ตอนที่ 230 จำการตายของพ่อแม่ได้!

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ทีหนึ่ง

 

 

ใบหน้าที่มองอะไรไม่ออกเหมือนดังเคย ทว่าในใจเกิดความสงสัย เอ่ยถามเสียงนิ่งว่า “อย่างนั้นก็ขอให้อี้อ๋องนำทางเถอะ พูดตามตรงข้าก็อยากรู้เหลือเกินว่า สุดท้ายแล้วอี้อ๋องจะมาไม้ไหนอีกกันแน่!”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเยี่ยเม่ย ก็จับพิรุธใดๆ ไม่ได้

 

 

เป่ยเฉินอี้หาได้กลัดกลุ้ม

 

 

เขาค่อยๆ สะบัดชายเสื้อหมุนตัว แผ่นหลังเผยให้เห็นความสูงศักดิ์เด่นชัด ยามที่เห็นเขาเดินออกจากห้องไป ความทรงจำส่วนที่ลึกที่สุดของเยี่ยเม่ยคล้ายกับเห็นเขาเมื่อหลายปีก่อนเคยอยู่ในห้องนาง แล้วหมุนตัวจากไปเช่นนี้

 

 

หัวใจของเยี่ยเม่ยสับสนอลหม่าน

 

 

ภาพเช่นนี้ หมายความว่าอะไรกัน

 

 

หมายความว่าเรื่องราวในอดีตของนางมีเป่ยเฉินอี้ร่วมอยู่ด้วย อย่างนั้นเป่ยเฉินอี้ในเวลานั้นเป็นอย่างไรในสายตานาง ยามที่นางพบเป่ยเฉินอี้มีความรู้สึกอย่างไร

 

 

เห็นเยี่ยเม่ยยืนนิ่งที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน

 

 

เป่ยเฉินอี้ส่งสายตามองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง สีหน้ายังคงลุ่มลึกเกินคาด สายตาล้ำลึกจ้องใบหน้าเยี่ยเม่ย ค่อยๆ เอ่ยว่า “ทำไมกัน หรือคิดอะไรได้แล้ว”

 

 

เยี่ยเม่ยได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว มองหน้าเป่ยเฉินอี้ เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้าแค่กำลังสงสัยเท่านั้น ว่าเพราะเหตุใดข้าต้องเชื่อฟังทำตามคำสั่งท่านด้วย ท่านต้องการให้ข้าไปที่ไหน ข้าก็ไปที่นั่น”

 

 

เมื่อเอ่ยจบ นางก้าวเท้าออกเดินตามเป่ยเฉินอี้ออกไป “ช่างเถอะ ในเมื่อติดตามท่านไปสถานที่แห่งหนึ่งแล้ว ที่อื่นๆ ข้าตามไปก็แล้วกัน กันไม่ให้อี้อ๋องที่คิดมากรู้สึกว่าที่ข้าไม่ติดตามท่านไป เพราะมีปัญหาหรือว่าร้อนตัว”

 

 

เมื่อเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของเยี่ยเม่ยดูเต็มไปด้วยความไม่พอใจและไม่ยินยอม ยืนหยัดมั่นใจว่าตัวเองไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้น เป็นเพราะเป่ยเฉินอี้ก่อเรื่องขึ้นมาทั้งสิ้น

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกลับหัวเราะเสียงต่ำ เอ่ยว่า “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยมีใจที่เปิดเผยเช่นนี้ อย่างนั้นข้าก็ยิ่งอยากพาแม่นางไปแล้ว อีกทั้งก็เป็นการพิสูจน์ว่าแม่นางเยี่ยเม่ย หาใช่คนในความทรงจำของข้าจริงๆ”

 

 

 “อ้อ” เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ ลอบถามว่า “สิ่งเหล่านี้ที่แท้เกี่ยวข้องกับอดีตของอี้อ๋องหรือ”

 

 

ดวงตาเรียวยาวของเขามองเยี่ยเม่ย ถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยสนใจเรื่องในอดีตของข้าด้วยหรือ”

 

 

