ตอนที่ 368 ฝ่าบาทจะเป็นยอดบุรุษ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

วิญญาณทมิฬส่ายศีรษะ รู้สึกว่าสตรีผู้นี้ช่างหมดทางเยียวยาแล้ว

 

 

ช่างกลิ้งกลอกดีนัก!

 

 

ยามที่คนเขาอยู่ด้วย ก็ทำตัวห่างเหินผลักออกไปไกลกันพันลี้ พอคนไม่อยู่เท่านั้นล่ะ ก็ชักจะรู้สึกว่าคนเขาดีขึ้นมาเชียวหรือ?

 

 

ดังนั้นสตรีถึงได้เป็นสิ่งประหลาดที่แท้จริง คาดเดาความคิดไม่ถูกเลย

 

 

มันเองก็ขี้เกียจจะไปถกเถียงกับนางแล้ว มันยื่นมือสั้นๆ ไปซ้อนหลังท้ายทอย เริ่มกลับไปคิดถึงวันคืนในโลกเดิมที่จากมา

 

 

………………

 

 

เมืองหลวงแคว้นต้าเหยียน จิงหวาเฉิง

 

 

จวนอวี้สื่อฟู่

 

 

ค่ำคืนนี้ขุนนางอวี้สื่อเมืองจิงหวาจัดงานเลี้ยงรับรองฮ่องเต้ต้าโจวเป็นพิเศษ

 

 

นับตั้งแต่ที่ต้าโจวเริ่มเปิดสงครามโจมตีต้าเหยียนก็ได้รับชัยชนะมาโดยตลอด เพียงระยะเวลาสั้นแค่สองเดือนกว่าๆ ต้าเหยียนก็ต้องสูญเสียเมืองใหญ่น้อยไปมากมาย

 

 

เมืองจิงหวาเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของต้าเหยียน มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนมาก การค้าคึกคัก

 

 

อวี้สื่อผู้นี้เป็นคนฉลาด รู้ว่าแข็งข้อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงได้ตัดสินใจเป็น ‘คนทรยศชาติ’ อย่างรวบรัดชัดเจนไปเลย

 

 

เขาไม่เพียงเชื้อเชิญจีเฉวียนเข้าเมืองมา ทั้งยังจัดสรรสตรีโฉมงามเอาไว้ข้างๆ

 

 

ใต้หล้านี้ใครๆ ต่างก็รู้ว่า ขอเพียงแค่เป็นบุรุษ ก็ไม่มีผู้ใดไม่ชอบหญิงงาม

 

 

อย่าว่าแต่สตรีที่เขาตระเตรียมเอาไว้ยังเป็นสตรีชั้นหนึ่งในหมู่หญิงงาม แต่ไหนเลยจะรู้ว่า ในงานเลี้ยงฮ่องเต้กลับมิได้ทรงเหลียวแลสตรีผู้นั้นเลยสักแวบเดียว

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่ผู้ติดตามของพระองค์นำจดหมายมาถวาย ก็ทรงยกเลิกงานเลี้ยงไปในทันที

 

 

นี่เป็นครั้งที่เจ็ดที่ฝ่าบาททรงได้รับจดหมายตอบจากตู๋กูซิงหลัน

 

 

กระดาษจดหมายเป็นกระดาษซวนเฉิงจื่อ [1] ที่เลื่องชื่อของต้าโจว พอเปิดออกมาก็ได้เห็นภาพวาดกระยึกกระยืออยู่บนนั้น

 

 

ตู๋กูจุนยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าสับสน ว่ากันตามจริงแล้ว นอกจากคำว่า ‘กราบทูลฮ่องเต้’ สี่คำแล้ว ที่เหลือก็เป็นภาพหยักๆ โค้งๆ ทั้งหมด เขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าน้องเล็กกำลังเขียนอะไรอยู่

 

 

แต่กลับได้เห็นจีเฉวียนมีสีพระพักตร์ที่อ่อนโยนทั้งยังแย้มสรวลออกมา

 

 

“นางบอกว่าเนื้อหมูดำอร่อยมาก ถึงกับต้องกินข้าวสามชาม หิมะในเมืองหลวงหยุดแล้ว ขนาดต้นไม้ยังแทงยอดใหม่ นางสุขสบายดีทุกอย่าง”

 

 

ตู๋กูจุน “???”

