ตอนที่ 367 เจ้าว่าเขาเป็นปีศาจหรือไม่?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เมืองหลวงมิได้มีบรรยากาศที่ฮึกเหิมน่าตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้ว

 

 

ทันทีที่ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาออกไป ผู้คนทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดติดตามพระองค์ไปด้วย

 

 

พระองค์ทรงประสูติมาพร้อมกับความเป็นผู้นำ ความสูงส่งและพระบารมีเปล่งประกายออกมาจากกระดูก ทำให้คนทั้งหลายต้องศิโรราบ

 

 

แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเมื่อได้เห็นแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเขางดงามไร้ที่ติเหมือนดั่งบุรุษที่มีอยู่แต่ในละครเท่านั้น

 

 

นางนั่งอยู่บนกำแพงเมือง ใช้สายตามองส่งจีเฉวียนจากไป

 

 

เมื่อมองดูกองทัพของเขาจากไปไกลแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงได้รู้สึกว่างเปล่าขึ้นมา

 

 

……………………….

 

 

วันแรกที่ฮ่องเต้เสด็จจากไป ไทเฮาทรงพระเกษมสำราญถึงขนาดเรียกเหล่าลูกสะใภ้ทั้งหมดมาแทะเมล็ดแตงชมงิ้วด้วยกัน

 

 

วันที่สองที่ฮ่องเต้เสด็จจากไป ไทเฮาทรงเสด็จออกจากวังไปยังโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งของเมื่อหลวงกับพี่รองของตนเอง

 

 

วันที่สามที่ฮ่องเต้เสด็จจากไป ไทเฮาเสด็จไปทรงหมากรุกกับเจ้าอารามเทียนเก๋อกวน ถูกท่านเจ้าอารามเทียนเก๋อกวนกอดขาขอให้รั้งอยู่เป็นบรรพชน

 

 

วันที่…ฮ่องเต้เสด็จจากไป ไทเฮาทรงเริ่มวนไปวนมาเป็นวงกลมอยู่ใต้กำแพงแล้ว

 

 

อิสระที่ไร้ผู้ควบคุม หลังจากสำเริงสำราญจนสิ้นแล้ว ที่หลงเหลืออยู่ก็คือความหงอยเหงา

 

 

ความรู้สึกเช่นนี้ตู๋กูซิงหลันไม่เคยมีมาก่อน

 

 

ติ๊งต๊องและราชาหมาป่าตะวันตกถูกนำเข้าวังมาอยู่ข้างกายนาง

 

 

ครั้งก่อนตอนที่กลับจากเมืองกู่เย่วเพราะเดินทางอย่างรีบร้อนจึงหลงลืมพวกมันไป

 

 

ตอนนี้พอไปรับกลับมาในวังก็คึกคักอย่างยิ่ง

 

 

ต้นไห่ถางที่เ**่ยวเฉาในตำหนักเฟิ่งหมิงกงกลับมาสดชื่นอีกครั้งแล้ว ขนาดเป็นช่วงกลางฤดูหนาวก็ยังแตกยอดใหม่ออกมาอย่างมีชีวิตชีวา

 

 

ทุกครั้งที่ราชาสุนัขป่าถ่ายมูล ที่ปากประตูตำหนักเฟิ่งหมิงกงแม้แต่ผีสักตัวก็ยังไม่มี

 

 

กลิ่นเหม็นสุดทนทานนี้เรียกว่าตลบอบอวลไปเกือบจะทั่วทั้งวังหลวง

 

 

ในตอนนี้เองตู๋กูซิงหลันพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ นางออกคำสั่งให้เรียกตัวอาปู้ทาลาเข้ามาในวัง ทั้งสองช่วงกันสร้างระเบิดมูลราชาหมาป่าขึ้นมา

 

 

“สิ่งนี้ยอดเยี่ยมมาก ขอเพียงฮ่องเต้ทรงขว้างออกไปลูกหนึ่ง อย่างน้อยๆ ศัตรูหนึ่งค่ายจะต้องสลบเหมือด”

 

 

อาปู้ทาลาทูลตอบอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ พระองค์แน่พระทัยหรือว่าก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงระเบิดศัตรูสลบไปนั้น จะไม่ทรงสิ้นพระสติไปเองเสียก่อน?”

 

 

หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดล่ะก็ ฮ่องเต้ทรงแพ้กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงมิใช่หรือ?

