ตอนที่ 366 สามวันคิดถึงครั้งหนึ่ง?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูถิงกำมือแน่น เขาแทบจะพุ่งเข้าไปแล้ว

 

 

แต่กลับเห็นหลานสาวของตนเองโผล่ศีรษะออกมาเสียก่อน “ท่านปู่ หากว่าหอกของท่านยังคงแทงลงมา ฤกษ์ที่ฝ่าบาทจะเสด็จไปทำศึกก็ต้องเลื่อนออกไปอีก”

 

 

สีหน้าของท่านผู้เฒ่าคล้ำลง เขาคิดว่าสมควรส่งฮ่องเต้น้อยผู้นี้ให้รีบออกไปฝึกฝนตนเองจะดีกว่า

 

 

หากปล่อยให้มาคลุกคลีอยู่ข้างๆ หลานสาวของตนทั้งวันทั้งคืนคงปวดหัวน่าดู

 

 

“ฝ่าบาททรงล้อกระหม่อมเล่นแล้ว เมื่อครู่กระหม่อมนึกว่าเป็นหัวขโมยมาจากที่ใด ฝ่าบาทเสด็จมาจวนตระกูลตู๋กูของพวกเรา ประตูใหญ่มีกลับไม่ผ่าน แต่กลับปีนหน้าต่างเข้ามา นี่มิเท่ากับว่าทำให้ผู้คนเข้าใจผิดง่ายๆ หรอกหรือ?”

 

 

ตู๋กูถิงกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ดวงตากลับไม่ยิ้ม หอกในมือก็ส่งเสียงครืนครานออกมา

 

 

“ในเมื่อคืนนี้ฝ่าบาททรงบรรทมไม่หลับ มิสู้ลองมาแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับกระหม่อมดีกว่าไหม? แคว้นต้าเหยียนมีแม่ทัพที่ดุร้ายอยู่ผู้หนึ่งเกรงว่าคงไม่แพ้แก่ฝ่าบาทเป็นแน่ ฝ่าบาทจะได้ทรงทดลองดูก่อน”

 

 

ว่าตามจริงแล้ว เขาก็สงสัยในความสามารถที่แท้จริงของจีเฉวียนอยู่เหมือนกัน

 

 

หากได้ประลองดูสักรอบ ไม่แน่ว่าสามารถล้วงอะไรออกมาได้บ้าง

 

 

“ก็ได้” ฮ่องเต้มิได้ทรงปฏิเสธ

 

 

พระองค์ยังทรงจดจำคำแนะนำของอู๋เหนียงจื่อได้ดี หากคนในครอบครัวของซิงซิงมีข้อแม้อันใด ทางที่ดีสมควรจะรับปากไปให้หมด

 

 

ฝ่าบาทพลิกพระองค์ลงจากเตียง ทั้งยังทรงไม่ลืมห่อตัวตู๋กูซิงหลันอย่างมิดชิด

 

 

“สวนด้านนอกกว้างขวางพอดี ท่านผู้เฒ่าโปรดสั่งสอน”

 

 

ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ทรงเสด็จออกไปก่อน พลางยื่นพระหัตถ์ไปหักกิ่งไม้ลงมากิ่งหนึ่ง “ใช้กิ่งไม้นี้แทนอาวุธ จี้ถึงพึงหยุดลง”

 

 

ท่านผู้เฒ่ากำหอกเอาไว้ในมือ พลิกร่างไล่ตามไป

 

 

“ฝ่าบาทสมควรใช้ดาบ กระหม่อมขอใช้หอกก็พอแล้ว”

 

 

จีเฉวียนพระสรวลเบาๆ “ท่านผู้เฒ่าอายุมากแล้ว อย่าได้หักโหมเลย”

 

 

ตู๋กูถิงฟังแล้วแทบจะระเบิดตัวเอง

 

 

เขาควงหอกอยู่ครู่หนึ่งก็พุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าของจีเฉวียน ทุ่มแทงปลายหอกออกมา ราวกับว่าต้องการต่อสู้กับจีเฉวียนอย่างจริงจัง

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงนอนอยู่บนเตียง นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมอยู่ๆ ทั้งสองคนถึงได้ตีกันขึ้นมา

 

 

เพราะว่าตอนนี้นางง่วงแทบตายแล้ว

 

 

จึงไม่คิดจะสนใจอะไรพวกเขาอีก นางทำเป็นไม่สนใจหลับสบายในผ้าห่มต่อไป

 

 

พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าข้างกายมีอะไรเย็นๆ

 

 

แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ตกต้องลงบนร่างของเขา งดงามราวกับภาพฝัน

 

 

“ซิงซิง อรุณสวัสดิ์” จีเฉวียนจุมพิตลงบนหน้าผากของนางครั้งหนึ่ง “หลับสบายดีไหม?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นในสวนมีแต่ความสงบนิ่ง

 

 

“ท่านปู่เล่า?”