 

 

เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นศีรษะเข้าไปมองดูภาพที่เลอะเทอะไปด้วยหมึกสีดำจนลายตาเหล่านั้น

 

 

เอ่อ มีรูปคนตัวเล็กๆ ที่หัวเหมือนไม้ขีดไฟ ถืออะไรกลมๆ สามอัน ข้างๆ มีรูปหัวหมู

 

 

จากนั้นก็มีรูปต้นไม้ บนกิ่งของต้นไม้เขียนอักษรคำว่ายอดเอาไว้

 

 

สุดท้ายเป็นรูปใบหน้ายิ้มกลมๆ

 

 

หากมองตามนี้ จากคำอธิบายของฮ่องเต้ก็ดูจะไม่มีอะไรผิดพลาด?

 

 

หากว่าเขาจดจำได้ไม่ผิดไปละก็ ก่อนหน้านี้น้องเล็กคือคนที่เขียนอักษรได้วิจิตรบรรจงอย่างที่สุดผู้หนึ่ง นางวาดรูปดอกมู่ตานขาวดำด้วยหมึกได้อย่างงดงามชนิดที่เหล่าอาจารย์ยังต้องเทิดทูน นี่คือผลสืบเนื่องจากการฆ่าตัวตายในครั้งนั้น ทำให้สูญเสียความทรงจำจนแม้แต่วิธีการเขียนอักษรและวาดรูปก็ยังเปลี่ยนไป?

 

 

ตู๋กูจุนเกิดความสงสัยขึ้นมา เขาสงสัยว่านี่จะต้องไม่ใช่น้องเล็กเขียนอย่างแน่นอน

 

 

เกรงว่าน้องเล็กคงขี้เกียจจะสนใจฮ่องเต้ ถึงได้มอบหมายให้เชียนเชียนเขียนแทน

 

 

ฮ่องเต้กลับทรงคิดต่างไปจากเขาอย่างสิ้นเชิง พระองค์แย้มสรวลตรัสว่า “ในใต้หล้านี้กลับมีสาวน้อยที่น่ารักอย่างซิงซิงอยู่ด้วยหรือ?

 

 

ตู๋กูจุน “น้องสาวของกระหม่อมย่อมไม่มีผู้ใดเทียบได้”

 

 

ที่ฮ่องเต้ตรัสนั้นเขาย่อมยินดีฟังอยู่แล้ว น้องเล็กเหมือนดั่งน้ำตาลก้อน หวานล้ำฉ่ำถึงหัวใจดั่งผลไม้เชื่อม

 

 

หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็ทรงเก็บจดหมายเอาไว้ในสาบเสื้อฉลองพระองค์ พลางตบพระอุระเบาๆ “นางยังบอกด้วยว่าคิดถึงเรามากๆ”

 

 

ตู๋กูจุน “ข้อนั้นกระหม่อมมองไม่ออกเลย”

 

 

เขารู้สึกว่าน้องเล็กย่อมต้องคิดถึงเขาที่เป็นพี่ใหญ่มากกว่าเป็นแน่

 

 

“นางเขียนจดหมายให้เรา ก็ต้องเพราะคิดถึงเราอยู่แล้ว ไม่งั้นทำไมถึงไม่เห็นนางเขียนจดหมายให้เจ้าบ้าง?” ฮ่องเต้ทรงหันไปทำพระพักตร์ดูถูก จึงได้ทอดพระเนตรเห็นว่าตู๋กูจุนสีหน้าดำคล้ำจนจะเป็นก้นหม้อไหม้อยู่แล้ว

 

 

ฝ่าบาททรงตรัสอย่างประหลาดพระทัยว่า “ท่านแม่ทัพผู้พิชิตเป็นอะไรไปแล้ว? กำลังฝึกฝนวิชาใหม่วิชาหน้าดำขับไล่ศัตรูหรือ?”

 

 

ตู๋กูจุน “…..”

 

 

“ฝ่าบาท นี่เป็นของฝากที่น้องสาวส่งมาให้กระหม่อม แผ่นบำรุงผิวและความงาม”

 

 

ก่อนหน้านี้น้องเล็กเห็นว่าผิวของเขาหยาบกระด้าง จึงมอบสิ่งนี้มาให้เขามากมายหลายห่อ ตอนแรกเขายังรู้สึกเขินอายไม่กล้าใช้ แต่ว่าตอนนี้คุ้นเคยมากแล้ว

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นพอใช้แล้วก็รู้สึกติดจนหยุดไม่ได้ หลังจากไปฆ่าคนมาเป็นต้องหยิบมาใช้แผ่นหนึ่ง ใช้แล้วก็รู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นเบาสบายไปหมด

