้วหรือยัง”
“เหตุใดต้องรีบร้อนด้วยเล่า!” เป่ยเฉินอี้กลอกสายตามองนาง เอ่ยเสียงขรึมว่า “ในวังแห่งนี้มีสถานที่สองแห่งที่แม่นางเยี่ยเม่ยต้องไป ถึงนับได้ว่ามาชมวังแห่งนี้แล้ว!”
เมื่อพูดจบ เขาก็นำทางอยู่เบื้องหน้าต่อไป
เยี่ยเม่ยกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เดินติดตามอยู่ด้านหลังเขา
นางเดินตามเป่ยเฉินอี้ไปก็ยิ่งรู้สึกว่าฝีเท้าตนเองเลื่อนลอยขึ้นทุกที ทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านแทบเห็นภาพแม่นางที่หน้าตาเหมือนตนเองหัวเราะวิ่งเล่นอยู่ในวังแห่งนี้ ในเวลานี้นางยังรู้สึกถึงความปวดหนึบรุนแรง
เจ็บมาก
เจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาจากเบื้องลึกในหัวใจ ทำให้นางไม่เข้าใจเลยว่าความเจ็บปวดนี้มาจากแห่งหนใด ทั้งยังไม่ทันรับมือกับความเจ็บปวดนี้ได้ หัวใจก็มีความเคียดแค้นล้ำลึกถึงกระดูกกระแสหนึ่งปะทุขึ้นมา…
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
เรื่องอะไรกันแน่
เหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึงทำให้นางมีอารมณ์แปรปรวนได้อย่างแรงกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งแค้น แทบจะทำหัวใจคนแตกซ่าน นางเริ่มสงสัยว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่เคยมีอดีตของตน ซ้ำร้ายยังเกี่ยวพันถึงความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากันได้ของตนเองใช่หรือไม่!
ภายใต้ความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็ตามเป่ยเฉินอี้มาถึงหน้าประตูตำหนักหลังหนึ่ง เยี่ยเม่ยแหงนหน้ามองป้ายชื่อตำหนักนั้น ด้านบนปรากฏอักษรไม่กี่ตัว ‘ตำหนักเฉินซี’
เป่ยเฉินอี้ยู่เบื้องหน้าเยี่ยเม่ย ผลักประตูเข้าไป
ความทรงจำพุ่งขึ้นมาค่อยๆ ครอบงำความตระหนักรู้ของเยี่ยเม่ย ช่วงเวลาชั่วขณะคล้ายเห็นแม่นางที่หน้าตาเหมือนตนเอง นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางตำหนักนี้ยิ้มให้กับตน
จากนั้นเพียงเสี้ยววินาที ร่างของแม่นางน้อยผู้นั้นโบยบินมาทางนาง แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของนาง
ไม่ช้าภาพที่ขาดๆ หายๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏอยู่ในห้วงสมอง ถึงกระทั่งไม่รู้ตัวเลยว่าฝีเท้าของตนเองได้เหยียบเข้ามาในตำหนักแล้ว นับตั้งแต่เรือนหลัก เรือนรอง ไปจนถึงเรือนบรรทม
ราวกับว่าเท้าของนางอยู่เหนือการควบคุม เดินอย่างว่องไวไปยังสถานที่ต่างๆ ในตำหนัก ส่วนความทรงจำที่ห่างไกลนั้นก็แทบถูกปลุกขึ้นมาทีละนิดๆ ในเสี้ยวเวลานี้ นางแทบรับรู้ได้แล้วว่าตัวเองเคยอาศัยอยู่ที่นี่
ข้าวของทุกอย่างในที่นี้ล้วนคุ้นเคย เหมือนกับตนเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน
ระหว่างความสับสน ในสมองนางปรากฏภาพบางอย่างฉายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้นางต้องเร่งฝีเท้า ภายใต้สายตาจับสังเกตของเป่ยเฉินอี้ เยี่ยเม่ยเดินไปอยู่เบื้องหน้าชั้นหนังสือ อาศัยความทรงจำแปลกพิกลในสมองยื่นมือออกไปขยับแท่นฝนหมึกที่ตั้งอยู่ด้านหนึ่งบนตู้หนังสือ
ไม่ช้า ตู้หนังสือเปิดออกจากสองด้าน ปรากฏเส้นทางลับสายหนึ่ง
