ตอนที่ 365 พ้นยามจื่อไป ก็นับว่าเป็นวันที่สองแล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“ปู่กลับมาครั้งนี้ จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าระยะเวลาหนึ่ง หลันหลันอยากทำสิ่งใดก็จงทำสิ่งนั้น ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น” ท่านผู้เฒ่าลูบไล้ศีรษะของนางด้วยความรักถนอม

 

 

“หากว่าใครกล้ากลั่นแกล้งรังแกเจ้าแม้เพียงนิดเดียว ปู่ก็จะทุบหัวมันให้แบะ ให้มันต้องสำนึกเสียใจที่เกิดมาบนโลกนี้ไปเลย!”

 

 

“ยังมีอีก เรื่องขาของเจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจไป แม่ยายของหัวหน้าเผ่าอาปู้ไซ้ คือยอดหมอผีในเผ่าของพวกเขา ปู่จะเชิญนางมารักษาขาของเจ้า”

 

 

คำพูดนี้ของท่านปู่ ทำให้หัวใจของตู๋กูซิงหลันอบอุ่นจนละลายแล้ว

 

 

นางพยักหน้า คลี่ยิ้มหวาน “เจ้าค่ะ”

 

 

…………………

 

 

ยามดึกสงัด ตู๋กูซิงหลันได้ยินเสียงหน้าต่างเปิดออก สายลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง

 

 

นางก็รู้สึกตัวขึ้นมาอย่างตื่นตัว

 

 

นางหันหลังให้หน้าต่าง จึงมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใคร

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งสัมผัสลงบนใบหน้าของตนเอง

 

 

ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง คว้ามือข้างนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา ทันทีที่จับเอาไว้ได้ในใจก็ต้องร้องครวญครางออกมาทันที

 

 

“ซิงซิง เจ้าเองก็คิดถึงเราจนทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ใช่ไหม?”

 

 

ฮ่องเต้ถูกนางคว้าพระหัตถ์เอาไว้ แย้มสรวลออกมาดุจดอกไม้บาน

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……”

 

 

“ฝ่าบาท ดึกดื่นแล้ว พระองค์พลิกหน้าต่างเข้ามาทำไม? มิใช่ว่าเสด็จกลับวังไปแล้วหรือเพคะ?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็คลายมือออก หันหน้าไปมองดูดวงพระพักตร์ที่งดงามอย่างไร้ที่ติของฝ่าบาท หากมิใช่ว่าพระองค์ทรงยิ้มแย้มอย่างโง่งม ก็คงดูแล้วสบายตาน่าชมกว่านี้

 

 

“ตอนที่เรากลับไปจากจวนตู๋กูก็บอกแล้วมิใช่หรือว่า วันที่สองจะมารับเจ้ากลับไป?” จีเฉวียนเบียดเข้ามาที่บนเตียงของนาง ยื่นพระหัตถ์ออกมาคว้าตัวนางเข้าไปในอ้อมกอดทันที

 

 

แทบจะซบพระพักตร์ครึ่งหนึ่งลงไปบนเส้นผมของนาง

 

 

“แต่ตอนนี้พึ่งจะครึ่งคืนเองนะ พี่ชาย”

 

 

“เลยยามจื่อ [1] มาก็ถือเป็นวันที่สองแล้ว” จีเฉวียนตรัสอย่างน่าสงสาร “พวกเราตกลงกันแล้วมิใช่หรือ?”

 

 

พอได้สูดดมกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายฮวาอย่างอุกอาจฮ่องเต้ก็ทรงรู้สึกพึงพอใจอย่างเต็มที่ นี่เป็นความรู้สึกที่บ่งบอกไม่ถูก

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูดวงจันทร์นอกหน้าต่าง ก็รู้สึกว่ายังดึกอยู่เลย

 

 

“ซิงซิง เราไม่ได้เจอเจ้าเพียงครู่เดียวก็รู้สึกคิดถึงอย่างยิ่ง” จีเฉวียนยังคงเอาแต่กอดนางไม่ยอมห่าง “พอคิดว่าอีกหน่อยต้องแยกจากเจ้านานถึงครึ่งปี เราก็รู้สึกทรมานเหลือเกิน”

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านางผิดไปแล้ว เขาไม่ใช่สุนัขเฒ่าอะไรทั้งนั้นแต่ที่จริงแล้วเขาคือลูกหมาน้อยต่างหาก

 

 

ต่อหน้าผู้อื่นก็คือฮ่องเต้สุนัขที่หยิ่งผยองพองขน ลับหลังผู้คนก็คือลูกหมาน้อยขี้อ้อนที่เย้ายวน

 

 

จี๊ด….

 

 

นางปวดฟันจริงๆ

 

 

บางทีอาจเพราะถูกเขากอดเข้าบ่อยๆ เลยชักจะเคยชินขึ้นมาแล้ว

 

 

ขาก็พิการไปแล้ว ย่อมไม่อาจขัดขืน หรือจะให้ถีบเขาตกเตียงไปดี?