 

 

ฮ่องเต้เหล่พระเนตรมองเขาอย่างลับๆ มิน่าเล่า….ก่อนหน้านี้ถึงได้รู้สึกว่าตู๋กูจุนมีอะไรแปลกๆ ไป

 

 

ออกศึกรบพุ่งอยู่ในสนามรบอยู่ทุกๆ วัน แต่ผิวพรรณก็ยังคงดีอยู่เลย ที่แท้ล้วนเป็นเพราะสิ่งที่ซิงซิงเหนื่อยยากลำบากทำขึ้นมา

 

 

“ฝ่าบาท น้องเล็กได้ส่งของมาถวายพระองค์บ้างหรือไม่พะยะค่ะ?” ตู๋กูจุนเสียบมีดลงไปโดยไม่ห่วงว่าใครจะเจ็บปวด สีพระพักตร์ที่เปลี่ยนเป็นดำคล้ำในทันควันนั้นได้บ่งบอกออกมาจนหมดแล้ว แววพระเนตรยังสื่อความว่าสมควรตายอีกด้วย

 

 

จีเฉวียน “เรารูปโฉมงดงามมาแต่กำเนิด ต่อให้เผชิญลมฝนก็ไม่มีผลแม้แต่น้อย ซิงซิงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว จึงไม่ได้ส่งมาให้เรา”

 

 

ว่าแล้ว ฮ่องเต้ก็แทงดาบสวนกลับไปอีกครั้ง “ดูท่าแล้วในสายตาของนาง มีแต่คนที่น่าเกลียดถึงสมควรได้ใช้ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”

 

 

ตู๋กูจุน “….” ดาบใหญ่ของเขาชักจะกระหายเลือดขึ้นมาแล้ว ให้ตายเถอะ

 

 

“ท่านแม่ทัพผู้พิชิต เจ้าอายุปูนนี้แล้วยังไม่มีศรีภรรยา นี่ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า เรื่องของใบหน้านั้น เจ้ามันใช้ไม่ได้”

 

 

ฮ่องเต้ทรงตบไหล่ของเขาเบาๆ “แต่ก็ไม่ต้องรีบร้อน ลองดูสิว่าในต้าเหยียนนี้มีสตรีที่น่าพึงพอใจหรือไม่ เราจะประทานให้เจ้าไปเป็นศรีภรรยา”

 

 

ตู๋กูจุนตั้งใจว่า พอกลับไปบ้านแล้วจะต้องให้น้องสาวอยู่ห่างฮ่องเต้สุนัขให้มากๆ!

 

 

ไอ้คนไม่ใช่คน!

 

 

โสดแล้วผิดตรงไหน? หลายปีมานี้เขาก็แค่ไม่อาจตัดใจจากจีฉุนได้ ก็เลยทำให้ไม่เปิดใจรับหญิงอื่นเท่านั้น

 

 

มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยรูปโฉมและศักดิ์ฐานะของเขานั้น ป่านนี้คงจะมีหญิงสาวมากมายพากันไล่ตามมาแล้ว

 

 

กลางดึกคืนนั้น ในกระโจมแม่ทัพของตู๋กูจุนมีขโมยบุกเข้ามา

 

 

ของที่หายไปมิใช่แก้วแหวนเงินทองล้ำค่าอะไร ทั้งยังไม่ใช่อาวุธหรือแผนที่ทางทหาร แต่ว่ายาบำรุงผิวห่อใหญ่ที่น้องเล็กส่งมาให้เขากลับหายไปแล้ว?

 

 

แถมเขายังไม่อาจจับตัวเจ้าหัวขโมยนั้นได้ด้วย

 

 

ถึงแม้จะรู้ว่าเก้าในสิบจะต้องเป็นฮ่องเต้ทรงส่งคนมาขโมยอย่างแน่นอน แต่เพราะว่าไร้หลักฐาน จึงไม่อาจจะทำอย่างไรกับพระองค์ได้

 

 

ดังนั้นตลอดหลายวันหลังจากนั้น ท่านแม่ทัพผู้พิชิตจึงคอยจับตาดูฮ่องเต้อย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

ยามออกรบก็คอยจับตาดูอยู่ตลอด ยามพักผ่อนก็ไม่ว่างเว้น แม้แต่เวลาไปปลดทุกข์ก็คอยเฝ้าไว้

 

 

เขาจะดูสิว่า หากเฝ้าจับตาดูอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะไปพอกหน้าได้อย่างไรกัน?