 

 

ดังนั้นตู๋กูซิงหลันจึงได้สร้างหน้ากากกันพิษขึ้นมาด้วยตนเอง ในครั้งแรกที่หลงเซียวกลับมาส่งข่าว ก็ฝากส่งระเบิดมูลราชาสุนัขป่ากับหน้ากากกันพิษไปให้เขาพร้อมๆ กัน

 

 

หลงเซียวแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าไม่อยากจะนำระเบิดมูลนี้เดินทางไปด้วยสักเท่าไร….ก็เส้นทางห่างไกลถึงเพียงนี้ หากว่าไม่ทันระวังเกิดทำมันระเบิดขึ้นมา เขาเกรงว่าตนเองคงจะเหม็นเน่าไปชั่วชีวิต

 

 

แต่ว่าในเมื่อเป็นรับสั่งของไทเฮาเขาย่อมไม่กล้าขัดขืน ได้แต่เดินทางอย่างระมัดระวังไปตลอดทางด้วยความหวาดกลัวว่ามันจะระเบิด

 

 

ดึกดื่นมากแล้ว ในตำหนักเฟิ่งหมิงกงยังคงจุดตะเกียงเอาไว้

 

 

เงาของตู๋กูซิงหลันสะท้อนลงไปบนผ้าม่าน มิว่าจะเป็นใบหน้าด้านข้างหรือว่าด้านตรง นางก็ยังคงงดงามอย่างที่สุด

 

 

เมื่อมีติ๊งต๊องและราชาสุนัขป่าสองเทพผู้พิทักษ์เฝ้าอยู่นอกหน้าต่าง ตำหนักเฟิ่งหมิงกงนี้แม้แต่ยุงก็ยังไม่กล้าบินเข้ามาใกล้

 

 

วิญญาณทมิฬเองก็ตัวสั่นสะท้านไปหมด……สวรรค์ทรงโปรด สายตาของราชาสุนัขป่ายามมองมาที่มันนั้น น่ากลัวอย่างที่สุดจริงๆ ทั้งชั่วร้ายและเปี่ยมไปด้วยความหื่นกระหายอย่างรุนแรง

 

 

ใกล้จะเป็นเหมือนกับจีจ้านในความทรงจำของเจียงเย่วเข้าไปทุกทีอยู่แล้ว

 

 

ตอนนี้มันเอาแต่คอยติดตามตู๋กูซิงหลันโดยไม่ออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว เพราะกลัวว่าเกิดตนเองไม่ทันระมัดระวังตัวขึ้นมาจะรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ไม่ได้

 

 

ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ที่อยู่ในมือคือจดหมายที่จีเฉวียนทรงเขียนด้วยพระองค์เอง

 

 

“ซิงซิง วันนี้เรายึดเมืองจิงหวาของแคว้นเหยียนได้แล้ว เมืองหลวงแห่งนี่มีเนื้อหมูดำเป็นผลผลิตเลื่องชื่อ ในฤดูหนาวชาวบ้านจะตากเนื้อหมูดำเอาไว้เป็นจำนวนมาก เราชิมดูแล้ว รสชาติดีทีเดียว ซิงซิงจะต้องชอบกินอย่างแน่นอน”

 

 

“ใกล้จะถึงช่วงสิ้นปีแล้ว ปีนี้ไม่อาจอยู่ร่วมฉลองกับซิงซิง เรารู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง วันหน้าจะต้องอยู่กับซิงซิงให้มาก จะไม่ยอมห่างแม้ชั่วขณะเลย”

 

 

“ซิงซิงอยู่เพียงลำพังในวัง กินอิ่มนอนหลับหรือไม่ มีความสุขดีหรือไม่?”

 

 

อักษรของจีเฉวียนก็เหมือนกับตัวของเขา สวยงามอย่างยิ่ง แค่ได้เห็นก็รู้สึกว่าน่าประทับใจแล้ว

 

 

บนจดหมายยังเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวัน มองดูแวบแรกยังนึกว่าเป็นบทกลอนเสียอีก

 

 

ทุกสิบวัน หลงเซียวมักจะนำจดหมายของฝ่าบาทและของขวัญมาส่งให้นาง

 

 

เครื่องประดับ ชาดแต้มปาก บางครั้งก็เป็นดอกไม้แห้ง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คือของกินตากแห้งต่างๆ โดยเฉพาะพวกเนื้อจำนวนมาก

 

 

ช่วงนี้เชียนเชียนมักจะยุ่งอยู่ในห้องครัวเล็กทำข้าวอบกุนเชียงให้กับนาง กลิ่นหอมฟุ้งขจรขจายจนเข้ามาถึงในห้อง

 

 

ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ต้องกลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีก แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่ทันรู้สึกเลยว่า ใบหน้าของตนเองนั้นเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

วิญญาณทมิฬได้แต่ซุกตัวถอนหายใจอยู่ในมุมมุมหนึ่ง

 

 

มันรู้สึกว่า ถึงแม้ว่าปากของตู๋กูซิงหลันนั้นจะไม่ยอมรับ แต่ว่าร่างกายกับซื่อสัตย์กว่ามาก

 

 

ช่วงหลายวันนี้ช่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจริงๆ ขนาดไม่มีอะไรก็ยังต้องเพียรหาอะไรให้ตนเองทำ

 

 

ดูเอาเถอะ ทุกๆ ครั้งที่ได้รับจดหมายจากฮ่องเต้สุนัขนั่น นางล้วนต้องยิ้มแย้มจนหน้าบานดุจดอกเก็กฮวย ฮ่องเต้สุนัขเป็นนักเขียนเรื่องขำขันหรืออย่างไร? จดหมายทุกฉบับล้วนสามารถทำให้นางหัวเราะอย่างสุขใจ?