เยี่ยเม่ยยักไหล่ แค่นเสียงหัวเราะออกมา “ช่างเถอะ จริงอยู่ที่ข้าอยากรู้ แต่หวังว่าอี้อ๋องจะเข้าใจ การเล่าเรื่องในอดีตของตนออกมา ก็เท่ากับท่านเผยจุดอ่อนมาไว้ในมือข้า ข้าคิดว่าท่านคงไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ ดังนั้น…”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ สายตาที่นางมองเป่ยเฉินอี้ก็ลุ่มลึกขึ้นหลายส่วน “ข้าคิดว่า หากวันนี้อี้อ๋องเล่าเรื่องในอดีตของท่านที่ไม่มีคนรู้มาก่อนอย่างหมดเปลือก อย่างนั้นข้าก็ยังต้องพิจารณาว่านี่เป็นเรื่องโกหกที่ท่านอ๋องตั้งใจแต่งขึ้นมาหรือไม่”

 

 

ไม่ว่าอย่างไรบุรุษที่ฉลาดหลักแหลมอย่างนี้ จะยอมเปิดเผยเรื่องในอดีตของตนเองออกมาอย่างไร้เหตุผล เผยจุดอ่อนให้กับเยี่ยเม่ยได้อย่างไร

 

 

หากมิใช่เพราะมีเป้าหมาย ก็ต้องเป็นเพราะตระเตรียมเรื่องโกหกเอาไว้หลอกลวงเยี่ยเม่ย ทำให้นางหลงเข้าใจว่าตนเองจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ จากนั้นค่อยตกหลุมพรางที่เขาวางไว้…..

 

 

 “แม่นางเยี่ยเม่ยช่างระมัดระวังยิ่งนัก!” เป่ยเฉินอี้กล่าวออกมา เพียงแต่ในคำวิจารณ์ประโยคนี้ฟังไม่ออกว่า สรุปแล้วเขากำลังชื่นชมหรือว่าเสียดสี

 

 

แต่เยี่ยเม่ยก็ไม่ได้ใส่ใจ นางเลิกคิ้วขึ้นอย่างเย็นชา “การสนทนากับอี้อ๋อง ระวังเอาไว้หน่อยถึงจะเป็นการกระทำที่มีสมองไม่ใช่หรือ ไม่เช่นนั้นตนเองจะตายไปตอนไหนก็ยังไม่รู้เลย”

 

 

ครั้นเอ่ยมาถึงเวลานี้ เยี่ยเม่ยคล้ายกับไม่เหลือความอดทนยืดเยื้อติดตามเป่ยเฉินอี้ต่อไปอีกแล้ว

 

 

นางเอ่ยเสียงนิ่งว่า “อี้อ๋องยังคิดพาข้าไปที่ไหนอีก ก็รีบออกเดินทางเถอะ อย่าได้เสียเวลาของเราทั้งคู่เลย เชื่อว่าท่านคงรู้ว่า เยี่ยเม่ยต้องการกลับบ้านแล้ว!”

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังคำนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก

 

 

หันกลับไปเดินต่อ เยี่ยเม่ยรีบติดตามไปอย่างว่องไว มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของเป่ยเฉินอี้กำหมัดแน่น สีหน้าเย็นชา อยากกลับบ้านอย่างนั้นหรือ

 

 

ความต้องการกลับไปของนางเป็นเพราะว่าจิ่วหุนอยู่ในภาวะอันตรายถึงชีวิต หรือว่าเพราะ…คิดถึง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกันแน่

 

 

ยามคิดถึงตรงนี้ หัวใจของเป่ยเฉินอี้ก็ปรากฏความไม่สบายอย่างแรงกล้า ฝีเท้าก้าวเร็วยิ่งขึ้น ทำให้เยี่ยเม่ยต้องเร่งฝีเท้าเพื่อติดตามเขาให้ทัน

 

 

นางอดสงสัยไม่ได้ว่าสรุปแล้วเขาถูกอะไรกระตุ้นกันแน่ แต่นางไม่มีอารมณ์ใคร่ครวญมากความ

 

 

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ตามเขามาถึงตำหนักพำนักที่อยู่ใกล้ๆ

 

 