 

 

ขโมยมาได้แล้วอย่างไรกัน ก็ใช้ไม่ได้! ไง? เคืองไหมเล่า?

 

 

ฮ่องเต้กลับทรงรักษาความสงบนิ่งอยู่ตลอด ทำเสมือนว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งนั้น

 

 

จนกระทั่งตู๋กูจุนชักจะเริ่มเกิดความสงสัยว่าตนเองคาดเดาอะไรผิดไปหรือไม่ …..ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายการจับสังเกตในตัวพระองค์ไปในที่สุด

 

 

ในยามดึกของคืนที่สายลมพัดแรงคืนหนึ่ง ฝ่าบาททรงพอกพระพักตร์ที่งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองด้วยโคลนดำจนเต็มใบหน้าอยู่ในกระโจมของพระองค์

 

 

ใบหน้าเย็นสบาย ได้กลิ่นของยาสมุนไพร ให้ความรู้สึกที่ชุ่มชื้นอย่างยิ่ง

 

 

ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองดูพระองค์เองในบานกระจกทองแดง เหลียวซ้ายแลขวา ตรงลำคอก็ดูแดงๆ อยู่บ้าง ทั้งยังหยาบเล็กน้อย

 

 

บุรุษที่ต้องออกมาทำศึกในสนามรบ จะอย่างไรเสียก็ต้องหยาบกร้าน

 

 

ยากนักที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องผิวไปได้ อย่างเช่นพระองค์ที่ช่วงนี้มักจะต้องอดหลับอดนอนข้ามคืนเพื่อทำศึก ทั้งยังต้องตากแดดอาบฝนอยู่เสมอ จนใบหน้าเกิดสิวเสี้ยนแล้ว

 

 

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซิงซิง จะอย่างไรก็ไม่อาจให้พระพักตร์นี้ของพระองค์มีข้อตำหนิได้อย่างเด็จขาด

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ฝ่าบาทจึงทรงเข้าบรรทมไปพร้อมๆ กับการพอกยาบำรุงผิว ทรงคิดว่าพอตื่นมาในวันที่สอง สิ่งวิเศษที่แปลกประหลาดนี้จะต้องทำให้พระองค์ฟื้นฟูผิวพรรณจนถึงขั้นเปล่งปลั่งอย่างที่สุดแน่นอน

 

 

เพราะว่าเจ้าสิ่งแปลกประหลาดนี้สามารถทำให้ตู๋กูจุนที่มีใบหน้าหยาบและสากราวกระดาษทรายเปลี่ยนเป็นเรียบเนียนขึ้นมาได้ สิวหลายเม็ดบนใบหน้าของเขา แค่คืนเดียวก็ควรกลับเป็นเรียบเนียนแล้ว

 

 

วันรุ่งขึ้น……

 

 

เมื่อเหล่าแม่ทัพทั้งหลายได้เห็นฝ่าบาทนั้น ต่างก็ต้องตาค้างไปตามๆ กัน

 

 

ตู๋กูจุนนั้นยิ่งถึงขั้นพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

 

 

 

 

——

 

 

ไรท์ : ผลลัพธ์ของมันทำเอาไรท์ถึงขั้นคิดชื่อตอนเป็นภาษาไทยไม่ออกเลยทีเดียว ขอติดเอาไว้ก่อนแล้วกัน

 

 

กระดาษซวนเฉิงจื่อ: ไอเท็มสำคัญที่ปรากฏอยู่ในนิยายจีนหลายเรื่อง กระดาษชนิดนี้ได้ชื่อมาจากเมืองที่เป็นต้นกำเนิดในการผลิต (เมืองซวนเฉิง มณฑลอันฮุย) ถือเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกของเมืองซวนเฉิงมาแต่โบราณ ด้วยคุณสมบัติที่มีผิวละเอียด เนื้อกระดาษขาว อ่อนนุ่ม ไม่ขาดง่าย ไม่เปลี่ยนสี ดูดซึมหมึกได้ดี ไม่มีแมลงกัดแทะ (อยากจะร้องว่า ‘เพอร์เฟคโต้’ ด้วยสำเนียงอิตาลี) จึงเหมาะสมอย่างที่สุดที่จะใช้เขียนอักษรและวาดภาพ จนได้ชื่อว่าสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ (文房四宝)

 

 

——

 

 

[1] 宣城纸