 

 

ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่ได้ยอมรับคนเขาแท้ๆ แต่ทำไมท่าทางที่แสดงออกมาถึงได้เหมือนกับสามีหนุ่มภรรยาสาวที่พึ่งแต่งงานแล้วต้องแยกจากกันอย่างไรอย่างนั้น

 

 

คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันเป็นฝ่ายยกพู่กันขึ้นมา เริ่มเขียนจดหมายตอบกลับไปให้จีเฉวียนบ้าง

 

 

แต่ว่าเปรียบเทียบกับจีเฉวียนแล้วตัวอักษรของนางโยกเยกโย้เย้เหมือนกับงูเลื้อยกลับบ้านน่ะสิ

 

 

ว่าตามจริง พอมองดูอีกครั้งขนาดเป็นตัวเองนางก็ยังรับไม่ได้

 

 

พูดไปก็เป็นเรื่องแปลก ตอนเด็กๆ ท่านอาจารย์ถึงกับจับมือนางเขียนหนังสือ แต่นางกลับเขียนออกมาไม่ได้เรื่อง

 

 

สุดท้ายแล้วแม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังถอดใจ แต่ว่าตัวอักษรโยกเยกโย้เย้ของนางกลับเป็นพรสวรรค์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการเขียนภาพยันต์

 

 

ก่อนหน้านี้นางยังไม่รู้สึกอะไร คิดว่าอักษรของตนเองก็ไม่ได้แย่อะไรมากสักเท่าไหร่

 

 

แต่พอมาเปรียบเทียบกับของจีเฉวียน กลับน่าเกลียดอัปลักษณ์แทบตายแล้ว

 

 

นี่เรียกว่า หากไม่มีคู่เปรียบก็ไม่รู้จักบาดเจ็บ

 

 

คนหนึ่งสูงส่งยิ่งกว่ายอดปราชญ์ในเชิงอักษร อีกคนเหมือนเด็กที่ไม่ยอมจบจากอนุบาล……

 

 

ประเด็นสำคัญก็คือตัวอักษรของต้าโจวนั้นซับซ้อนเขียนยาก พอตู๋กูซิงหลันเขียนออกมาจึงกลายเป็นมหาวิบัติอย่างแท้จริง

 

 

ที่จริงนางถึงกับต้องขยำกระดาษทิ้งไปมากมายก่ายกอง หมึกที่ฝนไว้ในถาดก็แห้งไปแล้วรอบหนึ่ง ใบหน้าก็เปรอะเปื้อนเป็นสีดำไปหมดแล้ว

 

 

นางวางจดหมายของจีเฉวียนเอาไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เขียนอักษรลงไปอย่างตั้งใจ “ทูลฮ่องเต้….”

 

 

เขียนเพียงไม่กี่อักษร ยังอัปลักษณ์จนอยากร้องไห้

 

 

ตู๋กูซิงหลันแหงนหน้ามองฟ้า ส่งเสียงถามวิญญาณทมิฬว่า “เจ้าว่าในโลกจะมีคนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้อยู่จริงๆ หรือ? เกิดมาหน้าตางดงามมีเงินมีอำนาจยังไม่พอ ยังเก่งทั้งบุ๋นบู๊ปราบปีศาจก็ได้ ที่สำคัญก็คือเขียนอักษรได้สวยมากๆ เจ้าว่าเขาเป็นปีศาจใช่หรือไม่?”

 

 

วิญญาณทมิฬแคะจมูก “ข้าคิดว่านะ เจ้าเหมือนปีศาจยิ่งกว่าอีก”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……..”

 

 

วิญญาณทมิฬ “เจ้าก็ลองคิดแบบนี้สิ เขาหน้าตาดีมีเงินแต่เขาโหด เขาเขียนอักษรสวยแต่ว่าสติปัญญาไม่ได้เรื่อง ดูสิในจดหมายนั่นเขียนอะไรไว้บ้าง? มีแต่น้ำท่วมทุ่งทั้งนั้น! ขนาดข้ายังเลิกเขียนจดหมายแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อแปดร้อยปีก่อนแล้วเลย พอคิดแบบนี้ เขาก็ดูไม่ค่อยสมบูรณ์แบบแล้วใช่ไหม?”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “เรื่องโหดนั่นมันผ่านไปแล้ว เจ้าดูเขาตอนนี้สิ ส่งทั้งเงินทั้งทองทั้งอาหาร ที่ไม่ได้เขียนอะไรไพเราะเพราะพริ้งมา…..คงจะเป็นเพราะกลัวว่าข้าจะอ่านไม่เข้าใจละมั้ง? ถึงได้เขียนเพียงคำพูดธรรมดา”

 

 

วิญญาณทมิฬ “เอาเถอะ เจ้าดีใจก็พอ”

 

 

“แต่ข้ายังรู้สึกว่า ตัวอักษรของซื่อมั่วยังสวยกว่าของเขามาก!”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ข้าเห็นว่าไม่อาจแบ่งลำดับได้”

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “ฝ่าบาทจะเป็นยอดบุรุษ”