เพิ่งจะเดินเข้ามาใกล้สถานที่แห่งนี้ เยี่ยเม่ยก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือก ยังไม่ทันติดตามเขาเข้าไปด้านใน ในสมองของนางมีเสียงแหลมสูงดังขึ้น “รีบไป! อาซี รีบหนีไป…”

 

 

 “เร็ว! หนีไปทางเส้นทางลับของ… อาซีรีบหนี…”

 

 

 “อาซี รักษาตัวให้ดี จงมีชีวิตต่อไป…”

 

 

 “อาซี…”

 

 

เสียงร้องแหลมสูงดังขึ้นในหูนางแต่ละครั้ง ค่อยๆ เติมเต็มความทรงจำในสมองของนางทีละน้อย เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าสองเท้าเริ่มอ่อนแรง

 

 

เพียงแต่ศัตรูตัวฉกาจที่สุดอยู่เบื้องหน้า ต่อให้เยี่ยเม่ยรู้สึกไม่สงบ ก็ไม่กล้าแสดงออก รีบจัดการปรับสีหน้าและอารมณ์ของตัวเอง

 

 

นางเดินตามเป่ยเฉินอี้ไปถึงประตูตำหนัก

 

 

ถัดมา เสียงร้องแหลมสูงยิ่งดังมาจากทั่วสารทิศ ราวกับนางติดอยู่ในความทรงจำอันเนิ่นนานนั้น สตรีสวมอาภรณ์สีเหลืองสว่างอยู่ในตำหนักนั้น กอดขาองครักษ์ผู้หนึ่งเอาไว้ รั้งไม่ให้เขาไล่สังหารคน ตะโกนออกมาด้านนอกว่า “อาซี รีบไป อาซี! อย่าหันกลับมา ไป…”

 

 

เยี่ยเม่ยรู้สึกทั่วทั้งร่างกายรวมไปถึงหลังศีรษะเย็นวาบเป็นระลอกๆ

 

 

นางเห็นภาพ

 

 

แม่นางน้อยที่หนีออกไปถึงหน้าประตูหันหลังกลับมา เห็นกับตาว่าองครักษ์ถีบสตรีนางนั้นอย่างแรงทีหนึ่ง

 

 

จากนั้นก็หยิบกระบองข้างกายฟาดศีรษะสตรีนางนั้น…

 

 

สตรีนางนั้นแผดเสียงร้อง ล้มลงจมกองเลือดบนพื้น สีหน้านางเย็นเยือก ทั้งยังมองแม่นางน้อยด้วยดวงตาคลอน้ำตา ยังยืนหยัดเอ่ยว่า “ไป รีบไป…”

 

 

สายตาของแม่นางน้อยกวาดไปภายในเรือนนั้นอีกครั้ง จากนั้นเห็นบุรุษสวมชุดเหลืองสว่างผู้นั้น ล้มลงจมกองเลือดอยู่แต่แรก สิ้นลมหายไปนานแล้ว

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด ชั่วขณะนั้นดวงตาเยี่ยเม่ยพลันคลอด้วยน้ำตา

 

 

นั่นคือความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุม ไม่อาจตัดใจได้ และก็เป็นน้ำตาหยดนี้ที่ทำให้นางได้สติกลับมา รีบใช้มือปาดน้ำตาหยดใสออกไปอย่างหมดจด

 

 

เสี้ยวนาทีถัดมา เป่ยเฉินอี้หันกลับมามองเยี่ยเม่ยที่หน้าประตู ถามด้วยเสียงขรึมว่า “ที่นี้เป็นตำหนักที่ฮ่องเต้และฮองเฮาของราชสำนักจงเจิ้งสิ้นพระชนม์ในปีนั้น ไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยรู้สึกคุ้นเคยหรือไม่”

 

 

ฮ่องเต้และฮองเฮาหรือ

 

 

สิ้นพระชนม์?!

 

 

เพราะเหตุใดยามได้ยินคำไม่กี่คำนี้ หัวใจของนางถึงได้เจ็บปวดอย่างสาหัส คล้ายถูกฉีกทึ้งออกทั้งเป็น เลือดสาดกระเซ็นอยู่เบื้องหน้านาง