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้แต่นอนราบลงไป ถือเสียว่าข้างกายมีลูกหมาน้อยมานอนอยู่ด้วยแล้วกัน

 

 

วิญญาณทมิฬพลันกระโจนออกมาอย่างผลุนผลัน “อะ นี่…”

 

 

มันกำลังจะอ้าปาก ฝ่ามือของฮ่องเต้ก็ชิงตวัดออกมาก่อน “ซิงซิง หากว่าเจ้าง่วงมากละก็ เราจะนอนเป็นเพื่อนเจ้า นอนตื่นแล้วพวกเราค่อยกลับเข้าวังไป”

 

 

จีเฉวียนพึ่งจะตรัสจบ ก็เห็นว่าที่นอกหน้าต่างปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามา

 

 

คนผู้นั้นสวมใส่ชุดสีเขียวยกไม้กวาดในมือขึ้นมาฟาดใส่ฮ่องเต้ที่อยู่บนเตียงอย่างดุดันชุดหนึ่ง

 

 

“ไอ้สุนัขขี้ขโมยมาจากที่ใดกัน แม้แต่หลานสาวของเราผู้เฒ่าก็ยังกล้าแตะต้องหรือ?”

 

 

ตู๋กูถิงแกล้งทำเป็นตาบอดมองไม่ออก

 

 

เมื่อกลางวันไม้กวาดด้ามนี้ยังไม้ทันได้ใช้กับจีเฉวียน เขารู้สึกว่าช่างขาดทุนเหลือเกิน

 

 

คาดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้น้อยผู้นี้จะมีความกล้าล้นเหลือ ถึงกับปีนหน้าต่างมาหาหลานสาวของเขาตอนกลางคืน

 

 

เพื่อปกป้องผักกาดขาวหัวงามของบ้านตน คืนนี้ท่านผู้เฒ่าจึงพักผ่อนอยู่ในห้องข้างๆ ห้องของตู๋กูซิงหลัน

 

 

พอเกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาก็รู้สึกตัวทันที

 

 

ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นจีเฉวียน แต่กลับทำเป็นตาบอดแม้อยู่ในบ้านของตนเอง ใครสนใจกันเล่า ตีก่อนแล้วค่อยว่ากัน

 

 

ขณะที่ฮ่องเต้ทรงถูกฟาดรอบแรกนั้น ก็ตัดสินพระทัยยื่นพระหัตถ์ออกไปปกป้องตู๋กูซิงหลันก่อน

 

 

พอโดนรอบที่สองก็ทรงทราบแล้วว่าท่านผู้เฒ่าตีเฉพาะพระองค์เท่านั้น จึงยิ่งไม่กล้าส่งเสียง

 

 

เอาแต่กอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ในอ้อมพระพาหา บดบังอย่างมิดชิด ปล่อยให้ท่านผู้เฒ่ากระหน่ำตีพระองค์

 

 

วิญญาณทมิฬที่เกือบจะถูกตีจนแบนไปแล้วนั้น “ข้าก็แค่อยากจะเตือนท่านว่า…..ท่านผู้เฒ่าถือไม้กวาดมาแล้ว….”

 

 

จีเฉวียนถลึงพระเนตรใส่มันครั้งหนึ่ง “สายไปแล้ว [2] ”

 

 

วิญญาณทมิฬ “…..” ขอโทษนะ ที่จริงมันไม่น่าปากไวไปเตือนเขาก่อนเลย!

 

 

“ไอ้คนลามก ยังจะกล้าเกาะติดอยู่บนเตียงอีกหรือ?” ไม้กวาดของตู๋กูถิงด้ามนั้นมีหลากหลายกระบวนท่า ยามที่ทุบตีผู้คนแรงกระหน่ำทะลุทะลวงเสื้อผ้าไปถึงผิวเนื้อ เรียกว่าเจ็บจริง

 

 

แต่ฮ่องเต้ทรงเฉลียวฉลาดนัก ยื่นพระหัตถ์ไปคว้าเอาผ้าห่มมาคลุมตัวพระองค์เองและตู๋กูซิงหลันเอาไว้ด้วยกัน

 

 

ทำเอาท่านผู้เฒ่าแค้นเสียจนแทบจะถล่มเตียงให้หลุดเป็นชิ้นๆ

 

 

เห็นว่าปฐมฮ่องเต้ทรงไร้ยางอายแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงรุ่นหลานก็มิได้น้อยหน้ากว่ากันเลย

 

 

ทุบตีอยู่ตั้งนานก็ยังไม่เห็นผล เขาจึงไม่ใช้ไม้กวาดแล้ว แต่ว่าหันไปคว้าเอาหอกประจำตัวขึ้นมาแทน

 

 

พอพุ่งออกไปครั้งหนึ่งหอกนั้นก็แทงเข้าไปในผ้าห่ม

 

 

