ตอนที่ 1792 เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1792 เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นอึ้งตะลึงเมื่อได้ยินเสียง เขาตัวสั่นเล็กน้อยขณะรีบเงยหน้า

“ท่านอาจารย์?”

เสียงนั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน! เขาได้ยินเสียงแม้กระทั่งในความฝัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีทางที่เขาจะจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร!

“ผมเอง คุณสบายดีไหม? ทำอย่างไรถึงมาเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจได้? คุณมาทำอะไรที่นี่?” จางเซวียนมีคำถามมากมายก่ายกองอยู่ในสมอง

แม้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าเขาจะปลอมตัวอย่างแนบเนียน ถึงขั้นที่แม้กระทั่งปราณสังหารที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเป็นของแท้ แต่ความจริงก็ยังถูกเปิดเผยด้วยดวงตาหยั่งรู้ของเขา แค่มองแวบเดียว จางเซวียนก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายคือลูกศิษย์ของเขาที่จากเขาไปโดยไม่ได้ร่ำลาเมื่อครั้งอยู่ที่จักรวรรดิฉิงหย่วน, หลิวหยาง!

เพราะลูกศิษย์คนอื่นๆของจางเซวียนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม หลิวหยางจึงได้รับความกดดันมาก ลงท้ายเขาก็ออกระเหเร่ร่อนไปเพื่อแสวงโชค จางเซวียนได้ใช้เส้นสายของสภาปรมาจารย์กับบรรดาลูกศิษย์ของเขาเพื่อควานหาตัวหลิวหยาง แต่ก็ปราศจากข่าวคราว

ใครจะไปคิดว่าลูกศิษย์ของเขาจะลงเอยด้วยการเป็นผู้สืบทอดของหวู่เฉินและถูกนำตัวมาอยู่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ?

“ท่านอาจารย์ ผมจะตอบเรื่องนี้กับคุณทีหลัง ตอนนี้อำมาตย์เฉินหย่งยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของผม ผมต้องขอให้คุณเก็บมันเป็นความลับด้วย” หลิวหยางตอบผ่านโทรจิตพลังปราณ

“ได้” จางเซวียนรับคำพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย

เขาเองก็รู้สึกได้ถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างหลิวหยางกับหวู่เฉิน จึงเลือกที่จะสื่อสารกับหลิวหยางผ่านทางโทรจิต

แม้ทั้งสองจะคุยกันเพียงครู่เดียว แต่สายตาเฉียบคมของหวู่เฉินก็ยังมองเห็นพฤติกรรมผิดปกติ เขาจับจ้องทั้งคู่และตั้งคำถาม “คุณทั้งสองรู้จักกันหรือ?”

“ไม่ใช่หรอก ผมแค่ประทับใจกับความปราดเปรื่องของลูกศิษย์ของคุณ จึงแอบสอบถามเขาบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องวรยุทธ” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

“สอบถามเกี่ยวกับเรื่องวรยุทธ?” หวู่เฉินทวนคำด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่เต็มใจจะพูดอะไร เขาก็ส่ายหัวก่อนจะหันไปถามหลิวหยาง “สถานการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

นั่นคือเรื่องที่เขากังวลใจมากที่สุด

“อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงกลับมาเมื่อเดือนก่อน พวกเขาประกาศว่าคุณถูกนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์สังหาร ซึ่งขณะที่กำลังพยายามปกป้องคุณ พวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองอ้างว่าคุณได้ส่งมอบตำแหน่งให้พวกเขาแล้ว และเข้าควบคุมกองทัพ นำคนของตัวเองเข้าแทนที่ในตำแหน่งแม่ทัพระดับสูง ผมเกรงว่าต่อให้คุณกลับถึงเมืองหลวง คุณก็ไม่สามารถบงการให้กองทัพทำตามคำสั่งของคุณได้!” หลิวหยางตอบอย่างเคร่งขรึม

อำมาตย์เฉินหย่งหน้าดำคร่ำเครียดเมื่อได้ยินคำนั้น เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ไอ้สารเลวสองตัวนั่นพยายามกลืนกินอิทธิพลของเขา

“แล้วพวกที่ถูกแย่งตำแหน่งล่ะ ตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน?”

เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่จงรักภักดีต่อเขา หากเขาหาตัวคนเหล่านั้นเจอ ก็น่าจะยึดอำนาจกลับคืนได้

“หลังจากถูกถอดออกจากตำแหน่ง พวกเขาก็ถูกลอบสังหารภายในเวลาเพียง 1 เดือน ผมเกรงว่าตอนนี้จะไม่เหลือใครอยู่แล้ว” หลิวหยางตอบ

“พวกนั้นถูกลอบสังหาร?” หวู่เฉินซวนเซไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำนั้น

เขารู้อยู่ว่าอำมาตย์เฉินหลิงโหดเหี้ยม แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำเกินเลยขนาดนี้

หมอนั่นจัดการทุกอย่างที่อาจเป็นปัญหากับตัวเองในอนาคต ไม่เหลือช่องทางไว้ให้เขาตอบโต้เลย

หวู่เฉินตั้งคำถามต่อขณะพยายามระงับความเดือดพล่านในอก “แล้วตอนนี้สภาพร่างกายของทั้งคู่เป็นอย่างไร?”

เขาโจมตีทั้งอำมาตย์เฉินชิงและอำมาตย์เฉินหลิงอย่างหนักตอนที่พวกนั้นพยายามสังหารเขา ทำให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้อาการบาดเจ็บของพวกนั้นจะไม่รุนแรงเท่าของเขา แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่ารากฐานวรยุทธน่าจะถูกสั่นคลอน การฟื้นคืนพละกำลังคงไม่ใช่เรื่องง่าย

ตราบใดที่พวกนั้นยังไม่ได้พละกำลังสูงสุดกลับคืนมา เขาก็ยังมีโอกาสพลิกผันสถานการณ์

ถ้าจะพูดกันตรงๆ สำหรับนักรบที่มีวรยุทธระดับพวกเขา สิ่งที่สำคัญกว่าคือพละกำลังของแต่ละคน สำคัญกว่าการใช้อำนาจและการรวบรวมกองทัพ ขอแค่สังหารเจ้าสองคนทรยศนั้นได้และประกาศการหวนกลับคืนสู่อำนาจของเขา เหล่าบริวารก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมทำตามคำสั่งของเขา ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่!

“ผมเองก็ระบุอะไรไม่ได้ชัดเจน ดูเหมือนตอนนี้สภาวะร่างกายของทั้งคู่จะเป็นข้อมูลที่เป็นความลับ…” หลิวหยางส่ายหน้า

หวู่เฉินไม่ประหลาดใจที่ได้ยินคำนั้น

ทั้งอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงวางแผนมาอย่างดี และการปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับความอ่อนแอของพวกเขาก็ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องทำ หากไม่มีความสามารถ ที่วิหารแห่งขงจื๊อ ทั้งสองก็คงไม่อาจเข้าใกล้เขาจนถึงขนาดสังหารเขาได้

“แล้วตอนนี้มีนักปราชญ์โบราณกี่คนที่ไปเข้าข้างพวกนั้น อย่างน้อยคุณก็น่าจะพอรู้บ้าง ใช่ไหม?”

เพราะหวั่นเกรงว่าเขาจะหวนคืนมา ทั้งคู่คงพยายามสุดตัวที่จะรวบรวมเหล่านักปราชญ์โบราณให้มาเป็นพรรคพวกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยที่สุด นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาจะทำหากเขาอยู่ในสถานภาพเดียวกับสองอำมาตย์นั้น

“เท่าที่ผมรู้ ขุนนางจี้ ขุนนางฮว๋าย ขุนนางหมัง และขุนนางอีก 5 คนได้เข้าร่วมกลุ่มและอยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเขาแล้ว” หลิวหยางตอบ

“ขุนนางจี้ ขุนนางฮว๋าย และขุนนางหมัง? ฮึ่มมม!” หวู่เฉินสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว

ขุนนางที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของ 3 อำมาตย์ใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจมีอยู่ 14 คน ซึ่งขุนนางจี้ ขุนนางฮว๋าย และขุนนางหมังคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ขุนนางเหล่านั้น ทุกคนล้วนเป็นนักปราชญ์โบราณผู้ทรงพลังที่สำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด!

ในฐานะขุนนาง พวกเขาประจำการอยู่ในดินแดนของตัวเองและแทบไม่ได้ทำตามคำสั่งของสามอำมาตย์ใหญ่เลย ใครจะไปคิดว่าคนเหล่านั้นจะเข้าร่วมกับอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิง?

“8 ขุนนางเข้าร่วมกับ 2 อำมาตย์ นั่นหมายความว่าฝ่ายนั้นมีนักปราชญ์โบราณ 10 คน ฝ่าบาท…คุณจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นจะต้องตกอยู่ในอันตราย” หลิวหยางพูดอย่างร้อนรน

ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งอยู่ในภาวะแข็งแกร่งสูงสุดดังเดิม ต่อให้ 10 นักปราชญ์โบราณก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคามต่อเขา แต่ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งเข้าท้าทายคนเหล่านั้นในสภาพนี้ ผู้ที่ยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้ายย่อมไม่ใช่เขาแน่

“ผมรู้” หวู่เฉินพูดขณะขมวดคิ้ว

เขากลับมาแก้แค้น แต่รู้ดีเกินกว่าจะปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ ในเมื่อศัตรูรวบรวมนักปราชญ์โบราณไว้ได้มากมาย การบุกเข้าไปด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย

หวู่เฉินเงียบงันไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นอย่างปุบปับ “ผมจะเดินทางไปภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์!”

“ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์?” หลิวหยางงุนงง

ในเมื่อพวกเขาลงทุนมาถึงเมืองหลวงแล้ว ทำไมถึงจะจากไปอย่างปุบปับโดยยังไม่ได้ทวงคืนอำนาจจาก 2 อำมาตย์?

ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์คือหนึ่งในดินแดนอันตรายในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แม้ในสภาวะที่ร่างกายแข็งแกร่งสูงสุด อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังลังเลที่จะเข้าสู่ดินแดนนั้น ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจอย่างกะทันหันของเขาที่จะเข้าไปยังภูเขาสินแร่เหล็กดึกดำบรรพ์จึงเป็นเรื่องที่หลิวหยางไม่เข้าใจ

“มีอันตรายใหญ่หลวงอยู่ในภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์ก็จริง แต่ก็เป็นที่ที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินฝึกฝนวรยุทธอยู่ ในเวลานี้ ผมได้แต่หวังว่าเขาจะยอมช่วยผม พละกำลังของเขาอ่อนด้อยกว่าผมเล็กน้อยหากผมอยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุด จึงมีแต่เขาเท่านั้นที่จะทำให้เรามีโอกาสชนะ!” หวู่เฉินตอบอย่างลังเล

ไม่มีทางที่เขาจะปราบ 10 นักปราชญ์โบราณได้ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ในตอนนี้ จึงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

“นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน? ผมเคยได้ยินชื่อเขามาก่อน แต่คิดว่าเขาตายไปตั้งแต่สามพันปีที่แล้ว” หลิวหยางตาโตด้วยความประหลาดใจ

“เขาไม่ได้ตาย เพียงแค่เลือกที่จะปลีกวิเวกอยู่ในส่วนลึกของภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์และไม่ยอมออกจากพื้นที่ ในครั้งนั้น พละกำลังของเขาใกล้เคียงกับผม แต่ในเมื่อเวลาผ่านไปก็เนิ่นนาน เขาก็น่าจะฝ่าด่านคอขวดของวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้สำเร็จแล้ว” หวู่เฉินพูด

“แต่ถ้าเขาไม่ยอมออกมา ผมเกรงว่าการจะได้ความช่วยเหลือจากเขาก็คงไม่ง่าย ถูกไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม

ในเมื่อนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินปลีกวิเวกตั้งแต่สามพันปีก่อน ก็เป็นไปได้ว่าเขาเลือกที่จะละทิ้งภารกิจทางโลกแล้ว ดังนั้น ต่อให้อีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาน่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ

“เราต้องทำ ต่อให้ยากเย็นแค่ไหนก็ตาม ไม่อย่างนั้นพวกเราตายแน่!” หวู่เฉินส่ายหน้า

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกคนที่สืบสายเลือดหรืออยู่ในตระกูลของเขาจะต้องถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมหากเขาตาย ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาต้องคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่มีอยู่เอาไว้ให้ได้

“หวู่เฉินพูดถูก ภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์อยู่ที่ไหน? แล้วคุณมีแผนการอย่างไรที่จะหว่านล้อมให้เขายอมช่วยเรา?” จางเซวียนตั้งคำถาม

ความตายของอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงเป็นเรื่องจำเป็นหากเขาต้องการนำความสงบสุขระยะยาวมาให้เผ่าพันธุ์มนุษย์และหาตัวหลัวลั่วชิง ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเลือกจบชีวิตของตัวเองที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อจะได้ลักลอบเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เกินพอที่จะบ่งบอกถึงความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของเขาในเรื่องนี้แล้ว

“ภูเขาสินแร่เหล็กดึกดำบรรพ์อยู่ไม่ไกลนัก ห่างจากที่นี่ไปราวแสนลี้ ดังนั้น การเดินทางไปกลับคงไม่ใช้เวลานานเท่าไหร่ เพียงแต่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินมีนิสัยประหลาด การจะหว่านล้อมให้เขามาอยู่ข้างเราคงไม่ใช่เรื่องง่าย” หวู่เฉินนวดหว่างคิ้ว

เมื่อตัดสินใจแล้ว จางเซวียนกับหวู่เฉินกล่าวอำลาหลิวหยาง ก่อนจะบินออกไป