ตอนที่ 1791 พบกันอีกครั้งหลังการรอคอยเนิ่นนาน

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1791 พบกันอีกครั้งหลังการรอคอยเนิ่นนาน

จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงครั้งแรกที่เขาได้พบหลัวลั่วชิง

ทันทีที่เขาสบตาเธอ หัวใจของเขาก็เต้นรัว เป็นความรู้สึกละเอียดอ่อนที่อธิบายยาก ราวกับเขารู้จักเธอมาแล้วชั่วชีวิต เขาพบว่าตัวเองร่วงหล่นลงสู่เกลียวคลื่นของความโหยหาในตัวเธอที่ไม่อาจถอนตัวได้

เขาจับมือเธอแน่นและหนีจากวงล้อมของอสูรเข้าสู่ถ้ำแห่งหนึ่ง แต่เพราะความไม่สอดคล้องกันระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณของเขา ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เข้าสู่ภาวะโคม่า

จากนั้นไม่นาน เขาได้พบเธออีกครั้งที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน เขาพยายามใช้หอสมุดเทียบฟ้ากับเธอ แต่แล้วก็ต้องเข้าสู่ภาวะโคม่าอีก เมื่อฟื้นขึ้นมา ก็ได้รู้ว่าหอสมุดเทียบฟ้าทำการยกระดับตัวเองแล้ว

ตอนที่จางเซวียนรู้ว่าไม่อาจใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงของหลัวลั่วชิงได้ เขาคิดว่าเป็นเพราะเธอมีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายแต่กำเนิด จึงไม่ได้คิดมากเรื่องนั้น

แต่มาตอนนี้ เขารู้สึกว่าอะไรๆไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ดูเหมือนจะเป็น

จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ตอนที่เธอจากไปเราคว้ามือของเธอไว้และรู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างของเราตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรมากแต่เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอได้ถ่ายทอดมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าของเราแล้ว*?*

หลัวลั่วชิงหายวับเข้าไปในรอยแยกแห่งมิติต่อหน้าต่อตาเขา เพื่อยับยั้งเธอไม่ให้จากไป เขาพยายามยื้อตัวเธอไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล ไม่นานหลังจากที่เธอหายไป เขาก็เข้าสู่ภาวะโคม่าจากการกระตุกอย่างแรงของหอสมุดเทียบฟ้า…

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอใช้โอกาสนั้นมอบมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเป็นของขวัญให้เขา?

“เหตุผลที่เธอเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ก็เพื่อมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไม่ใช่หรือ แล้วเธอมอบมันให้เราทำไม?”

ตัวตนของหลัวลั่วชิงในฐานะเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเป็นที่แน่ชัดแล้ว และแรงผลักดันที่ทำให้เธอเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ก็น่าจะเป็นการค้นหามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเธอถึงมอบมันให้เขาทั้งที่ต้องลงทุนลงแรงไปมากมายเพื่อให้ได้มันมา?

เท่าที่เห็น ดูเหมือนประสิทธิภาพของมหาคัมภีร์จะลดลงมากนับจากครั้งแรกที่เขาได้พบมัน เธอทำอะไรกับมหาคัมภีร์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆระหว่างที่เธอทำให้มันยอมจำนนและมอบมันให้เขา?

จางเซวียนเกิดความสงสัยขึ้นมากมาย ทำให้รู้สึกไม่แน่ใจอย่างหนัก

ตอนที่เขาพบหลัวลั่วชิง อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของตัวเขา ซึ่งจางเซวียนก็ออกจะผิดหวังไม่น้อยในตัวหลัวลั่วชิงหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่ในตอนนี้ จางเซวียนรู้สึกว่าความลับต่างๆที่เธอเก็บงำไว้ดูจะลึกซึ้งกว่านั้น เขาเชื่อมั่นสุดใจว่าเธอไม่ได้โกหกเขา

ความลับที่เกี่ยวข้องกับหอสมุดเทียบฟ้าและมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง…บางที มันอาจเป็นสิ่งที่สร้างความสั่นสะเทือนได้แม้แต่กับสวรรค์ อย่างคำพูดที่พูดกันว่า ความลับสวรรค์นั้นไม่ควรจะพูดให้ดังไป บางทีเธออาจมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะปกปิดตัวตนของเธอจากเขา

ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไรก็แล้วแต่เราจะต้องหาตัวเธอให้พบและค้นหาความจริงให้ได้ จางเซวียนคิดอย่างมุ่งมั่นขณะเก็บซ่อนทุกสิ่งไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ

เขาต้องมีพละกำลังมหาศาลหากต้องการเข้าใกล้ความจริง แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้ก็คือเขายังอ่อนแอนัก

อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องเป็นนักปราชญ์โบราณและมีอำนาจของผู้เชี่ยวชาญขั้นการทำลายล้างมิติเสียก่อน ไม่อย่างนั้น จะต้องถูกปราการแห่งมิติที่อยู่โดยรอบทวีปแห่งปรมาจารย์สกัดกั้นไว้ตลอดกาล ไม่อาจหนีพ้นได้

จางเซวียนดึงจิตใต้สำนึกกลับเข้าสู่กายเนื้อของเขา จากนั้นก็สูดหายใจลึกและกลับสู่ความเป็นจริง

เพราะสภาวะจิตของเขาเข้าถึงระดับที่เทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว จึงสามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้คงความมีเหตุผลไว้ได้ตลอดเวลา

เห็นจางเซวียนเสร็จสิ้นการฝึกฝนวรยุทธ หวู่เฉินมองมาและรายงาน “นายน้อย เราเข้าใกล้อาณาเขตของเมืองหลวงแห่งเผ่าพันธุ์จิตวิญญาณแล้ว อันตรายมากหากเราจะบินอย่างเปิดเผยอยู่แบบนี้โดยที่ยังไม่รู้สถานการณ์ภายใน ผมข้อเสนอให้พวกเราร่อนลงก่อน”

“ร่อนลงไกลจากนี้ไปอีกหน่อยก็แล้วกัน” จางเซวียนพยักหน้า

อสูรที่ทั้งคู่ขี่อยู่เป็นอสูรที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ซึ่งการใช้อสูรระดับนี้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงย่อมดึงดูดความสนใจ เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน จึงดีที่สุดหากจะร่อนลงในพื้นที่ใกล้เคียง

ด้วยความสามารถในการปรับตัวของพวกเขา ก็น่าจะลอบเข้าไปข้างในได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ

ดังนั้น จางเซวียนกับหวู่เฉินจึงบินไกลออกไปอีกเล็กน้อย จนกระทั่งเมืองหลวงปรากฏที่เส้นขอบฟ้า พวกเขาก็ให้อสูรร่อนลงพื้น จากนั้นก็รีบปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ก่อนจะเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง

ระหว่างการเดินทาง จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาตั้งคำถาม “หวู่เฉิน คุณออกหมัดพื้นฐานให้ผมดูหน่อยได้ไหม?”

“คุณอยากให้ผมออกหมัดพื้นฐาน?” หวู่เฉินถึงกับชะงักกับคำขอนั้น

แต่เขาก็ออกหมัดพื้นฐานให้จางเซวียนดูโดยไม่ลังเล

เพราะอาการบาดเจ็บที่ได้รับ หวู่เฉินจึงไม่สามารถสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด แต่เสียงระเบิดดังลั่นก็สั่นสะเทือนออกไปโดยรอบ รอยแยกแห่งมิติสีดำสนิทปรากฏ

จางเซวียนหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่ใช่เพราะพละกำลังน่าทึ่งที่หวู่เฉินสำแดงออกมา

จางเซวียนมีเหตุผลที่ขอให้หวู่เฉินออกหมัดพื้นฐาน คืออยากตรวจสอบประสิทธิภาพของหอสมุดเทียบฟ้าหลังจากที่มันยกระดับตัวเองเสร็จแล้ว

ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาหวังไว้ ความสามารถในการตรวจสอบของหอสมุดเทียบฟ้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน

เมื่อตอนอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนรู้ตัวว่าไม่อาจมองเห็นข้อบกพร่องของนักปราชญ์โบราณได้ด้วยการมองดูแค่เทคนิคการต่อสู้ของคนเหล่านั้น เขาจึงต้องสัมผัสใกล้ชิดโดยตรงกับหยดเลือดนักปราชญ์โบราณเพื่อประมวลหนังสือขึ้นมา แต่ตอนนี้ ทันทีที่หวู่เฉินออกหมัดพื้นฐาน หนังสือหลายเล่มก็ถูกประมวลเข้าด้วยกัน แต่ละเล่มระบุข้อบกพร่องของอีกฝ่ายไว้อย่างชัดเจน และที่น่าประหลาดใจกว่านั้น มันบอกวิธีแก้ไขข้อบกพร่องขั้นพื้นฐานเอาไว้ด้วย!

อานุภาพของการยกระดับครั้งนี้ช่างน่าทึ่งเสียจริง!

มองทะลุได้แม้แต่ข้อบกพร่องของนักปราชญ์โบราณ…นั่นหมายความว่านักปราชญ์โบราณจะไม่อาจปกปิดความลับไว้จากเขาได้อีกต่อไป ด้วยสิ่งนี้ จางเซวียนจะถือไพ่เหนือกว่าเมื่อต้องรับมือกับคนเหล่านั้น

เรื่องนี้ทำให้เขาหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น

เขาเคยคิดว่า เพียงเท่านี้ก็น่าทึ่งพอแล้วที่หอสมุดเทียบฟ้าสามารถสร้างห้องๆหนึ่งที่กระแสของกาลเวลาเร็วกว่าโลกภายนอก 10 เท่า แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าความสามารถในการตรวจสอบของมันจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอีกมากด้วย!