 

 

“ท่านผู้เฒ่าเมื่อวานพ่ายแพ้การประลอง ตอนนี้คงกำลังพักผ่อนอยู่” จีเฉวียนยื่นพระหัตถ์มากอดหัวไหล่ของนางเอาไว้ สีพระพักตร์แสนจะอบอุ่น

 

 

ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองดูจีเฉวียนอย่างละเอียดลออครั้งหนึ่ง เห็นเขาสบายดีเป็นปกติตลอดร่าง แม้แต่รอยขีดข่วนสักนิดก็ไม่มี

 

 

“ท่านผู้เฒ่ารับปากเรา แพ้แล้วก็จะยอมให้เราอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” จีเฉวียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนางเบาๆ “เจ้าช่างเป็นลูกหมูน้อยจริงๆ เรากับท่านผู้เฒ่าอึกทึกครึกโครมกันขนาดนั้น เจ้ากลับหลับอย่างสบาย เราอิจฉาเจ้านัก”

 

 

ลูกหมูน้อยกับผีน่ะสิ

 

 

“หลายวันนี้เราจะขออยู่กับเจ้าตลอดเวลา อีกไม่กี่วันก็จะยกทัพออกไปจัดการแคว้นเหยียนแล้ว” จีเฉวียนเอนพระองค์อยู่ข้างกายนาง สายพระเนตรมีแต่ความอาวรณ์

 

 

“ครึ่งปีที่เราจากไปนี้ เจ้าจะหาเวลามาคิดถึงเราวันละนิดได้ไหม?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตนเองคงไม่คิดถึงเขาหรอก

 

 

“สามวันคิดถึงครั้งหนึ่งเป็นอย่างไร?”

 

 

“ห้าวัน…..มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

 

 

จีเฉวียนประคองหน้าของนางเอาไว้ “ทุกสิบวันเราจะให้คนส่งข่าวมา ไม่ให้เจ้าต้องเป็นห่วงไป”

 

 

ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รู้สึกว่าตนเองจะต้องห่วงอะไร

 

 

“อืม”

 

 

ผ่านไปครึ่งวันนางค่อยส่งเสียงรับคำออกมา

 

 

นางชักจะรู้สึกว่าแง่มุมระหว่างตนเองกับฮ่องเต้อยู่ๆ ก็ชักจะเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

ก่อนหน้านี้เป็นนางที่คอยประจบเขา เพราะกลัวว่าจะไปทำอะไรผิดใจ

 

 

ตอนนี้กลับกันแล้ว จีเฉวียนคอยเอาใจนาง กลัวว่านางจะไม่ชอบเขา

 

 

นี่เรียกว่าอะไรนะ? สถานการณ์เปลี่ยนสถานะ ผลัดกันเป็นสุนัขขี้ประจบ คนที่ต้องชะเลียเป็นคนสุดท้ายนั้นยังไม่รู้ว่าจะเป็นใครเลย

 

 

“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับเรา ไม่คิดจะทำอะไรให้กับเราสักหน่อยหรือ?”

 

 

จีเฉวียนรอคอยด้วยความคาดหวังจากหัวใจ

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยกล่าวออกมาคำหนึ่ง “ฝ่าบาท เดินทางโดยสวัสดิภาพนะเพคะ”

 

 

จีเฉวียน “…..”

 

 

……………………………

 

 

บนดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล แคว้นต้าโจวถือว่าตั้งอยู่ตรงศูนย์กลาง

 

 

แคว้นเหยียนนั้นค่อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ติดกับทะเล อากาศจึงอบอุ่นกว่าแคว้นต้าโจวมาก

 

 

วันที่ฝ่าบาททรงยกทัพออกไปนั้น หิมะตกอย่างหนัก

 

 

พระองค์สวมใส่เกราะสีทอง พระเศียรทรงหมวกเกราะ หมวกเกราะใบนี้เป็นสีดำประดับด้วยพู่ไข่มุก

 

 

บั้นพระองค์แขวนกระบี่สีทอง

 

 

เหล่าทหารสวมใส่เกราะนักรบยืนอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยปรายทั่วฟ้า

 

 

เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งหมดอยู่ที่ประตูตงฮวาเหมินรอคอยส่งเสด็จฝ่าบาทที่ออกรบด้วยพระองค์เอง

 

 

แคว้นต้าโจวผ่านการสถาปนามาแล้วถึงสามพระองค์ หลังจากที่ปฐมฮ่องเต้ทรงก่อตั้งแว่นแคว้นขึ้นมาก็ออกศึกด้วยพระองค์เองเพียงสองครั้งเท่านั้น

 

 

อดีตฮ่องเต้ทรงเป็นฮ่องเต้ผู้ตั้งมั่นอยู่ในความสงบอยู่เสมอ แม้แต่ประตูเมืองหลวงก็ยังไม่เคยก้าวออกไปเลยสักครั้ง

 

 

ดังนั้นตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่าฝ่าบาทจะเสด็จไปออกศึกด้วยพระองค์เอง ทุกผู้ทุกนามต่างก็พากันประหลาดใจ

 

 

คนส่วนมากล้วนพากันคัดค้าน ….ทุกวันนี้แคว้นต้าโจวของพวกเขา ควรเป็นแคว้นมั่งคั่งประชาชนเข้มแข็ง นี่ราวกับว่าแม่ทัพสักคนก็หาไม่ได้ จำเป็นจะต้องให้ฝ่าบาทเสด็จไปด้วยพระองค์เองหรือ?