ยามนี้เยี่ยเม่ยรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทั่วทั้งกาย จากความตระหนักรู้อย่างไร้เหตุผลที่ไหลซึมเข้ามาในสมองเมื่อครู่ เยี่ยเม่ยจดจำได้ว่าที่ตรงนี้เหมือนเคยมีเส้นทางลับสายหนึ่ง เมื่อก่อนยามที่นางลอบออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง ก็หนีออกไปด้วยเส้นทางสายนี้…
ดังนั้น
สิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหลายเหล่านี้ ความรู้สึกที่ผุดพรายขึ้นมาในสมองของนาง หาใช่ภาพมายา แต่เป็นความทรงจำจริงๆ อย่างนั้นหรือ
ในชั่วขณะที่นางไม่ได้สติ
สายตาลุ่มลึกเกินคาดของเป่ยเฉินอี้จับตามองอยู่ที่แผ่นหลังของเยี่ยเม่ย เขาเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ทำไมทันทีที่แม่นางเยี่ยเม่ยเข้ามาถึง ก็พบเส้นทางลับสายนี้ได้เลย”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยที่เหม่อลอยพลันได้สติกลับมา
นางรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังสั่นไหว ทว่านางเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าในเวลานี้ไม่อาจปล่อยให้เป่ยเฉินอี้พบพิรุธใดๆ ได้ทั้งนั้น การต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคน นางตามหลังเขาไปหลายก้าวแล้ว หากวันนี้ยังส่งจุดอ่อนของตัวเองออกไปให้เขาอีก
กลัวแต่ว่านางต้องจบเห่แน่แล้ว!
ด้วยเหตุนี้ไม่อาจให้เขารู้ว่านางจำอะไรบางอย่างได้ เยี่ยเม่ยตีสีหน้าเป็นปกติ สายตายิ่งเย็นชาทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหันหลังมองเป่ยเฉินอี้คราหนึ่ง
เยี่ยเม่ยยักไหล่ หัวเราะเสียงเย็นอย่างได้ใจ “ข้ารู้จักกลไกอยู่บ้าง หลังจากเข้ามาก็สำรวจไปรอบๆ พบว่ามีกลไกอยู่ตรงนี้อย่างที่คาดไว้ พูดเช่นนี้แล้วข้ายังนึกเลื่อมใสตัวเองไม่น้อยเลย!”
สีหน้าของนางเป็นปกติมาก จับพิรุธใดๆ ไม่ได้เลยสักน้อย
ทว่าหัวใจเต้นระรัวราวกับกลอง นางรู้ว่าความทรงจำในสถานที่แห่งนี้เกี่ยวพันกับนาง แล้วยังเข้าใจว่าตัวนางเพียงจำภาพความทรงจำไม่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้เท่านั้น ยังมีอีกมากที่นางยังจำไม่ได้ แม้กระทั่ง…
ภายใต้ความมืดมิด คล้ายมีเสียงเสียงหนึ่งกำลังบอกนาง แต่นางยังคิดเรื่องสำคัญไม่ออก
ยังขาดจุดสำคัญไปอย่างหนึ่ง
หากนางเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่นางเคยอาศัยอยู่ อย่างนั้น…เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เพราะอะไรราชสำนักจงเจิ้งถึงถูกทำลาย เพราะอะไรนางต้องหนีออกจากวังหลังนี้ เพราะอะไรนางถึงไปอยู่ข้างกายลูกพี่ได้
จุดสำคัญที่นางยังจำไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วคืออะไรกันแน่!
ยามที่เยี่ยเม่ยใคร่ครวญอยู่ เป่ยเฉินอี้กลับจับพิรุธบนใบหน้านางไม่ออก เขาได้แต่เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าไม่เข้าใจเลย แม่นางเยี่ยเม่ยไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างจริงๆ หรือว่าเจ้าเล่นละครได้ดีเกินไป!”
เยี่ยเม่ยยิ้มออกโดยไม่ปฏิเสธ “อย่างนั้นท่านก็ลองเดาดูแล้วกัน!”
เป่ยเฉินอี้กลับคลี่ยิ้มออกอีกครั้ง เอ่ยว่า “อย่างนั้นออกไปจากที่นี่ก่อน เชื่อว่าสถานที่ถัดไปจะทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยได้พบเรื่องสำคัญอีกมาก!”