ขอแค่เขาใช้ไอ้โหดกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำอย่างระมัดระวัง แม้ระดับวรยุทธจะยังอ่อนด้อย ก็น่าจะสามารถสังหารนักปราชญ์โบราณทั่วๆไปได้อย่างง่ายดาย

“นายน้อย…” เห็นจางเซวียนจับจ้องเขาด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย หวู่เฉินได้แต่ขมวดคิ้วอย่างงงๆ

จางเซวียนรีบฉุดตัวเองออกจากภวังค์ เขาส่ายหน้าและพูดว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอก!”

แน่นอนว่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับหอสมุดเทียบฟ้าไม่อาจนำมาอธิบายกันได้ง่ายๆ จางเซวียนมองหวู่เฉินและตั้งคำถามต่อ “ในเมื่อสถานการณ์ในเมืองหลวงยังคลุมเครือ แล้วคุณมีข้อเสนอไหมว่าเราควรทำอย่างไร? เราควรเดินหน้าเข้าไปและหาทางสืบเสาะสถานการณ์ด้วยตัวเอง? หรือคุณมี บริวารในพื้นที่ที่เราสามารถพึ่งพาได้?”

แม้หวู่เฉินจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็ก แต่อันที่จริง เขาคือผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น, อำมาตย์เฉินหย่ง ไม่มีทางที่เขาจะบังคับบัญชาเผ่าพันธุ์ปีศาจมาได้เนิ่นนานหลายปีหากปราศจากสติปัญญาที่เฉียบแหลม ซึ่งในเมื่อเขากล้ากลับมาที่เมืองหลวง ก็แปลว่าน่าจะมีแผนการอยู่ในใจแล้ว

“นายน้อย ผมพบผู้สืบทอดคนหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินทางตระเวนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ทั้งนิสัยใจคอและความสามารถของเขาเยี่ยมยอดมาก อีกทั้งจงรักภักดีต่อผมด้วย ผมได้ติดต่อเขาและแจ้งให้เขาทราบถึงการมาของพวกเราแล้ว เราคงจะได้พบเขาเร็วๆนี้ เมื่อมีเขา เราจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวง และหาวิธีตอบโต้ไอ้สารเลวสองตัวนั้นได้” หวู่เฉินตอบ

“อย่างนั้นก็ดี” จางเซวียนพยักหน้า

ในเมื่อคนที่หวู่เฉินคิดจะเรียกใช้คือผู้สืบทอดของเขา ก็คงจะเป็นใครสักคนหนึ่งที่ไว้ใจได้

ไม่มีประโยชน์ที่จะวางแผนใดๆตอนนี้ หากยังไม่ได้รับข่าวสารที่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวง

ทั้งคู่เดินทางต่อไปอีกหน่อย ก่อนจะมาถึงจุดนัดพบที่หวู่เฉินนัดผู้สืบทอดของเขาไว้ ทั้งคู่รออยู่ราว 1 ชั่วโมง ก่อนจะเห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่งเดินออกจากเมืองหลวงและตรงมาหา

เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนี้มีผิวคล้ำ ทันทีที่เห็นจางเซวียนกับหวู่เฉิน ก็รีบตรงเข้ามาแล้วทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น

“คารวะฝ่าบาท!”

“ลุกขึ้นเถอะ!” หวู่เฉินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขาโบกมือและสร้างปราการปิดกั้นโลกภายนอกล้อมรอบทั้ง 3 ไว้ก่อนจะถามว่า “มีใครเห็นคุณหรือเปล่า?”

“ผมจัดการจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามผมมาก่อนที่ผมจะออกมาที่นี่” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นรายงาน

เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถูกติดตาม หวู่เฉินถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปมองจางเซวียน “ดีเลย ให้ผมแนะนำคุณนะ ชายหนุ่มคนนี้คือนายน้อยของผม ถ้าผมเป็นอะไรไป คุณจะต้องฟังคำสั่งของเขา…”

“ขอรับ!” เมื่อได้ยินว่าอำมาตย์เฉินหย่งผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจถึงกับเรียกขานชายหนุ่มว่า ‘นายน้อย’ เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นชะงักไปอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะรีบหันมามองชายหนุ่ม

เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย ร่างของเขาก็กระตุกขึ้นมาทันที

แม้จะมีรูปลักษณ์ไม่คุ้นตา แต่บุคลิกและรังสีของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกได้ถึงเดจาวู ราวกับเขาเคยพบชายหนุ่มคนนี้ที่ไหนสักแห่งมาก่อน

ขณะที่เขากำลังพยายามจะทำความเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้น ก็ได้ยินเสียงที่บ่งบอกความประหลาดใจดังขึ้นในหัว “หลิวหยาง? คุณมาทำอะไรที่นี่?”