 

 

เพียงแต่ว่าเสียงคัดค้านเหล่านี้พอไปถึงจีเฉวียนก็สลายกลายเป็นฟองอากาศไปจนหมด

 

 

เรื่องที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัยไปแล้วว่าจะทรงทำ ใครก็ไม่อาจขวางได้ทั้งนั้น

 

 

ยามนี้ ตู๋กูซิงหลันอยู่บนกำแพงเมือง ข้างกายของนางมีหยวนเฟยและเชียนเชียนยืนอยู่

 

 

เกล็ดหิมะตกลงบนใบหน้า หนาวอย่างยิ่ง

 

 

ตู๋กูซิงหลันจับจ้องไปยังจีเฉวียน

 

 

เขาช่างดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง

 

 

นางไม่เคยได้เห็นเขาสวมใส่ชุดเกราะมาก่อนเลย

 

 

ชุดเกราะหนามาก แต่เมื่ออยู่บนร่างของเขา ดูไปแล้วเหมือนมิได้หนักเลยสักนิด

 

 

กลับส่งเสริมความองอาจที่ไม่ธรรมดา ให้ความรู้สึกที่บ่งบอกไม่ถูก

 

 

หยวนเฟยเอาแต่จับจ้องไปยังตู๋กูจุนที่อยู่ข้างกายจีเฉวียน

 

 

เขามักจะไปไหนมาไหนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยใช้เวลาอยู่ในเมืองหลวงเนิ่นนานมาก่อน

 

 

ถึงแม้ว่าจะสวมใส่ชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ข้างกายฝ่าบาทแต่ก็มิได้ด้อยกว่าเลยสักนิด

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูนางแวบหนึ่ง อากาศหนาวถึงเพียงนี้ หยวนเฟยยังคงสวมใส่ชุดที่เปิดเผยเรียวขาและหน้าท้อง สาวน้อยเอาแต่จับจ้องไปที่ด้านล่างอยู่ตลอดเวลา แววตาบ่งบอกว่านางกำลังพยายามอดทน

 

 

ตู๋กูซิงหลันเอ่ยขึ้นมา “อดห่วงไม่ได้หรือ?”

 

 

“ใช่แล้ว” หยวนเฟยคล้อยตามคำพูดของนาง “ได้ยินมาว่าสตรีแคว้นเหยียนเปิดเผยอย่างยิ่ง ขนหน้าอกเขาหนาขนาดนั้น…. จะต้องมีคนชื่นชอบมากๆ แน่เลยใช่ไหม?”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะไม่มีขนหน้าอกนะ?”

 

 

หยวนเฟย “…..”

 

 

นางพลันได้สติขึ้นมา ซอยกำปั้นน้อยๆ ลงบนบ่าของตู๋กูซิงหลัน “ไทเฮาเพคะ ทำไมถึงทรงเป็นคนที่แย่เช่นนี้?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันเกิดคำถามขึ้นมา ลูกสะใภ้มีใจเป็นอื่น ลูกชายกำลังจะถูกสวมหมวกเขียว นางที่เป็นแม่เลี้ยงสมควรจะทำเช่นไรดี?

 

 

นี่ยังไม่นับว่าเท่าไหร่ พอนางกวาดตามองออกไป ก็เห็นองค์หญิงใหญ่ประทับยืนอยู่ในหมู่ฝูงชนเช่นกัน

 

 

สายตานั้นหยุดอยู่ที่ร่างของตู๋กูจุน

 

 

ตู๋กูซิงหลันแทบจะต้องตบเข่าฉาดออกมา เรื่องชักจะยากจริง!

 

 

ช่างเถอะ ช่างเถอะ เรื่องนี้นางอย่าได้สอดมือเข้าแทรกจะดีกว่า…..

 

 

สายตาของนางวกกลับมาที่พ่อลูกชาย อืม ดูองอาจกล้าหาญดีมาก

 

 

ท่ามกลางหมู่ฝูงชน ฝ่าบาททรงหันพระพักตร์กลับมา ก็ทอดพระเนตรเห็นว่าตู๋กูซิงหลันกำลังมองพระองค์อยู่เช่นกัน ในพระทัยพลันอบอุ่นขึ้นมา

 

 

บางทีเมื่อพระองค์สามารถครองแผ่นดินทั้งหมดได้แล้ว ระยะห่างระหว่างพระองค์กับนางก็อาจจะสลายกลายเป็นหมอกไป

 

 

คิดได้เช่นนี้ ฝ่าบาทก็ทรงชูกระบี่ในพระหัตถ์ขึ้นมา ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

 

“เหล่าทหารทั้งหลาย ติดตามเราออกศึก!”

 

 

 

 

——

 

 

ไรท์: ฉวนฉวนอย่างเท่!!

 

 

คำถาม: เมื่อพี่เต้ไม่อยู่ หลันหลันจะเป็นอย่างไร?

 

 

ตอนต่อไป “เจ้าว่าเขาเป็นปีศาจหรือไม่?”