ทันทีที่ทะลุเข้ามา หอกด้ามนั้นก็ถูกจีเฉวียนทรงคีบเอาไว้อย่างแน่นหนา “ท่านผู้เฒ่า หากแทงลงมาเช่นนี้ จะมีคนตายได้นะ”

 

 

ทันใดนั้น จีเฉวียนก็ทรงลุกขึ้นมาประทับนั่งอยู่บนเตียง พระองค์ปล่อยพระเกศายาวสยาย สวมฉลองพระองค์สีทอง ดวงเนตรหงส์คู่นั้นทำให้หัวใจของทุกผู้ต้องหนาวสะท้าน

 

 

จากที่เป็นลูกสุนัขน้อยยามอยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน คนก็เปลี่ยนเป็นเทพเซียนผู้สูงส่งขึ้นมาในทันที

 

 

“ซิงซิงเคยบอกเอาไว้ว่า ตระกูลตู๋กูของพวกท่านมีวิชาไม้กวาดฟาดคน ตอนที่ได้พบท่านผู้เฒ่าเมื่อกลางวันเราก็รู้อยู่แล้วว่าท่านอยากทดสอบดู จึงได้มาในยามค่ำเพื่อมอบโอกาสให้กับท่าน เป็นอย่างไร ฟาดจนพอใจแล้วกระมัง?”

 

 

สมองของตู๋กูซิงหลันเกิดเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ขึ้นมาในทันที นางเคยบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าต้นตระกูลมีวิชาไม้กวาดฟาดผู้คน?

 

 

นางกระแอมคอส่งเสียงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ฝ่าบาท ที่บ้านของหม่อมฉันสืบทอดกันมาคือวิชาตบใบหน้า….”

 

 

จีเฉวียน “ซิงซิง เราคิดว่าวิชาไม้กวาด สามารถสืบทอดกันต่อไปได้มากกว่าพันปี”

 

 

ตู๋กูซิงหลันหัวเราฮิฮะคำหนึ่ง พอหันหน้าไปก็เห็นว่าท่านผู้เฒ่ายังคงมีสีหน้างงงวย

 

 

เขาเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องเผชิญกับพระพิโรธของจีเฉวียนพระองค์กลับดีนัก มิได้ทรงพิโรธเลยสักนิด

 

 

ทั้งยังเป็นฝ่ายเสนอทางลงให้เขาเสียอีก?

 

 

ใบหน้าชราของตู๋กูถิงชักจะละอายจนรับไม่ได้อยู่บ้าง

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น พลังที่สะท้อนออกมาจากหอกยังรุนแรงกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้มาก

 

 

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วรยุทธ์ของฮ่องเต้น้อย….จะสูงล้ำถึงเพียงนี้

 

 

ยอดฝีมือปะกระบวนท่า เพียงแค่ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็รู้สึกได้แล้ว

 

 

หอกของเขา ไม่เคยมีผู้ใดรับได้มาก่อน

 

 

คนที่เคยรับ ล้วนตายไปหมดแล้ว

 

 

แต่พระองค์กลับสามารถคว้าเอาไว้ในมือ ด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ โดยมิได้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

 

 

ถึงแม้ว่าตัวเขาจะใช้กำลังไปเพียงแค่สองสามส่วน แต่ก็เพียงพอที่จะแบะหัววัวได้แล้ว ตอนนี้กลับถูกฮ่องเต้คว้าจับเอาไว้โดยง่าย ทำให้ตู๋กูถิงอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนมุมมองต่อพระองค์ไป

 

 

ไม่รู้ว่ายามที่ฮ่องเต้น้อยไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเหยียน ต้องเผชิญกับประสบการณ์เช่นไร ถึงได้ทำให้เขาฝึกฝนตนเองจนมีวิชาแก่กล้าเช่นนี้

 

 

“หากว่าท่านผู้เฒ่ายังตีไม่พอ ก็ยังสามารถลงมือได้อีก เราจะไม่หลบหลีก”

 

 

จากนั้น จีเฉวียนก็นั่งหลังตรง “เราจะถือว่าเป็นการสั่งสอนจากผู้อาวุโส สามารถรับการเคี่ยวกรำจากท่านผู้เฒ่า เราถือว่าได้ประโยชน์มหาศาล”

 

 

ตู๋กูถิงส่งสายตาทิ่มแทง ไอ้หนุ่มนี่คงจะคิดว่าเขาไม่กล้าตีสินะ?

 

 

ไอ้กระต่ายเปรียวสองตัวในบ้าน ถูกเขาตีมาตั้งแต่เล็กจนโต ฮ่องเต้น้อยมีพระชนม์มายุพอๆ กับพวกเขา ดูๆ แล้วช่างน่าฟาดโบยดีนัก

 

 

 

 

……………….

 

 

ไรท์ : ปู่คะ ต้องติดกล้องแล้วมั้ง

 

 

ตอนต่อไป “สามวันคิดถึงครั้งหนึ่ง?”

 

 

—–

 

 

[1] 子时

 

 

[2] 马后炮mǎ hòu pào